วันพฤหัสบดีที่ 12 มิถุนายน พ.ศ. 2551

หลวงปู่โง่น โสรโย เล่าก่อนบวช

พุทธ ไม่ใช่ศาสนา พุทธ ไม่ใช่ ปรัชญา!!!


คำบอกเล่าของหลวงปู่โง่น​ เหตุที่ท่านเลิกนับถือคริสต์​มาบวชเป็นพระสงฆ์

จากพระภิกษุที่มีลักษณะเป็นพระบ้านนอก แต่พูดจาฉะฉานนั้น ใครเลยจะคิดว่า หลวงพ่อโง่น โสรโย จะใช้ชีวิตท่องเที่ยวไปทั่วยุโรปมาแล้ว ทั้งสำเร็จปริญญาวิศวกรรมจากประเทศฝรั่งเศส และผ่านวิทยาลัยของญี่ปุ่นอีกด้วย !

นี่จากคำบอกเล่าของท่าน

อาตมาเมื่อครั้งเป็นเด็กได้ติดตามคุณพ่อที่เป็นข้าหลวงใหญ่ประจำอินโดจีนไปประเทศเวียตนาม 2 ปี แวนคูเวอร์ 2 ปี เมืองนี้อยู่ในประเทศแคนาดา

ต่อจากนั้นก็ไปอยู่โฮโนลูลู 2 ปี แล้วท่านก็พาไปอยู่ฝรั่งเศสเลย ท่านไปเป็นเลขาธิการสภาคองเกรส

เดิมทีท่านเห็นอาตมาเป็นเด็กที่ขยันขันแข็ง ท่านก็เลยขอเป็นบุตรบุญธรรม แล้วก็ไปอยู่โมนาเวีย ซัดเซพเนจรไปสแกนดิเนเวีย ไปเรียนหนังสือกับโป๊ปองค์ปัจจุบันนี้ ท่านเป็นชาวโปล สมัยนั้นอาตมานับถือศาสนาคริสต์

เหตุที่หลวงพ่อโง่นจะหันมานับถือพุทธศาสนานั้น ท่านเล่าให้ฟังว่า อาตมาไม่ได้บวชเพราะความเลื่อมใสหรอก การบวชนี่มาจากสาเหตุหลายอย่าง มีบวชเพราะเพื่อน บวชเพราะมิตร บวชเพราะเบื่อหน่าย บวชเพราะคลายกำหนัด บวชเพราะไม่ขัดสกุล บวชเพราะหวังในลาภ ในสมัยพระพุทธเจ้าท่านบวชอย่างนั้น แต่เดี๋ยวนี้ อุปชีวิกา บวชมาเพื่อหากิน อุปชีวิกา บวชเล่น บวชพอได้บุญ ฯลฯ

อาตมาไม่ได้เลื่อมใสในพระพุทธศาสนามาก่อนเลย จนอยู่มาวันหนึ่ง ไปเจอะพระเข้าองค์หนึ่ง พระองค์นี้เป็นพระผู้ใหญ่ เป็นเพื่อนกับสำเร็จลุน เมืองเหนือประเทศลาว ท่านพูดภาษาฝรั่งเศสเก่ง ท่านมาปักกลดซอมซ่ออยู่ที่วัดบรมนิวาส พวกสาว ๆ เขาเลื่อมใส

แม่เล็ก ล่ำซำ ก็เป็นคนหนึ่งที่เลื่อมใสท่าน เดี๋ยวนี้เขาแก่แล้ว เขามา ชวนอาตมาว่า พี่ ๆ ไปกราบพระ ด้วยกันไหม ?” อ้ายเราก็นับถือศาสนาคริสต์อยู่ ก็เลยเอาไม้กางเขนซ่อนไว้ในอก

พระองค์นี้ชื่อ หลวงพ่อวัง จิตฺตวโร

พออาตมาเข้าไปถึง ท่านก็ชี้หน้าว่า นี่ถือศาสนาคริสต์ใช่ไหม ?”

แล้วท่านก็บอกเลยว่า ถือศาสนาคริสต์ก็ดี ไม่มีเครื่องหมายในศาสนาใดดียิ่งไปกว่าศาสนาคริสต์ ศาสนาคริสต์เขามีเครื่องหมายบวก ถ้าเรามองคนในแง่บวกแล้วใจจะสบาย

 

ท่านสอนนะ ทุกสิ่งทุกอย่าง ถ้าเรามองในแง่บวกแล้วใจจะสบาย อย่าง สามีไปมีเมียน้อยนี่ ถ้าภรรยามองในแง่บวก แหม! แฟนเรานี่ยอดจริง ๆ ใจก็สบาย

เออ...นี่ลูกมีคำถามอยู่ในกระเป๋าเสื้อของลูก ทำไมไม่ดึงเอาขึ้นมาถาม หลวงพ่อ ล่ะ

อ้ายเราก็กำลังจะควักออกมา อาตมาเขียนไว้อย่างนี้ โยม เขียนไว้ว่า

 

1. ศาสนาพุทธทำไมจึงถือวันพระ ในวัน 8 ค่ำ 15 ค่ำ จะเอาวันอื่นไม่ได้หรือ ?

2. ศาสนาพุทธมีการล้างบาปหรือเปล่า ?

3. ศาสนาพุทธเป็นศาสนาจริง หรือเป็นปรัชญา ?

 

ปัญหาเหล่านี้อาตมาไปถามพระ องค์ไหนก็โดนด่ากลับมา แต่หลวงพ่อองค์นี้ท่านอธิบายให้อาตมาฟังว่า

ศาสนาพุทธมิใช่ศาสนาอย่างแท้จริงตามหลักวิชาการแผนใหม่ ศาสนาที่แท้จริงจะต้องมีพระผู้เป็นเจ้า

และศาสนาพุทธก็มิใช่ปรัชญา ปรัชญาต้องมีเจ้าของ อย่างปรัชญาของท่านเพลโต้ ของท่านฟูโซ่ ของท่านกงจื๊อ อันนี้เป็นปรัชญา

พระพุทธศาสนาไม่มีเจ้าของ พระพุทธเจ้าไม่ได้เป็นเจ้าของพระพุทธ ศาสนา โลกทั้งโลกเป็นเจ้าของ พระพุทธศาสนาเป็นของเราทุกคน พระพุทธเจ้าท่านค้นพบของจริงที่มีอยู่ในคน ที่มีอยู่ในโลก แล้วนำมาสอนคนอีกต่อหนึ่ง ดังนั้นศาสนาพุทธจึงอยู่ในระหว่างกลาง ทั้งปรัชญาและศาสนา

พระพุทธเจ้าค้นพบทุกข์ ท่านค้นพบสมุทัย ท่านค้นพบนิโรธ ท่านค้นพบมรรค ซึ่งทุก ๆ คนมีด้วยกันหมด มันมีมาก่อนแล้ว ท่านค้นพบจึงมาสอนคนอื่น

ฉะนั้น ศาสนาพุทธจึงมิใช่ศาสนา และมิใช่ปรัชญา อยู่ในระหว่างกลาง ลูกเอ๋ย... จำไว้

 

พอฟังท่านอธิบายให้ฟัง มันถูกหัวใจของเราอย่างจังเลยโยม !

 ส่วนที่ถามว่า ขึ้น 8 ค่ำ แรม 8 ค่ำ ขึ้น 15 ค่ำ แรม 15 ค่ำ ทำไมจึงถือเป็นวันธรรมสวนะ ท่านอธิบายว่า

พระพุทธเจ้าของฉันท่านเป็นโลกวิทู เป็นผู้แจ้งโลก

 

วัน 8 ค่ำ ทั้งข้างขึ้น ข้างแรม พระอาทิตย์กับดวงจันทร์กำลังทำมุม สแควร์กัน ผัวเมียจะทะเลาะกันก็อยู่ ใน 7 ค่ำ 8 ค่ำนี้ อย่าไปทวงหนี้ทวงสินกัน ผัวเมียให้ยิ้มแย้มแจ่มใสต่อกัน

 

ถ้าวันแรม 15 ค่ำ จะมีโจรผู้ร้ายชุกชุม การปล้นฆ่าทารุณจะเกิดขึ้น ไปดูสถิติของกรมตำรวจเขาก็ได้ เพราะเดือนมันมืด ใจคนมันมืดมน

 

ขึ้น 15 ค่ำ ดวงจันทร์มันแจ่มกระจ่าง อาชญากรมันจะก่อคดีในทางที่เกี่ยวกับความรักความใคร่มากกว่าปกติ การข่มขืน การปลุกปล้ำกระทำการชั่วมากกว่า เป็นกามกิเลส มันดลดวงจิตของคนอย่างนี้

 

ดวงจิตของคนจะมีการกวัดแกว่ง มีการทะเลาะเบาะแว้งกัน แทนที่จะทำเช่นนี้ จึงสมควรเข้าวัดให้พระท่านอบรมสั่งสอน พระพุทธเจ้าท่านรู้จักกฎของโลก ท่านจึงได้กำหนดไว้

แทนที่จะทะเลาะกัน ก็ให้เข้าวัดเถิดลูก !

แทนที่จะขโมยของของเขา ก็ให้เข้าวัดเถิดลูก !

แทนที่จะรักกันด้วยความใคร่ ก็ให้เข้าวัด รักกันด้วยเมตตา

 

โยมเอ๋ย ! คำพูดของท่านเหมือน กับท่านเข้ามานั่งในหัวใจของอาตมา ด้วยเวลานั้นกำลังเรียนดาราศาสตร์อยู่ด้วย แหม ! ท่านเก่ง

!แล้วท่านยังบอกอีกว่า กลับไป ให้ไปอ่านคัมภีร์ศาสนาคริสต์ เล่มที่ 5 เมื่อเปิดอ่านแล้วจะโยนหนังสือทิ้ง !

อาตมาก็นึกสงสัยว่า เอ๊ะ ! นี่ ยังไงกัน หนังสืออยู่ในกระเป๋าของเรา ท่านก็รู้ กลับไปพออ่านเล่มที่ 5 พระ เจ้าสร้างโน่น พระเจ้าสร้างนี่ พระเจ้าสร้างโลก เป็นคัมภีร์เรื่องสร้างโลกของเรา ถ้าไม่มีพระอาทิตย์ จะมีกลางวันอย่างไร ถ้าไม่มีพระจันทร์ จะมีกลางคืนอย่างไร เอ๊ะ ! มีพระเจ้าบ้า ! เราก็โยนทิ้ง

หลวงพ่อโง่น เล่าให้ฟังว่า เมื่อท่านประจักษ์ในความจริงเช่นนั้น ท่านก็เข้าไปนมัสการพระอาจารย์วัง ไปกราบเรียนขอบวชกับท่าน แต่พระอาจารย์ยังกลับบอกว่า

 

เอ็งยังบวชไม่ได้ เอ็งยังต้องไปใช้กรรม เพราะเอ็งไปโกหกผู้หญิงเขาไว้ 2 คน เมื่อชาติก่อน

หลวงพ่อโง่นท่านก็ตั้งใจไว้ว่า พบท่านอาจารย์วังภายหลังก็จะขอบวชอีก จะต้องกลับมาบวชกับท่านให้ได้ แล้วจากนั้นหลวงพ่อโง่นก็ไปพบผู้หญิงคนหนึ่ง ผูกสมัครรักใคร่กันเป็นอันดี แต่กลับโดนต้ม โดนหลอกจนหมดตัว ท่านบอกว่า

แล้วก็ไปเจอะคนที่สอง โดนต้มอีก เรียบร้อย ก็เลยเป็นอันบวชดีกว่ากู

 

 

ผู้เขียน(อ.ทองทิว​ สุวรรณ​ทัต) เรียนถามท่านว่า

 ปัจจุบัน พระอาจารย์วังยังมีชีวิตอยู่หรือเปล่า ?”

ท่านตอบว่า

อาจารย์วังท่านมรณภาพไปแล้ว มรณภาพที่ประเทศลาว อาตมาไปทำศพท่านเอง อาตมาถือว่าท่านเป็นอาจารย์องค์แรกของอาตมา

พระดี ๆ อย่างนี้ในเมืองไทยมีเป็นร้อย ๆ องค์ แต่ท่านไม่สนใจกับคน ในกรุงเทพฯ นี่ก็มี

แต่ญาติโยมทุกวันนี้หลงรูปสมบัติ ถ้าเห็นกุฏิหลวงพ่อองค์ไหนมีแอร์ มีเตียง มีโต๊ะ มีเก้าอี้ ถ้าได้รับเป็นเจ้าภาพอย่างนี้ละชอบ !

เมื่อปี พ.ศ.2466 หลวงพ่อโง่น โสรโย ก็อุปสมบท ณ วัดเทพศิรินทราวาส

 

Cr. ทองทิว สุวรรณทัต​ จาก หนังสือโลกลี้ลับ ฉบับที่ ๔๘ ปีที่ ๕

ประจำเดือนธันวาคม ๒๕๓๑


ไม่มีความคิดเห็น: