วันอาทิตย์ที่ 8 มกราคม พ.ศ. 2555

พุทธแท้

...

                                                   ที่มาของเนื้อหา
        ได้อ่านเวปนี้ ประมาณปี 50-51 เพราะมีผู้แนะนำขึ้นเวปการเมือง โดยนำปัญหาธรรมข้อ 43 ,44  ให้อ่าน อ่านแล้วจึงบุคมาร์คไว้ แต่ไม่ได้อ่านละเอียด ภายหลังจะกลับไปอ่านอีก แต่หาไม่เจอคิดว่าปิดเวปแล้ว   มาปี 57 จึงลองหาใหม่ จึงได้พบจากเวปนี้
http://www.reocities.com/buddhatatum/003.htm   จึงได้อ่านอย่างพิจารณา เห็นว่าผู้เขียนคนนี้ (เขาระบุเป็น นิสิตปี 3 ด้านฟิสิกส์) ได้ตอบปัญหาธรรมมะได้ลึกซึ้งจริง ๆ เชื่อมั่นว่าเขาได้บรรลุธรรมแน่นอน  เขาไม่เปิดเผยชื่อเสียงเรียงนามตนเอง แม้ผู้เป็นอาจารย์ เพราะไม่ต้องการเด่น หรือดัง ซึ่งเป็นลักษณะของอริยะชน คนที่มีกิเลสเบาบาง
              ถึงแม้ประเทศไทยจะมีผู้บรรลุธรรมจำนวนมาก แต่ส่วนใหญ่ก็เป็นพระ ซึ่งมีวินัยบัญญัติไม่ให้แสดงธรรมมะที่เป็นปาฏิหาริย์กับฆราวาสแม้จะเป็นตัวหนังสือ
เราจึงไม่ได้รับการถ่ายทอดจากท่านเหล่านั้นโดยตรง แต่ได้จากการเล่าต่อจากบุคคลที่สอง ที่ไม่อริยะชน ย่อมผิดเพี้ยน หรือไม่ก็มีผู้บรรลุธรรมที่เป็นเป็นฆราวาส แต่ก็ไม่ประกาศตน ด้วยสาเหตุคือท่าน ไม่อยากสร้างบาปหรือปัญหาแก่ผู้อื่น และไม่มีจุดจบ หรืออาจถ่ายทอดในกลุ่มเล็ก ๆ เพราะไม่มีทักษะทางพอมพิวเตอร์  แต่ท่านคนผู้นี้ เป็นฆราวาส รุ่นใหม่ และมีความสามารถทางคอมพิวเตอร์ จึงถือว่าโขคดีที่ได้อ่านประสบการณ์  และการตอบคำถามของเขาอย่างเต็มที่ และแจ่มแจ้ง จุดประสงค์ที่เขาทำขึ้นมาเพื่อเผยแพร่ พุทธแท้แก้ผู้ที่สนใจ เพราะปัจจุบัน การสอนพุทธศาสนาออกนอกลู่นอกทางกันมากเหลือเกิน ยากที่คนธรรมดาจะแยกแยะ กล้าหาญที่ตอบปัญหาแกผู้คน โดยที่มีคนจ้องจับผิดมากมาย ตามลักษณะของคนที่รู้มากเรียนมาก แต่กิเลสหุ้มใจอยู่ จนเขาต้องปิดเวป เพื่อไม่ให้เขาเหล่านั้น มีบาปติดตัวมากเกินไป  นับว่าโขคดีมีที่เขาได้ตอบปัญหาธรรมมะและทิ้งเวปไว้โดยไม่ลบ จึงมีโอกาสได้อ่านอย่างพินิจพิเคราะห์ หลาย ๆ เที่ยว  และเกรงว่าเวปนี้จะปิดหายไปอีก จึงขออนุญาต รวมรวมเนื้อหาเพื่อสะดวกแก่การอ่าน
           สำหรับปกหนังสือข้างล่าง เป็นหนังสือที่มีคนศรัทธาพิมพ์ขึ้น จำนวนไม่มาก ชื่อว่า “ก้าวย่างที่หายไป  พร้อมกับ คำนิยมที่เขียนได้สละสลวยไพเราะยิ่งนัก หนังสือคงหาไม่ได้แล้ว  จึงแนะนำไว้เป็นเบื้องต้น อีกประการหนึ่งคำบางคำที่ต้นฉบับพิมพ์ผิดอักขระไวยากรณ์ขออนุญาต แก้ไขให้บันทึกใหม่ให้ถูกตามหลักไวยากรณ์ด้วย
           อนึ่ง  ที่สารบัญหัวข้อคำถามธรรมมะ สามารถลิงค์ไปยังเวปเดิมได้อยู่ ท่านผู้อ่านสามารถ คลิกอ่านได้ตามหัวข้อคำถามที่น่านสนใจได้เลย
             สุดท้ายขอขอบคุณผู้เขียนและผู้เกี่ยวข้องไว้ ณ ที่นี้ด้วยความเคารพ ต่อไปนี้ จะเป็นข้อความจากหนังสือทั้งหมด



                                     คำนิยม
       (จากหนังสือก้าวย่างที่หายไป)
ท่ามกลางการดำเนินไปบนเส้นทางการแสวงหาหนทางของทุกจิตวิญญาณ เพื่อการค้นพบความจริง คือ สัจธรรมสูงสุด ที่อยู่เหนือกาลเวลา สถานที่และตัวตนหญิงชาย ความเป็นไปแห่งฐานะสมมติ ความจริงที่อยู่เหนือไปจากความเกิดขึ้น ความแก่ ความเจ็บ ความตายดับสลายของธรรมชาติสรรพสิ่ง
      จุดสิ้นสุดแห่งการแสวงหา คือ นิพพาน สัจธรรมสูงสุด เป็น “สิ่ง” สากลที่ปวงปราชญ์  ผู้ปฎิบัติ แสวงหาและดำเนินไป ผ่านคำแนะนำ ชี้แนะ บอกกล่าวเส้นทางเดินจากครูทางจิตวิญญาณ ผ่านคำสั่งสอนที่เป็นสื่อภาษา สัญลักษณ์ภายใต้ศาสนธรรมที่ดีงาม สื่อผ่านทั้งทางรูปธรรมและนามธรรม เป็นหนทางปฎิบัติแห่งความดีงามให้แก่จิตวิญญาณมนุษย์ เพื่อดำเนินสู่สัจธรรมที่อยู่เหนือนามและรูป ที่ไร้ชื่อ ไร้ภาษาสมมุติ อยู่เหนือประสาทสัมผัสทั้ง 6  .จุดนั้นเองที่ความจริง ภาวะดำรงอยู่นิรันดร  ความจริงที่สร้างสรรค์ ดูแลกฎความเป็นไปทั้งปวงแห่งธรรม ภาวะที่เป็นอย่างนั้น (ตถาตา) ภาวะที่ไม่คลาดเคลื่อนไปได้(อวิตถตา) ภาวะที่ไม่เป็นอย่างอื่น(อนัญญถตา) จุดที่ความจริงคือสัจจะ สลายความเป็นตัวตนจิตใจ เปลี่ยนภาพลักษณ์มุมมองสิ่งมายา ประดุจว่าจิตวิญญาณเดินทางแสนไกลสลายเป็นอณูเมล็ดทรายเพียงเม็ดหนึ่ง ท่ามกลางห้วงทะเลทรายที่ละเมียดละไมอันกว้างใหญ่รอบทิศ ไร้ขอบเขตที่กำหนดได้
     บนเส้นทางการแสวงหาจิตวิญญาณ ที่ดำเนินไปสู่การประจักษ์แจ้งแห่งภาวะสัจธรรมสูงสุดย่างก้าวเริ่มต้น คือทัศนคติที่ดีถูกต้องเกี่ยวกับเส้นทาง ท่ามกลางและจุดหมาย ณ.ปลายทาง  เพราะสิ่งที่หลั่งไหลออกมาจากมุมมองทัศนคติของมนุษย์ คือการขับเคลื่อนไหวต่อเนื่องของความนึกคิดไปตามความเห็นนั้นๆ ผ่านการกระทำด้วยความรู้สึกนึกคิด ดังสายธาราจากความเป็นสามัญของธรรมชาติมนุษย์
    มุมมองทัศนคติ เปรียบดุจเข็มทิศและหางเสือเรือ เพื่อระบุให้แล่นไปสู่ฝั่งยังจุดหมายปลายทางอย่างตรงเป้า ทัศนคติที่ดีที่ถูกต้องได้มาจากการหมั่นขัดเกลาสติปัญญาจากการศึกษา หมั่นฟังผู้รู้มีประสบการณ์ และการกลั่นกรองประสบการณ์ตรงของตนเอง
    เนื้อความใน หนังสือก้าวย่างที่หายไป ข้าพเจ้าเคยได้อ่านเนื้อหาปุจฉาวิสัชนาที่ปรากฏในเวปพุทธแท้  มีเนื้อหาที่บ่มเพาะขัดเกลาทางจิตวิญญาณสามารถเกิดประโยชน์จากการศึกษานำไปสู่ความกระจ่างชัดสติปัญญาแก่ผู้แสวงหาภาวะพุทธะได้ทุกผู้ทุกนาม โดยนำทัศนคติที่ดีถูกต้อง ที่มีความกระจ่างชัดจากผู้มีประสบการณ์ตรงแห่งสัจธรรมสูงสุด  ผ่านการกลั่นกรองอรรถาธิบาย ผ่านถ้อยคำในรูปแบบของคำถามคำตอบในตัวข้อธรรมต่างๆ ดังปรากฏในเล่มเป็นการเติมเต็มเนื้อหาที่บางสิ่งขาดหายไป ปลูกฝังไว้ให้ธรรมวิถีสมบูรณ์ดังเดิมโดยสมบูรณ์ในวันใดวันหนึ่งข้างหน้า
     แม้ว่าในกาลอดีต ปัจจุบันขณะนี้ และในอนาคตเบื้องหน้า อาจจะมีความหลากหลายแห่งอุบายวิธีปฏิบัติไปตามโอกาสและจริตอุปนิสัยที่เหมาะสมเพื่อบังเกิดความหลุดพ้น คือมรรค ผล นิพพาน แต่หลักมาตรฐานแห่งความหลุดพ้น 5 ประการ(วิมุตติสูตร) ดังที่พระพุทธองค์ทรงตรัสไว้ คือ
      1.ความหลุดพ้นบังเกิดด้วย จากเหตุที่ว่าได้ฟังธรรม ข้อธรรม ที่ตรงกับวาระจิตตนให้ได้ปล่อยวางสู่มรรค ผล นิพพาน
      2.ความหลุดพ้นบังเกิดด้วย จากขณะการแสดงธรรมต่อผู้อื่นในฐานะครูผู้สั่งสอน
      3.มิได้เกิดจากได้ฟังธรรม และแสดงธรรมแนะนำผู้อื่น หากความหลุดพ้นเกิดจากการท่องสาธยายข้อธรรมนั้น จนเกิดความเห็นแจ้งในความจริง
      4.ความหลุดพ้นเกิดจากการตรึกตรองภายใน นำข้อธรรมที่ได้เรียนรู้มาพิจารณาจนจิตเต็มรอบ รวมลงเป็นมรรคญาณ บังเกิดความหลุดพ้น
      5.ความหลุดพ้นเกิดจากการเจริญสมาธินิมิต สติปัฏฐาน4  มีนามรูปที่บังเกิดขณะนั้นเป็นนิมิตปัจจุบันอารมณ์ เพาะบ่มสั่งสมจนอินทรีย์แก่กล้าเป็นโพชฌงค์รวมลงสู่มัคสมังคี  ก่อเกิดเป็นมรรค ผล นิพพาน
      สภาวธรรม ธรรมที่พิจารณานี้นั้นรวมถึงสภาวธรรมรอบตัว ที่พิจารณาได้จากการสัมผัสด้วยตาเห็นรูป  หูได้ยินเสียง  ใจสัมผัสกับธรรมารมณ์  อารมณ์จากในสันตติธรรมชาติรอบตัวที่ปรากฏอย่างสืบเนื่อง เป็นปัจจัยสู่ความเป็นกลางย่อมนำไปสู่ความหลุดพ้นได้
สุดท้ายนี้ ขอให้ผู้ได้ศึกษาจากหนังสือที่มีประโยชน์เล่มนี้ ค้นพบหนทางปฏิบัติที่ดีงาม เพื่อสร้างความดีงามและดำเนินหนทางไปอย่างสำรวมและต่อเนื่องด้วยความไม่ประมาท เพื่อสร้างประโยชน์นำสันติมาให้แก่ตัวท่านและสังคมรอบข้าง

                  นันทาริยา.
                   ผู้เขียนหนังสือ “สิ่ง” สารัตถะแห่งชีวิต






                                                   (ข้อความในโฮมเพจ)
พุทธแท้โฮมเพจ ยินดีต้อนรับทุกท่าน
               ยินดีต้อนรับผู้ใฝ่ธรรมทุกท่านสู่พุทธแท้โฮมเพจ ข้าพเจ้าจัดทำโฮมเพจนี้ขึ้นเพื่อช่วยไขปัญหาธรรมให้แก่ผู้ปรารถนามรรคผลนิพพานทุกท่าน เนื่องด้วยปัจจุบันนี้พุทธศาสนาผิดเพี้ยนไปจากเดิมมาก ธรรมแท้ที่ควรจะเป็นก็ไม่เป็นไปตามแห่งธรรมของพระพุทธเจ้า ข้าพเจ้าเห็นว่าผู้ที่ไม่บรรลุธรรมแล้วตั้งตนเป็นอาจารย์เปิดสำนักสอนผู้อื่น ให้ผู้คนหลงทางตามตนนั้นเป็นอันตรายยิ่งนัก ครู อาจารย์บางท่านที่บรรลุธรรมแล้ว ท่านก็มิเข้ามายุ่ง เนื่องด้วยสภาวธรรมที่ท่านดำรงอยู่ และด้วยศีลที่ทำให้ท่านไม่สามารถที่จะประกาศตนได้ว่าท่านบรรลุธรรมเห็นมรรคผลนิพพานแล้วได้
               ข้าพเจ้าปรารถนาที่จะใช้โฮมเพจนี้เพื่อไขปัญหาให้แก่ท่านที่มีความสนใจในธรรม ข้าพเจ้าขอกล่าว ณ.ที่นี้ก่อนว่าข้าพเจ้าเป็นบุคคลธรรมดามิได้มีอิทธิฤทธิ์ใดๆทั้งสิ้นๆ ข้าพเจ้ามิได้บรรลุธรรมด้วยฤทธิ์ ข้าพเจ้าบรรลุธรรมด้วยปัญญา (ปัญญาวิมุตติ) ฉะนั้นธรรมที่ข้าพเจ้าจะตอบจึงเป็นธรรมแท้ไม่อาศัยดำรงหรือสมาบัติใดๆ


แด่ผู้เป็นอาจารย์
                    ขอกราบเท้าพระอาจารย์นับพัน นับล้านครั้ง ที่พระอาจารย์เมตตารับศิษย์ไว้เป็นศิษย์ และเมตตาให้ติดตามรับใช้อย่างใกล้ชิด ทุกที่ ทุกหนทุกแห่ง ให้มีโอกาสได้รับฟังธรรมที่ล้ำค่า จนศิษย์ได้บรรลุธรรมอันประเสริฐนั้น และได้สอนธรรมให้ผู้อื่น ให้มีดวงตาเห็นธรรมตามที่พระอาจารย์สอนศิษย์  บัดนี้ศิษย์ปรารถนาที่จะสอนธรรมแด่สัตว์โลกที่ได้ชื่อว่ามนุษย์ ซึ่งเป็นสิ่งที่สอนยากที่สุดที่ศิษย์เคยสอนมา เนื่องด้วยมนุษย์มีข้อสงสัยมาก มากจนปิดบังปัญญาของตัวเองที่จะเห็นธรรม และด้วยเหตุนี้ศิษย์จึงไม่กล้าที่จะกล่าวนามพระอาจารย์ให้ผู้ใดรู้ว่าพระอาจารย์ของศิษย์เป็นใคร เพราะเห็นว่าผู้ที่ไม่เข้าใจในธรรมจะมิพอใจ ศิษย์ไม่ต้องการให้ชื่อเสียงของพระอาจารย์ต้องหม่นหมอง   พระอาจารย์ยังเป็นสิ่งสูงสุดของศิษย์อยู่เสมอ

                        ข้าพเจ้าบรรลุธรรมได้อย่างไร
              นับว่าเป็นบุญยิ่งนักที่ข้าพเจ้าได้เกิดเป็นชาย ทำให้ข้าพเจ้าได้บวชเป็นพระ และเป็นบุญครั้งที่สองที่มีอาจารย์เป็นพระอริยะ พระอาจารย์ของข้าพเจ้ามิได้เป็นพระป่าหรือพระบ้านทั้งนั้น ท่านมีสองอย่างอยู่ในตัวของท่าน ท่านจะอยู่ป่า อยู่เขาท่านก็อยู่ได้ จะอยู่บ้าน อยู่เมืองท่านก็อยู่ได้ ท่านพระอาจารย์สอนธรรมที่เป็นธรรมแท้ๆ เวลาที่ท่านพระอาจารย์เทศ ธรรมที่ท่านเทศนั้นจะไหลออกมาเองโดยมิได้ผ่านสมอง ธรรมของท่านจึงไม่ได้ปรุงแต่งจากความคิด แต่เป็นธรรมที่มาจากสภาวธรรมจริงๆ
               วันหนึ่งข้าพเจ้าได้ฟังเรื่องจิตและจักรวาลจากท่านพระอาจารย์ ข้าพเจ้าก็ตื่นเต้นจากความรู้ที่ได้รับ ข้าพเจ้าจำได้ทุกคำพูดที่ท่านพระอาจารย์เทศในวันนั้น  ในวันรุ่งขึ้นข้าพเจ้าจึงนำเรื่องดังกล่าวมาเขียนบันทึก  พระอาจารย์เทศว่า
               “ในจักรวาลนั้นมีของอยู่สองสิ่งคือ ธาตุหนัก และธาตุเบา ธาตุหนักได้ดึงดูดซึ่งกันและกัน  ทำให้มีขนาดใหญ่ขึ้น เมื่อใหญ่ขึ้นก็มีแรงดึงดูดมากขึ้นๆ และใหญ่ขึ้นๆ และก็มีแรงดึงดูดมากขึ้นๆ และใหญ่ขึ้น หรือที่นักวิทยาศาสตร์เรียกว่าหลุมดำ เมื่อหลุมดำดึงดูดทุกสิ่งทุกอย่างจนอิ่มตัวที่มันจะเป็นไปได้ มันก็เกิดระเบิดขึ้น และสิ่งที่อยู่ในตัวมันก็กระจัดกระจายกระเด็นไปทุกทิศทุกทางในจักรวาล สิ่งที่กระเด็นออกมานั้นก็ไปเสียดสีกับธาตุเบาที่ลอยอยู่ข้างนอก และเมื่อแรงระเบิดนั้นสิ้นสุดลง ธาตุหนักก็ดึงดูดซึ่งกันและกันอีก จุดใหม่นั้นก็ไม่ห่างจากจุดเดิมมากนัก การดึงดูดครั้งใหม่นั้นก็จะดึงดูดทุกสิ่งทุกอย่างเข้าไปยังจุดศูนย์กลางเหมือนเดิม ไม่ว่าจะเป็นธาตุต่างๆ หรือเส้นแสงจะถูกดึงกลับเข้าไปที่จุดศูนย์กลาง แต่ด้วยธาตุต่างๆ หรือเส้นแสงก็มีพลังงานในตัวเองจากการที่กระเด็นออกมาจากแรงระเบิด เมื่อหลุมดำดึงดูดกลับ เส้นแสงก็จะยื้อกลับ (เหมือนชักเย่อ) ดึงกันไป ดึงกันมา ทุกวินาที เส้นแสงที่อยู่ใกล้ๆ ธาตุเบาก็ไปเสียดสีกับธาตุเบาที่ลอยอยู่ในอวกาศ วัตถุสองสิ่งเสียดสีกัน (เหมือนไม้เสียดสีกัน) ก็เกิดพลังงานรูปใหม่ขึ้น (ไม่ว่าจะเป็นความร้อน แสง สี เสียง) เสียดสีจนเกิดความร้อน ก็ลุกเป็นไฟขึ้น ก็กลายเป็นดวงอาทิตย์ และเมื่อเย็นตัวลงก็กลายเป็นดาวเคราะห์ ดาวที่ใหญ่กว่าจะดึงดูดดาวที่เล็กว่า เช่น ดวงจันทร์ถูกโลกดึงดูด โลกก็ถูกดวงอาทิตย์ดึงดูด ดวงอาทิตย์ก็ถูกหลุมดำดึงดูด เมื่อโลกดึงดูดดวงจันทร์ ดวงจันทร์ก็ยื้อกลับดึงกันไปดึงกันมาทุกวินาที (ตาคนมองไม่ทันจึงไม่เห็นการยื้อนั้นแต่จะเห็นผลของการยื้อนั้นเป็นการหมุนรอบโลก) จนกว่าดวงจันทร์จะหมดพลังงานในตัวเองที่จะยื้อกลับ ดวงจันทร์ก็จะถูกโลกดูดมารวมกับโลก เป็นดาวดวงเดียวกัน และเช่นเดียวกันโลกก็ถูกดวงอาทิตย์ดูดเช่นนี้เหมือนกัน เมื่อโลกหมดแรงยื้อกลับ โลกก็จะถูกดวงอาทิตย์ดึงดูดเข้าไปรวมกับดวงอาทิตย์ ดวงอาทิตย์ก็เช่นเดียวกันเมื่อหมดพลังงานที่จะยื้อกลับก็จะถูกหลุมดำดูดเข้าไปรวมกัน เมื่อหลุมดำดูดทุกสิ่งทุกอย่างเข้าไปจนมากเข้าๆ จนอิ่มตัวก็จะระเบิดขึ้นอีก และเป็นเส้นแสงไปเสียดสีกับสิ่งอื่นอีก ก็จะเกิดดวงดาวขึ้นอีก เมื่อหมดพลังงานในตัวก็จะถูกหลุมดำดูดเข้าไปอีกและเมื่อหลุมดำอิ่มตัวก็จะระเบิดขึ้นอีก เป็นอย่างนี้วนไปวนมาไม่มีทางจบสิ้น
               ส่วนจิตนั้นคืออะไร  ไม่มีใครตอบได้ ถ้าตอบได้ก็ไม่ใช่จิต เพราะจิตอยู่เหนือสมมุติบัญญัติใดๆ จิตมันก็มีของมันอยู่แล้ว คำว่าจิต จิตเดิมแท้ สิ่งนั้น ตถาตา มรรค และนิพพาน คำเหล่านี้หมายถึงสิ่งเดียวกัน
            จิตเป็นสิ่งจรรโลงของจักรวาล
            จักรวาลจะกว้างใหญ่ไพศาลขนาดไหนก็อยู่ในจิต
            แล้วจิตใหญ่ขนาดไหน?       จิตก็ใหญ่เท่าจักรวาล
            แล้วจิตเล็กขนาดไหนละ?     จิตก็เล็กจนมองไม่เห็น
            แล้วจิตอยู่ที่ใดละ?              จิตก็มีอยู่ทุกที่ ไม่มีที่ใดเลยที่ไม่เกี่ยวเนื่องด้วยจิต
               แล้วคนเกิดมาได้อย่างไร และจิตมาเป็นคนได้อย่างไร
            ครั้งเมื่อจักรวาลระเบิดเกิดแสง สี เสียง ขึ้นนั้น แสงมันก็สว่างของมันอย่างนั้น ไม่มีอะไรไปรับรู้ว่าสว่างหรือไม่สว่าง
          เมื่อแสงสว่างเกิดขึ้นนั้น จิตที่มันอยู่ข้างๆ คิดว่ามันเป็นผู้เห็นแสง ก็เกิดของคู่ขึ้นทันที คือผู้เห็นและผู้ที่ถูกเห็น
                              ผู้เห็นก็คือจิตดวงนั้น
                              ผู้ถูกเห็นก็คือแสง     

          ผู้รู้กับผู้ถูกรู้ ผู้รู้ก็คือจิต ผู้ถูกรู้ก็คือแสง เมื่อจิตเป็นเช่นนั้นก็เกิดเป็นดวงจิตลอยขึ้นมา "
          เมื่อข้าพเจ้าเขียนบันทึกถึงตรงนี้ข้าพเจ้าก็วางปากกาลง พร้อมกับอุทานในใจว่า
 “ แล้วเราจะเขียนทำไม เขียนให้ใคร ไม่มีใครอ่าน ไม่มีใครเขียน
               เพราะบัดนี้ข้าพเจ้าได้บรรลุธรรมแล้ว(เพราะข้าพเจ้าปล่อยวางทุกสิ่งหมดสิ้นลงในเวลานั้น)   ธรรมนั้นเป็นสิ่งประเสริฐยิ่งนัก ไม่รู้ร้อนไม่รู้หนาวอย่างพระอาจารย์พูดจริงๆ ไม่มีใครจะไปจับต้องได้อย่างที่พระอาจารย์พูดจริงๆ


ธรรมเป็นอย่างนี้เองหรือ พระพุทธเจ้าบรรลุสิ่งนี้เองเหรอ
               สภาวะในเวลาขณะนั้นเหมือนกับพลิกของคว่ำให้หงายขึ้นจริงๆ ธรรมต่างๆ มันไหลเข้ามาเป็นสายๆ มันจะถามและมันจะตอบของมันเอง
ตัวเรามี แต่ไม่มี”   “ตัวเราไม่มี แต่มี
ต้นไม้มี แต่ไม่มี”   “ต้นไม่มี แต่มี
ภูเขามี แต่ไม่มี”   “ภูเขาไม่มี แต่มี
หมามี แต่ไม่มี”   “หมาไม่มี แต่มี
พระอาจารย์มี แต่ไม่มี”   “พระอาจารย์ไม่มี แต่มี
พระพุทธเจ้ามี แต่ไม่มี”   “พระพุทธเจ้าไม่มี แต่มี
ความตายมี แต่ไม่มี”   “ความตายไม่มี แต่มี
               ธรรมนั้นจะถามและตอบในตัวเองเสร็จ จนสิ้นสงสัย ก็จะหยุด ข้าพเจ้าจึงได้รู้ว่าพระโสดาบัน พระสกิทาคามี พระอนาคามี พระอรหันต์ และพระพุทธเจ้า บรรลุในธรรมเดียวกัน แต่ปล่อยวางได้ไม่เท่ากัน มีพระอรหันต์อย่างเดียวที่ปล่อยวางได้หมด ส่วนพระอริยะขั้นต้นนั้นยังปล่อยวางไม่ได้หมด พระโสดาบันนั้นก็ตรงกับคำว่าโสดาจริงๆ เพราะคำว่าโสดาหมายถึงผู้แรกเห็น และเป็นผู้แรกเห็นจริงๆ  เห็นแต่ยังปล่อยวางไม่ได้
               ธรรมของข้าพเจ้าในวันนั้น สรุปได้เพียงสั้นๆ ว่า
                                              “ความตายไม่มี

               เมื่อข้าพเจ้ารู้ธรรมเดียวกับที่พระพุทธเจ้ารู้แล้ว ก็เข้าใจพระองค์ว่าทำไมพระองค์จึงคิดที่จะไม่สอนธรรมในตอนแรก เพราะธรรมนั้นเป็นเรื่องละเอียดยิ่งนัก
             เมื่อบรรลุธรรมแล้วข้าพเจ้าก็อยู่กับพระอาจารย์อีกระยะหนึ่งเพื่อศึกษาการละกิเลสบางตัวที่มีอยู่ แล้วในที่สุดก็ต้องลาจากเพศของนักบวชออกมา โดยที่ท่านพระอาจารย์เป็นผู้สึกให้ เพราะยังมีภาระตามสมมุติบัญญัติของความเป็นลูกของความเป็นพี่อยู่ จึงสึกออกมาทำสมมุติบัญญัตินั้น และเนื่องด้วย เมื่อบรรลุธรรมแล้วจึงรู้ว่าอยู่ที่ไหนก็ปฏิบัติธรรมได้
            ข้าพเจ้าก็ทำงานอยู่ระยะหนึ่งและก็กลับไปเรียนต่อ ปัจจุบัน (พ.ศ. 2545) ข้าพเจ้าศึกษาอยู่ในมหาวิทยาลัยของรัฐแห่งหนึ่ง ศึกษาระดับปริญญาตรีอยู่ปี 3 ด้านฟิสิกส์ เนื่องด้วยข้าพเจ้าอายุยังน้อยจึงไม่สามารถที่จะแสดงตนและสอนธรรมใครได้ ข้าพเจ้ามีลูกศิษย์อยู่เป็นจำนวนมาก แต่เป็นมนุษย์เพียงคนเดียว เหตุผลเพราะว่าข้าพเจ้าไม่กล้าที่จะบอกใครว่าข้าพเจ้าบรรลุธรรมกลัวเขาไม่เชื่อกลัวจะหาว่าข้าพเจ้าบ้า
               ข้าพเจ้า จัดทำ WEBSITE นี้ขึ้นมิใช่เพื่อต้องการอวดอ้างตนว่าเป็นผู้บรรลุธรรม แต่เพื่อต้องการตอบปัญหาธรรมแก่ผู้ใฝ่ธรรม ที่ต้องติดอยู่ในความสงสัยในธรรม แล้วไม่รู้จะไปถามกับใคร และไม่แน่ใจว่าที่ตนเคยไปถามธรรมกับครูอาจารย์นั้นถูกต้องหรือไม่ เนื่องด้วยไม่แน่ใจว่าครูอาจารย์ของตนเข้าถึงธรรมหรือยัง เพราะอาจจะได้แต่ดำรงหรือสมาธิอย่างเดียวก็ได้ เพราะผู้เข้าถึงดำรงหรืออรูปดำรงนั้นได้ก็ไม่ได้หมายความว่าจะเป็นผู้บรรลุธรรม  ดีไม่ดีอาจจะติดในดำรง แล้วหลงเข้าใจว่านั้นคือมรรคผลนิพาน จึงสอนให้ผู้อื่นเข้าไปติด เข้าไปหลงตาม
               ข้าพเจ้าจึงไม่ขอแสดงตนว่าข้าพเจ้าเป็นใครและไม่ขอกล่าวนามอาจารย์ของข้าพเจ้าในที่นี้ และขอความกรุณาผู้ที่รู้ว่าข้าพเจ้าเป็นใคร และรู้ว่าอาจารย์ของข้าพเจ้าเป็นใคร กรุณาอย่าได้เขียน หรือเอ่ยนามของชื่อข้าพเจ้า หรือนามอาจารย์ของข้าพเจ้าในที่ใดๆ
               หากผู้ใฝ่ธรรมท่านใดต้องการถามปัญหาธรรมสามารถถามผ่านได้ทาง e-mail ที่ areyatum@hotmail.com ข้าพเจ้าจะนำปัญหา และคำตอบลงใน WEBSITE เพื่อให้ผู้ใฝ่ธรรมท่านอื่นได้ศึกษาด้วย หากไม่ต้องการให้นำคำถามและคำตอบนั้นลงใน WEBSITE กรุณาวงเล็บด้วยว่าไม่ต้องการให้ลง WEBSITE

                                                                    ขอธรรมจงมีแด่ท่าน




สารบัญปัญหาธรรม
ปัญหาธรรมข้อที่ 1       เราจะไปนิพพานได้อย่างไร ?

ปัญหาธรรมข้อที่ 2      แสงแห่งธรรมเป็นเช่นไร ?

ปัญหาธรรมข้อที่ 3       มีครอบครัวแล้วสามารถบรรลุธรรมได้หรือไม่ ?

ปัญหาธรรมข้อที่ 4       เราจะต้องสร้างบารมีอีกกี่ชาติถึงจะบรรลุธรรม ?


ปัญหาธรรมข้อที่ 5       ปัจจุบันนี้พระพุทธเจ้าทรงประทับอยู่ที่ใด ?

ปัญหาธรรมข้อที่ 6       เขาว่ากันว่าใจเป็นนาย กายเป็นบ่าว ฉะนั้นหมายความว่าธรรมนั้นบรรลุได้ด้วยใจใช่หรือไม่ ?

ปัญหาธรรมข้อที่ 7       ธรรมคืออะไร ?

ปัญหาธรรมข้อที่ 8       นิพพานเป็น อัตตา หรือ อนัตตา ?

ปัญหาธรรมข้อที่ 9       บรรลุธรรมจริงหรือไม่ ?

ปัญหาธรรมข้อที่ 10      ที่ท่านกล่าวว่า ความตายนั้นไม่มี  หมายความว่าอย่างไร?

ปัญหาธรรมข้อที่ 11      แนวทางที่ท่านใช้บรรลุธรรมนั้น คืออะไร?

ปัญหาธรรมข้อที่ 12      การทำให้ถึงซึ่ง การบรรลุธรรมด้วยปัญญา หรือ “ปัญญาวิมุตินั้น มีวิธีปฏิบัติอย่างไรขอทราบถึงวิธีที่ท่านฝึกปฏบัติ      
                 
ปัญหาธรรมข้อที่ 13     อยากทราบขั้นตอนเพื่อให้บรรลุธรรมอย่างละเอียด ที่คนทั่วไป สามารถปฏิบัติได้

ปัญหาธรรมข้อที่ 14      เราเป็นชาวพุทธ มีความศรัทธา ในองค์พระพุทธเจ้า และคำสอน ของพระองค์นั้นก็ถูกต้อง ทำไมชาวพุทธหรือผู้ที่พยายามปฏิบัติตามแล้วยังไม่ได้บรรลุธรรม เมื่ออ่านประวัติของพระสายปฏิบัติ หลายๆรูป เช่นพระป่า ทำให้คิดหรือปฏิบัติธรรมตามแบบ ท่าน  ไม่ทราบว่าแนวทางที่พระท่านปฏิบัติเราควรจะนำมาปฏิบัติตามได้หรือไม่ เพราะอะไร วิธีที่จะดูว่าพระองค์ไหนเป็นพระอริยะนั้นดูอย่างไร พระอาจารย์ท่านเป็นใคร อยากจะฟังหรืออ่านธรรมจากท่าน 

ปัญหาธรรมข้อที่ 15      การที่ความรู้หลั่งไหลเข้ามาสู่ท่านนั้น ท่านทราบกลไกหรือไม่ว่า ความรู้นั้นมาจากไหน มาได้อย่างไร และรู้ทุกอย่างที่อยากจะรู้ หรือไม่หรือรู้เฉพาะที่เกี่ยวกับจิตและจักรวาล

ปัญหาธรรมข้อที่ 16     เราอยู่ในบ้าน  ไม่เห็นบ้าน               
                                               เราอยู่ในโลก   ไม่เห็นโลก
                                               เราอยู่ในเรา    ไม่เห็นเรา
                                               ใครเห็นแล้ว ช่วยบอกผมด้วย    

    
ปัญหาธรรมข้อที่ 17      เพิ่มเติมปริศนาธรรมเรื่องที่ในปัญหาธรรมข้อที่16
                                  และข้อถามปริศนาธรรมข้อที่ ว่า
                 "มีไม้ยาวท่อนหนึ่ง ใครยกไม้ขึ้นโดยให้ปลายทั้งสองขึ้นพร้อมกันได้"
       ผู้พยายามหลายคน เมื่อมีคนไปยกท่านอาจารย์ก็จะถามว่า ปลายไหนขึ้นก่อน


 ปัญหาธรรมข้อที่ 18    ขอแสดงความเห็นเพิ่มในปัญหาธรรมข้อที่
                                  พระพุทธเจ้าทรงประทับอยู่ที่ใด


ปัญหาธรรมข้อที่19       เห็นดวงกลมนั้น เป็นสีเหลืองตัดเส้นรอบวงด้วยสีแดง
                                    ข้างในเห็นเป็นเหมือนรูปกงจักร หมุนติ้วดวงเล็ก แต่เห็นได้
                                  ชัดมากมีความหมายมั้ยคะ


ปัญหาธรรมข้อที่20       จิตคือธาตุรู้ใช่หรือไม่?

ปัญหาธรรมข้อที่21     - ทานเนื้อ ไม่ท่านเนื้อ   ข้อสิกขาบทที่พระเทวทัตเคยทูลขอ ด้วยอุบาย แต่ถูกพระพุทธองค์ปฏิเสธ จึงเป็นข้อวัตรที่อยู่นอกพุทธบัญญัติ
                                   -   อย่างไรจึงจะเรียกว่าพระอริยะเจ้า
                                   -   ท่านเห็นอย่าไรกับประโยคที่ว่า จิตคืออาการของใจ
                                   -   วิมุตติ

ปัญหาธรรมข้อที่ 22      อะไรที่เป็นปัจจัยให้บรรลุธรรม

ปัญหาธรรมข้อที่ 23      เราจะละสีลัพพตปรามาสได้อย่างไร

ปัญหาธรรมข้อที่ 24      กระผมอยากทราบว่า การคืนสมมุติบัญญัติคืนสู่ธรรมชาติปล่อยวางหมดสิ้น เข้าสู่นิพพานหรือกลับสู่สภาวะจิตเดิมแท้นั้น แตกต่างกับจิตตอนที่เห็นแสง เกิดเป็นของคู่มีผู้รู้ ผู้ถูกรู้ เกิดเป็นดวง  จิตลอยขึ้นมาอย่างไร เพราะข้อที่ว่า คำว่าจิต จิตเดิมแท้ สิ่งนั้น ตถาคตา  มรรค และนิพพาน คำเหล่านี้หมายถึงสิ่งเดียวกัน  ถ้าเป็นสิ่งเดียวกันเช่นนั้นไม่กลายกลับเป็นวัฏสงสารมาเวียนเกิดอีก  เหรอครับต้องขอโทษด้วยนะครับ ถามด้วยความไม่รู้จริง ๆ

ปัญหาธรรมข้อที่25      พออ่านปุ๊บก็รู้ปุ๊บว่าพระอาจารย์ที่ท่านกล่าวคือใคร

ปัญหาธรรมข้อที่26       บรรลุธรรมแล้วรู้สึกอย่างไร

ปัญหาธรรมข้อที่27       มีคำถามอยากจะถามว่า การตอบธรรมของท่าน จนออกมาเป็น คำพูดหรือตัวอักษรนี้ มันจะต้องผ่าน อะไรก่อนหรือไม่ ดิฉัน  หมายความว่า เมื่อท่านอ่านคำถามจบแล้ว คำตอบของท่าน ออกมาเป็นอย่างที่ปรากฏบนเวปนี้เลยใช่หรือไม่คะ

ปัญหาธรรมข้อที่28      - สงครามระหว่าง อเมริกากับอิรัก
                                  - ศาสนาพุทธในเมืองไทยจะเปลี่ยนไปอย่างไร


ปัญหาธรรมข้อที่29       พระท่านสอนให้เราอยู่กับปัจจุบัน ฉะนั้นแสดงว่าสภาวะ  แห่งธรรมหรือนิพพานนั้นคือสภาวะ ความเป็นปัจจุบันใช่หรือไม่?

ปัญหาธรรมข้อที่30       จากประโยคที่ว่า "ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา ตถาคต"  นั้น หมายความว่าอย่างไร หมายความว่าเราจะได้พบ ได้เห็น พระพุทธเจ้าจริงๆหรือฉะนั้นพระพุทธเจ้าเป็นตัวเป็นตนหรือ?   พระอรหันต์ที่นิพพานก็มีตัวมีตนด้วยหรือ

ปัญหาธรรมข้อที่31        อยากจะถามเรื่องญาณ 16 อีกครั้งว่าเพราะเหตุใดผู้ปฏิบัติได้ถึงญาณ 16 จึงยังติดอยู่แค่นี้ ไม่ได้เห็นธรรมหรือนิพานอะไรกับเขาบ้าง

 ปัญหาธรรมข้อที่32     บรรลุธรรมคืออะไร  อย่างไรจึงเรียกว่าบรรลุธรรม ?
                                  บรรลุธรรมแล้วเหตุใดจึงยังไม่ตายภายใน 7 วัน
ปัญหาธรรมข้อที่33      อริยะเจ้านั้นมองเห็นจิตวิญญาณ,ผี ,เทพ ฯลฯ เป็นเรื่องปกติทุกท่านใช่หรือไม่  คำกล่าวถึงบุคคลที่มีสัมผัสพิเศษ sixth sense .... คนที่เห็นในสิ่งที่คนอื่นไม่เห็น รู้ในสิ่งที่คนอื่นไม่รู้  คนที่ผู้อื่นมองว่าป่วยเป็นโรคทางจิต

ปัญหาธรรมข้อที่34     ในสภาวธรรมหรือนิพพานนั้นเป็นสภาวะเช่นไรกันแน่  ในสภาวธรรมนั้นทุกสรรพสิ่งยังคงมีอยู่"  หรือว่า "ในสภาวธรรมนั้น  เป็นสภาวะที่ปราศจากทุกสิ่ง ช่วยตอบด้วย

ปัญหาธรรมข้อที่35     "เซ็นมีวิธีการปฏิบัติตนเช่นไรเพื่อให้เข้าถึงธรรมตัวเองคิดว่ามันน่าจะ  มี concept อะไรซักอย่างที่เป็นหลักการหลักๆของเซ็นเพื่อให้เข้าถึงธรรม 

ปัญหาธรรมข้อที่36   - ธรรมไม่ได้มีความแตกแยก ไม่มีสูงไม่มีต่ำเสมอกันหมดถูกต้องหรือไม่
                                - ธรรมที่กล่าวถึง " มานะ "  สังโยชน์ กิเลสที่ละอยาก
                                - " ผู้ที่กล่าวว่าตนได้ธรรม ผู้นั้นยังกล่าวไม่ถูกต้อง"


ปัญหาธรรมข้อที่37     1. ถ้าอยากบรรลุธรรมควรทำอย่างไร ดิฉันมีศรัทธา จึงพยายามสวดมนต์และทำบุญตามอัตตภาพ..
                                  2. เวลานั่งสมาธิแล้วจะเจอพวกมารมารังควาน จริงหรือไม่ ถ้าจริงมีวิธีแก้ไขอย่างไร   ดิฉันเลยไม่กล้านั่งสมาธิ พยายามกำหนดลมหายใจเข้า-ออก แต่จิตชอบฟุ้งซ่าน และ ไม่แน่ใจว่าเวลากำหนดอย่างที่ทำแล้ว คนอื่นๆ จะรู้สึกแบบเดียวกันมั๊ย
                                  3. ตนเองรู้สึกศรัทธาและมีความมุ่งมั่นที่จะไปสู่นิพพานให้ได้สักชาหนึ่ง เพราะรู้ว่า กิเลศต่างๆคือทุกข ์ และการดับทุกข์ก็คือนิพพานหยุดการเวียนว่ายตายเกิด จริงหรือไม่
                                  4. ดิฉันเข้าใจว่า จิตไม่ตาย และ ความตายไม่น่ากลัวอย่างที่คิดเพราะตายแล้วก็ต้องกลับมาเวียนว่ายตายเกิดอีกครั้ง  และ การที่คนเศร้าโศกเสียใจกับญาติมิตรที่ตายไปก็เพราะคิดว่าจะต้องจากกันชั่วนิรันดร  ซึ่งไม่จริงเสมอไปใช่ไหมคะเพราะ ผู้ที่มีกรรมต่อกัน..ไม่ว่ากรรมดีหรือกรรมชั่วก็จะต้องกลับมาพบกันอีก แต่จะต่างสถานะกันเท่านั้นปัญหาธรรมข้อที่ 38  สงสัยว่าเป็นไปได้ด้วยหรือที่ผู้บรรลุธรรม แต่ไม่รู้ว่าตนบรรลุธรรม


ปัญหาธรรมข้อที่39        อาสาฬหบูชา15 ค่ำ เดือน 8  วันแห่งปฐมเทศนา "   

ปัญหาธรรมข้อที่40        ความ "ว่าง" คำที่ทำให้เกิดความเข้าใจผิดในธรรม 

ปัญหาธรรมข้อที่41         คำอธิบายความหมายของ
                                   "ตัวเรามี     แต่ไม่มี"            "ตัวเราไม่มี   แต่มี"
                                   "ต้นไม้มี    แต่ไม่มี"             "ต้นไม้ไม่มี   แต่มี"
                                   "ภูเขามี    แต่ไม่มี"             "ภูเขาไม่มี   แต่มี"
                                   "หมามี   แต่ไม่มี"               "หมาไม่มี   แต่มี"
                                   "พระอาจารย์มี    แต่ไม่มี"    "พระอาจารย์ไม่มี  แต่มี"
                                   "พระพุทธเจ้ามี   แต่ไม่มี"     "พระพุทธเจ้าไม่มี  แต่มี"
                                   "ความตายมี    แต่ไม่มี"        "ความตายไม่มี   แต่มี"


ปัญหาธรรมข้อที่42              ธรรมหรือจิตนั้นหรือนิพพานนั้นเหตุใดจึงอยู่เหนือสมมุติแผ่นดินไหว และคลื่นยักษ์ซึนามิ(Tsunami) เกิดจากมนุษย์ และจะเกิดขึ้นอีก จะหนักกว่าครั้งนี้ (26 ธค 47)

ปัญหาธรรมข้อที่43         นายกทักษิณจะถูกลอบสังหาร  ฝากข่าวถึงท่านนายก ใครใกล้ชิดกับท่านช่วยบอกท่านด้วยว่าท่านกำลังถูกลอบสังหาร

ปัญหาธรรมข้อที่44        เมื่อหนึ่งปีที่ผ่านมาคุณเคยกล่าวว่านายกทักษิณจะทำให้ประเทศไทยเจริญขึ้นต่ตอนนี้เกิดวิกฤตการณ์ทางการเมืองเนื่องจากตัว ท่านนายกทักษิณเสียเองจึงอยากจะถามคุณว่าเหตุใดมันจึงเป็นเช่นนี้ บ้านเมืองเราจะเกิดอะไรขึ้นและ ประชาชนอย่างเราจะได้รับผลอย่างไร การชุมนุมประท้วงก็มีมากขึ้น อย่างเช่นวันอาทิตย์ที่ 26 ก.พ. 49 นี้ก็จะมีการชุมนุมครั้งใหญ่กันอีก

ปัญหาธรรมข้อที่45       พระผู้หมดกิเลสแล้วสามารถยุ่งเกี่ยวกับการเมืองได้หรือไม่ เหตุการณ์เพิ่มเติมที่จะเกิดขึ้นของประเทศไทยจากวิกฤตการเมือง ของนายกทักษิณ  (28 ก.พ.49 )

 ปัญหาธรรมข้อที่46 
          -เหตุใดการกล่าวว่า  “ธรรมคืออัตตา”   จึงเป็นการกล่าวที่ไม่ถูกต้อง
          -เหตุใดการกล่าวว่า  “ธรรมคืออนัตตา”  จึงเป็นการกล่าวที่ไม่ถูกต้อง
          -เหตุใดการกล่าวว่า  “ธรรมคือความว่าง”  จึงเป็นการกล่าวที่ไม่ถูกต้อง
          -เหตุใดการกล่าวว่า  “ธรรมคือสูญญตา”   จึงเป็นการกล่าวที่ไม่ถูกต้อง
          -เหตุใดการกล่าวว่า “ธรรมคือความเป็นหนึ่ง” จึงเป็นการกล่าวที่ไม่ถูกต้อง  


ปัญหาธรรมข้อที่47          ในเมื่อธรรมอันพ้นโลกที่เรียกกันว่าโลกุตระนั้น ไม่พึงสามารถอธิบายแล้วด้วยอุปมาดั่งรสแห่ง  อาหาร แต่ว่ารสอาหารนั้นย่อมแจ่มแจ้งแก่ผู้รู้รสแล้ว รสอาหารนั้นเสวนากันย่อมถึงความเข้าใจกันได้เพราะรับรู้ธรรมตรงกันอันว่า ศัพท์"โสดาบัน" นี้ ภาวะนับเป็นโลกุตระ ในเมื่อโสดาบันเราพึงอธิบายด้วยว่าเป็น"ผู้ตัดสังโยชน์เบื้องต่ำ3ประการอันได้แก่วิจิกิจฉา สีลัพตปรามาส และสักกายทิฐิได้แล้ว" ผู้ฟังที่เป็นปุถุชนอยู่ย่อมรับฟังและจดจำอยู่ได้เป็นเบื้องต้น แต่ยังไม่เข้าถึงธรรมนั้นก่อนแต่พระอริยะเจ้า ย่อมทราบธรรมข้อนี้ด้วยญาณทัสสนะด้วยดีแล้ว ย่อมถึงแก่ความเข้าใจแจ่มแจ้งดังนี้ และข้ออันพระอริยะเจ้าเรียกอยู่สนทนาถึงอยู่และผู้รู้ย่อมรู้ได้เฉพาะตนดังนั้น  โฉนจึงอธิบายแต่เบื้องแรกว่าไม่พึงอธิบายได้เล่า?

ปัญหาธรรมข้อที่48          มรรคนั้นหากสังเกตจะพบว่า ปัญญาขึ้นก่อนจะเกิดศีลเอง จากนั้นจิตใจจะเป็นธรรมชาติเดิมจะเกิดสติ และสมาธิเองตามลำดับ ถ้ามองลึกซึ้งจะพบว่าไม่ต้องทำอะไรเลย  ตรงกับเซ็น ไม่ต้องทำ ไม่ต้องคิด ไม่ต้องกำหนด ไม่ยึดธรรม ตัดจิตปรุงแต่ง จิตจะเป็นสภาพเดิมของมัน ผิดกับหลักเถรวาทต้องใช้อุบาย
กับธรรมใช้ศึกษาสภาพจิตจนรู้แจ้งใช้เวลานานมาก
        -อยากถามว่าถ้าแต่ละวันเราตัดจิตปรุงแต่งออกเหลือแต่สติรับสิ่งกระทบจากอายตนะ
6 เท่านั้นคือไม่คิดเพิ่มเมื่อมีสิ่งมากระทบตลอดเวลาจะบรรลุธรรมได้ไหม ?


ปัญหาธรรมข้อที่49          ผู้ที่เข้าถึงธรรมแล้วยังไม่ถึงธรรมตามคำที่พระท่านว่านั้นหมายถึงอะไร ผู้ที่ยอมรับสิ่งหนึ่งว่าเป็นธรรมแล้วปฏิเสธอีกสิ่งหนึ่งว่าไม่ใช่ธรรม  ผู้นั้นยังไม่เข้าถึงธรรม"กิจของเรานั้นเสร็จสิ้นแล้ว กิจอื่นที่ควรทำให้ยิ่งกว่านี้ไม่มีอีกแล้ว"  ผู้ที่เข้าถึงธรรมแล้วยังไม่ถึงธรรมตามคำที่พระท่านว่านั้นหมายถึงอะไรผู้ที่ยอมรับสิ่งหนึ่งว่าเป็นธรรมแล้วปฏิเสธอีกสิ่งหนึ่งว่าไม่ใช่ธรรม    ผู้นั้นยังไม่เข้าถึงธรรม  "กิจของเรานั้นเสร็จสิ้นแล้วกิจอื่นที่ควรทำให้ยิ่งกว่านี้ไม่มีอีกแล้ว"

ปัญหาธรรมข้อที่50      สภาวะโลกร้อนนั้นมีผลต่อการทำสมาธิหรือไม่ มีผลต่อจิตใจคน หรือไม่ ได้ดูในสารคดี เห็นภัยธรรมชาติ และภัยจากคน รบกวนช่วยให้ความกระจ่ายเกี่ยวกับเรื่องนี้ด้วยว่าต่อไป  โลกจะเป็นอย่างไร คนจะอยู่กันอย่างไร โลกและประเทศไทยจะเป็นอย่างไร  ตลอดจนเวลาที่จะเกิดขึ้น 

ปัญหาธรรมข้อที่51        ได้กล่าวถึงจิตเดิมแท้ ขอสอบถามท่านว่า ที่อยู่ของจิตเดิมแท้นั้น อยู่ที่ไหนในกายเราครับ

ปัญหาธรรมข้อที่52        พระบางรูปสามารถรู้วาระจิต หลวงปู่หลวงตาบางท่านก็สามารถรู้ว่าคนที่มาหาคิดอะไรอยู่ในใจ มีความทุกข์อะไรมาอยากจะถามว่าในเมื่อความคิดอยู่ในสมองของเราแล้วทำไมพระท่านรู้ความคิดเราได้อย่างไร  พระพุทธเจ้าทรงตรัสสอนไว้ว่า ธรรมนั้นไม่จำกัดกาลหมายความว่าคนเราสามารถบรรลุธรรมได้ทุกเวลาใช้หรือไม่ แล้วเหตุใดธรรมจึงไม่จำกัดกาล  การละลึกชาติจากเหตุแห่งกาลเวลา

ปัญหาธรรมข้อที่54   ขอถามธรรมตามความเข้าใจของตนเองดังนี้ว่าถูกต้อง หรือไม่            
                   -ช่องว่างของจิต ไม่ใช่ จิต
   ช่องว่างของ จักรวาล ไม่ใช่ จักรวาล
                   -ช่องว่างของจิต จะไปร่วมอยู่กับช่องว่างของจักวาล
                  - จิต  คือ  จักรวาล


ปัญหาธรรมข้อที่ 55     แม้ "นิพพานจะไม่ขึ้นตรงต่อสิ่งใด แต่เราก็ควรทำบุญกุศลเพื่อการเข้าใกล้ "นิพพาน"   จะทำเช่นไร เพื่อให้ได้กลับมาเกิดเป็น มนุษย์

บทสุดท้าย      ดาบสองคม และข้อปฏิบัติสำหรับผู้ที่มีจิตหลุดพ้น และผู้ที่จะหลุดพ้นในวันข้างหน้าเพื่อสมมุติที่สมบูรณ์บทสุดท้ายและข้อเตือนใจถึงผู้แสวงหาทางหลุดพ้น 


..
     ปัญหาธรรมข้อที่ 1      เราจะไปนิพพานได้อย่างไร
        ตอบ  ไม่มีใครสามารถไปนิพพานได้
                    ข้าพเจ้าตอบเช่นนี้อาจทำให้ผู้ใฝ่ธรรมไม่เข้าใจ เหตุที่ข้าพเจ้าตอบว่าไม่มีใครสามารถไปนิพพานได้นั้นเป็นจริงเช่นนั้น เพราะว่านิพพานมิใช่สถานที่ ไม่ใช่เมืองหรือไม่ใช่นครใดๆ ทั้งนั้น แต่นิพพานนั้นมีอยู่จริง สภาวะนิพพานคือสภาวะที่ " ไม่ไป-ไม่มา " เป็นสภาวะที่คืนสมมุติบัญญัติทุกอย่างให้แก่ธรรมชาติ ขอให้ไปอ่านเรื่องจิตจักรวาลของข้าพเจ้าอีกครั้งในหัวข้อ  "ข้าพเจ้าบรรลุธรรมได้อย่างไร"  จะเข้าใจมากขึ้นว่านิพพานคือสภาวะแห่งจิตเดิมแท้ก่อนที่จิตจะหลงผิดมาเป็นดวงจิต(จิตไม่แท้)
                    ข้าพเจ้าเข้าใจความหมายในคำถามของท่านที่ว่าเราจะไปนิพพานได้อย่างไร ผู้ที่จะไปนิพพานได้นั้นจะต้องสามารถปล่อยวางให้ได้ก่อน การที่จะปล่อยวางได้ก็จะต้องเข้าใจว่าสภาวะเดิมของเราเป็นอย่างไรจึงจะสามารถปล่อยวางได้ สภาวะเดิมของเรานั้นเป็นสภาวะเดียวกับธรรมชาติ ซึ่งธรรมชาติมีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา ทุกสรรพสิ่งมีการเกิดและการดับไปอยู่ตลอดเวลา เรารู้อย่างนี้แล้วเราก็จะปล่อยวางได้ แม้แต่ร่างกายเราหรือก่อนหินที่อยู่นิ่งก็มีการเปลี่ยนแปลง มีการเกิดดับอยู่ตลอดเวลา จิตเราก็เช่นเดียวกันเกิดและก็ดับอยู่เช่นนั้นตลอดเวลา การจะฝึกให้เห็นการเกิดดับเช่นนั้นได้มีอยู่หลายวิธี เช่น ดูลมหายใจเข้าออก ดูท้องหรือที่เรียกว่ายุบหนอพองหนอ จนเห็นการยุบการพองเป็นเรื่องปกติเห็นจนเป็นการเกิดดับเป็นปัจจุบันขณะไม่เร็วไม่ช้าเกินไป เมื่อเห็นเช่นนั้นแล้วจิตก็ปล่อยวาง และเมื่อเห็นอะไรก็ปล่อยวางจนสุดท้ายจิตก็กลับสู่สภาวธรรมแห่งมรรคผลนิพพาน หรือจะฝึกโดยการดูการเต้นของหัวใจตนเองไปเรื่อยๆ และปล่อยวางทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นก็ได้เหมือนกัน แต่ต้องดูการเกิดดับนั้น อย่าไปนิ่งอยู่ที่ใดที่หนึ่ง ไม่เช่นนั้นจะไปติดในดำรงในสมาธิได้ วิธีอื่นก็มีอีกหลายวิธีแต่วิธีที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสว่าเป็นทางสายเอกคือสติปัฏฐานสี่
ขอให้ผู้ใฝ่ธรรมปฏิบัติดูก็จะได้ในที่สุด



ปัญหาธรรมข้อที่ 2    แสงแห่งธรรมเป็นเช่นไร ?
ตอบ   แสงสว่างไม่ไดหมายถึงธรรม และธรรมก็ไม่ได้หมายถึงแสงสว่าง เมื่อบรรลุธรรมแล้วจะรู้ว่าสว่างก็เป็นเรื่องของสว่าง มืดก็เป็นเรื่องของมืด จิตเดิมแท้ ธรรมหรือมรรคผลนิพพานไม่ไปรับรู้อะไรด้วย
                     ผู้ที่นั่งสมาธิแล้วไปเห็นแสงสว่างนั้นเนื่องจากจิตไปติดในสมาธิ ให้ปล่อยวางความสว่างนั้นเสีย ให้นำความรู้สึกไว้ตรงกลางระหว่างของคู่ คือแสงสว่างและตัวที่รู้ว่าสว่าง (ใจของเรา) นำความรู้สึกไว้ตรงกลางตลอดเวลาเมื่อไปติดในความสว่างก็ดึงมาไว้ตรงกลาง เมื่อไปติดในตัวรู้ว่าสว่างก็ให้ดึงมาไว้ตรงกลาง ทำเช่นนี้อยู่ตลอดเวลา เมื่อความเป็นกลางสมบูรณ์จิตก็ปล่อยวาง ก็จะเข้าสู่มรรคผลนิพพาน และจะเข้าใจว่าจิตเดิมแท้ มรรคผลนิพพานคืออะไร ได้เหมือนกัน
             จำไว้ว่าทำความเป็นกลางให้ได้  พระพุทธเจ้าทรงตรัสไว้ว่าพระพุทธเจ้าเดินทางสายกลาง ก็หมายถึงสิ่งนี้เอง ไม่สุดโต่งไปข้างใดข้างหนึ่งในของคู่
ขอให้ผู้ใฝ่ธรรมปฏิบัติดูก็จะได้ในที่สุด

ปัญหาธรรมข้อที่ 3      มีครอบครัวแล้วสามารถบรรลุธรรมได้หรือไม่?
ตอบ ได้
                 ผู้มีครอบครัวแล้วก็สามารถบรรลุธรรมได้ทุกขั้นทุกระดับขอให้เพียงปฏิบัติ เมื่อปฏิบัติได้แล้วอยู่ที่ว่าจะสามารถปล่อยวางได้มากน้อยแค่ไหน บรรลุธรรมแล้วปล่อยวางได้หมดก็เป็นพระอรหันต์  ถ้ายังเหลืออยู่ก็เป็นอริยะขั้นต่ำลงมา อริยะขั้นต่ำลงมาทั้ง 3 ยังมีกิเลสอยู่เมื่อบรรลุธรรมแล้วก็ยังอยู่กับครอบครัวได้คือ อริยะขั้นโสดาบันและสกิทาคามียังมีกิเลสในกามอยู่ ยังสามารถมีครอบครัวได้ แต่อริยะขั้นอนาคามีนั้นก็อยู่กับครอบครัวได้แต่ไม่มีอารมณ์ในกาม  จึงไม่สามารถหลับนอนกับผู้เป็นสามีหรือภรรยาได้ ส่วนพระอรหันต์นั้นเมื่อบรรลุถึงขั้นนี้จะต้องออกบวชภายใน 7 วัน เพราะเพศของนักบวชเป็นเพศเดียวที่เหมาะสมกับท่าน เพศอื่นนั้นไม่เหมาะกับท่าน แต่ผู้ใฝ่ธรรมทั้งหลายที่มีครอบครัวไม่ต้องไปคิดมากว่าหากตนปฏิบัติธรรมแล้วไปบรรลุธรรมในขั้นสูงแล้วกลัวจะต้องทิ้งลูก ทิ้งเมีย ทิ้งสามี ทิ้งพ่อ ทิ้งแม่ ออกบวช ทำให้ไม่กล้าปฏิบัติธรรม อย่าได้ไปคิดเช่นนั้น เมื่อบรรลุธรรมถึงขั้นนั้นแล้วจะรู้เองว่า อะไรคืออะไร แล้วจะรู้ว่าควรทำอย่างไร อย่าได้เอาความคิดอย่างเราไปคิดแทนท่านผู้เป็นอริยะขอให้เราบรรลุธรรมก่อนจะรู้เองว่าเราจะทำอย่างไร
ขอให้ผู้ใฝ่ธรรมปฏิบัติดูก็จะได้ในที่สุด

ปัญหาธรรมข้อที่ 4     เราจะต้องสร้างบารมีอีกกี่ชาติถึงจะบรรลุธรรม ?
ตอบ ขอให้ผู้ใฝ่ธรรมอย่าได้คิดว่าตนไม่มีบุญ ไม่มีบารมีเหมือนพระพุทธเจ้า ที่พระองค์ทรงสร้างบารมีมาเป็นร้อยๆ ชาติ พระพุทธองค์จึงบรรลุธรรม
                    ที่พระพุทธองค์ต้องสร้างบุญบารมีมาหลายชาติเพราะพระองค์ปรารถนาที่จะเป็นพระพุทธเจ้า จึงต้องสร้างบารมีมากถึงขนาดนั้น แต่เราไม่จำเป็นที่จะต้องทำเหมือนพระองค์ เพราะเราไม่ได้ปรารถนาที่จะเป็นพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าเมื่อพระองค์ทรงบรรลุธรรมเป็นพระพุทธเจ้าแล้วนั้นพระองค์ทรงเป็นสัพพัญญู เป็นผู้ที่รู้ทุกสิ่งทุกอย่าง แต่ที่พระองค์ทรงนำมาสอนมีเพียงใบไม้หนึ่งกำมือเท่านั้น ธรรมนั้นมีจำนวนมากเท่ากับใบไม้ในป่าที่ไม่สามารถจะนับได้ แต่พระพุทธเจ้าทรงนำเพียงแค่ใบไม้ในหนึ่งกำมือเท่านั้นมาสอนโลก ธรรมที่พระพุทธเจ้านำมาสอนนั้นเป็นธรรมที่สามารถดับทุกข์ได้
                    ฉะนั้นเราไม่จำเป็นจะต้องสร้างบารมีเท่าพระพุทธเจ้าเพื่อให้รู้ธรรมเท่ากับจำนวนใบไม้ในป่า เราขอรู้แค่ใบไม้ในกำมือของพระพุทธเจ้าก็พอ รู้ธรรมที่สามารถดับทุกข์ได้ก็พอ
                    ขอให้เราเริ่มปฏิบัติได้เลย อย่าได้ไปคิดว่าจะต้องมีบารมี ขอให้เราเร่งปฏิบัติแล้วจะได้ ถึงไม่ได้ก็เป็นการสร้างบารมีไปในตัวอยู่แล้ว
                   ขอให้เราถือปฏิบัติกับครู อาจารย์ที่ท่านเป็นผู้บรรลุธรรมที่แท้จริง เราก็จะบรรลุธรรมตามท่าน อย่าไปเรียนกับครู อาจารย์ที่ยังไม่ได้ธรรม เพราะจะทำให้เราหลงเดินทางผิด ข้าพเจ้าเป็นห่วงมากเหลือเกิน เพราะพระในประเทศไทยที่มีมรรคผลนิพพานปลอม (ยังไม่บรรลุธรรม) มีอยู่มาก ขอให้ผู้ปฏิบัติเลือกครู อาจารย์ให้ดีจะได้ครูอาจารย์ดี เมื่อได้ครูอาจารย์ที่ดีให้เร่งปฏิบัติอย่าได้แต่ดีใจว่ามีครูดีเป็นพระอริยะ เพราะจะทำให้ไม่ได้ธรรม จะต้องควบคู่ไปกับการปฏิบัติด้วย
ขอให้ผู้ใฝ่ธรรมปฏิบัติดูก็จะได้ในที่สุด

ปัญหาธรรมข้อที่ 5      ปัจจุบันนี้พระพุทธเจ้าทรงประทับอยู่ที่ใด ?
ตอบ พระพุทธเจ้าไม่ได้อยู่ที่ใดเลยทั้งสิ้น
                พระพุทธเจ้าทรงดับขันธ์ไปแล้วไม่มีตัว ไม่มีตน ไม่มีดวงจิตของพระพุทธเจ้าแล้ว พระพุทธเจ้าทรงคืนสมมุติบัญญัติแก่ธรรมชาติแล้ว เราจึงไม่สามารถไปหาพระพุทธเจ้าได้ เปรียบเหมือนเปลวไฟของเทียนที่ลุกไหม้อยู่ เมื่อเราดับเปลวเทียนนั้นไปแล้ว ถามว่าเปลวเทียนนั้นหายไปไหน ไม่มีแล้วเปลวเทียน พระพุทธเจ้าก็เช่นเดียวกัน พระองค์ทรงดับขันธ์ไปแล้ว
" อย่าได้คิดหรือนั่งสมาธิเข้าฌาณไปหาพระพุทธเจ้า "
                     มีผู้นั่งสมาธิแล้วไปเห็นพระพุทธเจ้า บอกว่าไปเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้ามานั้นแสดงว่าไปติดในสมาธิ ไปติดในนิมิต ไปติดในดำรง เพราะเมื่อเรานั่งสมาธิเข้าสู่ความสงบโดยเอาจิตไปเพ่งอยู่ในที่ใดที่หนึ่งจิตก็จะเข้าไปสู่องค์ดำรงต่างๆ บางก็ไปติดในความสงบ บางก็ไปติดในความสว่าง บางก็ไปติดในนิมิต จิตเข้าถึงดำรงนั้นแล้วอยากจะเห็นอะไรก็เห็น อยากจะเห็นพระพุทธเจ้าก็ได้เห็นพระพุทธเจ้า จิตมันหลอกตัวเอง

                   มีเพิ่มเติมที่ ปัญหาธรรมข้อที่17
ขอให้ผู้ใฝ่ธรรมปฏิบัติดูก็จะได้ในที่สุด

ปัญหาธรรมข้อที่ 6  เขาว่ากันว่า ใจเป็นนายกายเป็นบ่าว  ฉะนั้นหมายความว่าธรรมนั้นบรรลุได้ด้วยใจใช่หรือไม่
ตอบ ไม่ใช่
                    ธรรมนั้นไม่สามารถสำเร็จได้ด้วยใจ พระพุทธเจ้าทรงตรัสไว้ในอาทิตตยปริยายสูตรว่า ใจคือ ขันธมาร ใจเป็นของร้อน เมื่อใจเป็นมารแล้ว แล้วจะสำเร็จธรรมที่ใจได้อย่างไร เราไม่สามารถจะเอาใจไปสำเร็จธรรมได้ หากเราใช้ใจเป็นผู้บรรลุธรรม ธรรมที่ได้ก็ไม่ใช่ธรรม เป็นมายาที่เราถูกใจมันหลอก ผู้ปฏิบัติธรรมส่วนใหญ่ไม่บรรลุธรรมเพราะเอาจิตไปรวมกับใจ ใจเป็นมารตัวใหญ่ที่สุด หากเราเอาจิตเข้าไปรวมกับใจ จิตก็จะกลายเป็นทาสของใจไปในที่สุด จึงไม่เห็นมรรคผลนิพพาน หากบรรลุธรรมแล้วจิตจะเป็นนายของใจตลอดไป

ปัญหาธรรมข้อที่ 7      ธรรมคืออะไร ?
ตอบ ธรรมนั้นไม่มีใครตอบได้ว่าคืออะไร ?
                    แม้แต่ผู้เข้าถึงธรรมแล้วก็ตาม ก็ไม่สามารถบอกได้ว่าธรรมคืออะไร ธรรมนั้นอยู่เหนือสมมุติบัญญัติของทุกสิ่งทุกอย่าง เราไม่สามารถบอกได้ว่ามันคืออะไร แต่เราสามารถฝึกให้บรรลุธรรมได้ เมื่อบรรลุธรรมแล้ว จะเข้าใจว่ามันคืออะไร ถึงแม้ว่าจะเข้าใจธรรมแล้ว แต่ก็ไม่สามารถบอกผู้ใดได้ ธรรมนั้นเป็น ปัจจัตตัง (รู้ได้เฉพาะตน)
                   เปรียบเหมือนมีคนบอกเราว่า มีมะม่วงผลหนึ่งอร่อยมาก มีรสเปรี้ยวอมหวาน ไม่ใช่หวานธรรมดาในความหวานนั้นมีความหอมรวมอยู่ด้วย ความเปรี้ยวที่มีนั้นก็ไม่ได้ทำให้ความหวานเสียไป แต่กลับทำให้รสชาติมันพิเศษขึ้น
                    เราฟังอย่างนี้เราก็ไม่เข้าใจว่ามันอร่อยอย่างไร เราต้องชิมเอง เราถึงรู้ว่ารสชาติมันเป็นอย่างไร พอชิมแล้วเราก็บอกคนอื่นไม่ได้เพราะมันเป็นเรื่องเฉพาะตน ต้องให้คนอื่นมาชิมเองเขาถึงจะรู้ว่ามันเป็นอย่างไร ธรรมนั้นก็เหมือนกันเป็นเรื่องเฉพาะตน ธรรมจึงเป็น ปัจจัตตัง ด้วยเหตุเช่นนี้

ปัญหาธรรมข้อที่ 8   นิพพาน เป็น อัตตา หรือ อนัตตา
ตอบ ……………………
             ที่เว้นไว้นั้นเพราะหาสมมุติบัญญัติใดเข้าไปกล่าวอ้างไม่ได้ การที่จะรู้ว่านิพพานเป็นเช่นไรนั้น เราจะต้องเห็นมรรคเห็นทางเดินซะก่อน การที่จะให้เห็นทางเดินนั้นมีอยู่ 2 ทาง คือ
1.ใช้ปัญญาในการไตร่ตรองในธรรมต่างๆ ที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสไว้ให้มากๆ โดยเน้นให้เป็นไปตามกฎไตรลักษณ์ แล้วจิตจะปล่อยวางได้ในที่สุด จนบรรลุมรรคผล เห็นทางเดินที่เราควรเดิน
2.ใช้สมาธิด้านวิปัสนาไตร่ตรองในกฎไตรลักษณ์และก่อนที่จะเข้าใจในกฎไตรลักษณ์ได้นั้นเราจะต้องเห็นสภาวะเดิมแท้ของทุกสรรพสิ่งของธรรมชาติซะก่อน คือเห็นว่าทุกสรรพสิ่งนั้นมีการเกิดและก็ดับเป็นธรรมดาของธรรมชาติ ดูที่จิตของเรานั้นมีการเกิดและก็มีการดับเป็นธรรมดา แม้แต่ร่างกายของเราเองทุกอณูเซลนั้นก็มีการเกิดและดับเป็นธรรมดา แม้แต่ก้อนหินที่ดูว่ามันนิ่งๆ แต่จริงๆ แล้วมีการสั่นสะเทือนอยู่ภายในทุกอณูมีการเกิดและการดับเป็นธรรมดา และทุกอณูของจักรวาลก็มีการเกิดและดับเป็นธรรมดา
                เมื่อเราเห็นว่าทุกสรรพสิ่งมีการเกิดและดับเป็นธรรมดาได้แล้ว เราก็จะเห็นว่าทุกสิ่งทุกอย่างเป็นไปตามกฎไตรลักษณ์คือ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา คือเราจะเห็นว่า
-1.เห็นว่าทุกสิ่งทุกอย่างไม่เที่ยง เมื่อเกิดแล้วก็ดับไป
-2.เห็นว่าทุกอย่างเป็นทุกข์ คือเมื่อเกิดขึ้นแล้วมันก็ทนอยู่ไม่ได้ มันก็ดับไป
-3.เห็นทุกสิ่งทุกอย่างเป็นอนัตตา คือเมื่อเกิดขึ้นแล้วก็ทนอยู่ไม่ได้ มันก็ดับไป คือเราจะเห็นทุกสิ่งทุกอย่างไม่ใช่อัตตา ทุกสิ่งทุกอย่างไม่มีตัว ไม่มีตน เป็นแค่สภาวธรรมที่เกิดแล้วก็ดับไป ไม่มีตัว ไม่มีตนให้เราเข้าไปยึดถือได้เลย
              ถึงตรงนี้เราจะเข้าใจในธรรมที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่า ธรรมทั้งหลายทั้งมวลเป็นอนัตตาได้อย่างไร เพราะเราจะเห็นทุกสิ่งทุกอย่างในอณูจักรวาลนี้มีเกิด แล้วก็ดับเป็นธรรมดา
              เมื่อเราเห็นว่าทุกสิ่ง ทุกอย่างเป็นไปตามกฎไตรลักษณ์ อนิจจัง ทุกข์ อนัตตาได้แล้วนั้น ไม่ได้หมายความว่าเราเข้าถึงมรรค เพราะในขณะที่จิตเข้าไปเห็นกฎไตรลักษณ์นั้น ยังมีตัวเราเข้าไปเกี่ยวข้องอยู่ จึงไม่ใช่มรรค คือยังมีตัวเราเข้าไปรู้ในกฎไตรลักษณ์ เมื่อถึงตรงนี้เราไม่ต้องทำอะไร ดูกฎไตรลักษณ์ไปเรื่อยๆ จนจิตเรายอมรับการเกิด-ดับนั้น ยอมรับกฎไตรลักษณ์นั้น จิตก็จะปล่อยวาง และเมื่อจิตปล่อยวางจิตก็จะดีดออกจากขันธ์ 5 เห็นมรรค เห็นจิตเดิมแท้ เมื่อเราเห็นมรรคแล้วเราก็จะเข้าใจว่าธรรม ว่ามรรคผลนิพพานนั้นคืออะไร สภาวะตอนนี้เรียกว่าปัจจัตตัง แปลว่ารู้ได้เฉพาะตน เมื่อเห็นมรรคแล้วเราก็จะรู้ว่าเราจะทำอะไรต่อไป เราพบทางเดินแล้ว (มรรคแปลว่าทาง)
                เมื่อเราเห็นว่าทุกสิ่งทุกอย่างเป็นไปตามกฎไตรลักษณ์ อนิจจัง ทุกข์ อนัตตาได้แล้วนั้น ไม่ได้หมายความว่าเราเข้าถึงมรรค เพราะในขณะที่จิตเข้าไปเห็นกฎไตรลักษณ์นั้น ยังมีตัวเราเข้าไปเกี่ยวข้องอยู่ จึงไม่ใช่มรรค คือยังมีตัวเราเข้าไปรู้ในกฎไตรลักษณ์ เมื่อถึงตรงนี้เราไม่ต้องทำอะไร ดูกฎไตรลักษณ์ไปเรื่อยๆ จนจิตเรายอมรับการเกิด-ดับนั้น ยอมรับกฎไตรลักษณ์นั้น จิตก็จะปล่อยวาง และเมื่อจิตปล่อยวางจิตก็จะดีดออกจากขันธ์ 5 เห็นมรรค เห็นจิตเดิมแท้ ถึงตรงนี้เราจะเข้าใจในคำที่ว่า นิพพานคือการก้าวข้ามพ้นกฎไตรลักษณ ์ นั้นเป็นเช่นไร
                 เมื่อเราเข้าถึงมรรคแล้ว เราก็จะเข้าใจว่าธรรม ว่ามรรค ผล นิพพานนั้นคืออะไร สภาวะตอนนี้เรียกว่าปัจจัตตัง แปลว่ารู้ได้เฉพาะตน เมื่อเห็นมรรคแล้วเราก็จะรู้ว่าเราจะทำอะไรต่อไป เพราะเราพบทางเดินแล้ว (มรรค แปลว่า ทาง)
                  ถึงตรงนี้เราจะละสังโยชน์ได้อย่างน้อยที่สุด 3 ตัว คือ 1. สักกายทิฎฐิ 2. วิจิกิจฉา 3. สีลัพพตปรามาส ถึงตรงนี้อย่างมากสุดเราจะกลับมาเกิดเพียง 7 ชาติ (การละสังโยชน์ได้ 3 ตัว เป็นอย่างน้อยนี้พระพุทธเจ้าตรัสเรียกบุคคลเหล่านี้ว่าพระโสดาบัน)
               หวังว่าทุกท่านคงเข้าใจและเห็นแล้วว่านิพพานนั้นไม่ใช่อัตตา และไม่ใช่อนัตตา เพราะเราได้ปล่อยวางกฎไตรลักษณ์นั้นไปแล้วจึงจะเห็นมรรคผลนิพพานได้
1.     ผู้ที่กล่าวว่านิพพานเป็นอัตตา เพราะเอาตัวเราเข้าไปเกี่ยวข้อง ฉะนั้นสิ่งที่เขาเห็นคือไม่ใช่นิพพาน
2.     ผู้ที่กล่าวว่านิพพานเป็นอนัตตา เพราะเอาตัวเองเข้าไปเกี่ยวข้องเช่นกัน ฉะนั้นสิ่งที่เขาเห็นจึงไม่ใช่นิพพาน
(คำว่า สิ่งนั้นคำว่า จิตเดิมแท้คำว่า ตถาตาคำว่า มรรคคำว่า นิพพานคำเหล่านี้มีความหมายเดียวกัน)
หวังว่าเพื่อนผู้ใฝ่ธรรมทุกท่านคงเข้าใจ

ปัญหาธรรมข้อที่ 9 บรรลุธรรมจริงหรือไม่  ?
      ที่คุณว่า
"บัดนี้ข้าพเจ้าได้บรรลุธรรมแล้ว(เพราะข้าพเจ้าปล่อยวางทุกสิ่งหมดสิ้นลงในเวลานั้น)
...... ข้าพเจ้ารู้ธรรมเดียวกับที่พระพุทธเจ้ารู้แล้ว......
ธรรมเป็นอย่างนี้เองหรือ พระพุทธเจ้าบรรลุสิ่งนี้เองเหรอ
นับเป็นคำที่คุณกล้าประกาศขนาดนี้ ผมก็อยากจะขอความรู้เพิ่ม
        ผมไม่ได้ประมาท และไม่ปฏิเสธและก็ยังไม่ยอมรับ)ว่าคุณจะไม่บรรลุธรรมจริงหรือไม่ แต่ผมก็อยากขอหลักฐานหรือเหตุผลที่น่าเชื่อได้ว่าคุณบรรลุธรรมจริง เพราะอย่างน้อยผมก็เห็นเหตุที่ขัดแย้งอยู่ประการหนึ่งซึ่งผมคิดว่าสำคัญคือ พระพุทธเจ้าสอนว่าผู้บรรลุธรรมจะไม่อยากอยู่ในเพศฆราวาสแน่นอน บ้างว่า ถ้าอยู่ได้ไม่เกิน ๗ วันเป็นต้น แต่นั้นก็ยังไม่อาจจะต้องยึดถือตามนั้น   ถ้าคุณชี้เหตุได้ชัดว่าทำไม
       ด้วยความปรารถนาดีอย่างจริงใจว่าเรื่องการบรรลุธรรมไม่ใช่เรื่องจะมากล่าวกันได้เล่นๆ ถ้าไม่จริงเป็นพระก็ปราชิก(นอกจากหลงว่าตัวเองเป็นจริงๆ) แม้เป็นฆราวาสก็น่าจะมีโทษมาก    ผมไม่เกี่ยงว่าใครอายุมากน้อย เพราะไม่มีใครรู้ว่าบารมีของแต่ละคนสั่งสมมามากน้อยต่างกันอย่างไร
        ที่คุณว่าแล้วเราจะเขียนทำไม เขียนให้ใคร ไม่มีใครอ่าน ไม่มีใครเขียน แต่คุณก็ทำ website ก็คงรู้ว่าอะไรเป็น สมมุติ/วิมุติ ก็เป็นสิ่งที่ดี เป็นการแสดง ธรรมที่คุณบรรลุจริง หรืออาจเป็นเครื่องตรวจสอบตัวคุณเองในที่สุดก็เป็นได้
       ผมยินดีรับฟังคุณด้วยพยายามทำใจเป็นกลางยังไม่ตัดสินว่าคุณเป็นอย่างไร 

                                                                   ด้วยความเคารพในธรรม
                                                                            kaan


ตอบ
                  เข้าใจนะครับ คนเรานั้นต้องการความแน่ใจ และยิ่งมีคนออกมาบอกว่าตัวเองบรรลุธรรมก็ยิ่งเป็นเรื่องใหญ่ คน คนนั้นไม่บ้า ก็คงจะหลงตัวเองไปขนาดใหญ่
                  ผมเองก็คิดอยู่นานว่า ควรหรือไม่ที่จะจัดทำเว็ปนี้ขึ้นมา ใช้เวลาไตร่ตรองอยู่เป็นปี แต่ที่สุดก็ตัดสินใจทำเว็ปนี้ขึ้น เพราะทนไม่ไหวที่เห็นคนเข้าใจธรรมกันผิด สาเหตุใหญ่ก็มาจากอาจารย์ของผมท่านหนึ่ง เป็นอาจารย์ที่มหาวิทยาลัยที่ผมศึกษาอยู่ ท่านสอนวิชาปรัชญา ท่านก็ยกเรื่องพุทธศาสนามาสอน มีอยู่ครั้งหนึ่ง มีเพื่อนในห้องที่เคยปฏิบัติธรรมในแนวทางของวัดที่สอนว่านิพพานเป็นสถานที่  ถามว่า " อาจารย์คิดว่า..........เป็นอย่างไร " ท่านอาจารย์ก็ตอบว่า อาจารย์ก็ว่าดี.............. ผมฟังจึงคิดว่า เราควรจะทำอะไรซักอย่าง ไม่ควรจะปล่อยให้ชาวพุทธเป็นเช่นนี้ บอกตามตรงผมคิดหนักมากในการที่จะสอนธรรมมนุษย์ ผมเคยสอนแล้วตอนสึกมาใหม่ๆ มีคนที่สำเร็จธรรมตามผมเพียงแค่คนเดียวเองเท่านั้น สอนธรรมให้มนุษย์ฟังนั้นยากยิ่งกว่าให้เทพฟังอีกนะครับ ผมไม่ขอกล่าวเรื่องเทพแล้วกัน เพราะมันพิสูจน์ไม่ได้ เอาเป็นว่าการที่ผมออกมาแสดงตนว่าตนบรรลุธรรมนั้น ผมเองก็พิสูจน์ไม่ได้ เพราะไม่มีเครื่องหมายใด ที่จะแสดงให้เห็นว่าบุคคลนั้นเป็นอริยะ แม้แต่ตัวพระพุทธเจ้าเอง ร่างกายพระองค์ก็ไม่มีเครื่องหมายปรากฏบนร่างกายว่าเป็นอริยะ พระอรหันต์ในร่างกายท่านก็ไม่มีเครื่องหมาย
               ผมยอมรับว่าจนปัญญาจริงๆ มีวิธีเดียวที่พอจะพิสูจน์ได้ก็คือ นำข้อธรรมที่ผมตอบในเว็ปไปถามผู้ที่บรรลุธรรมเช่นเดียวกัน ท่านก็จะตอบได้ว่าผมบรรลุจริงหรือไม่ เพราะธรรมนั้น หากใครบรรลุก็เหมือนกันหมด เอาคำสรุป ในการบรรลุธรรมของผมไปถามท่านก็ได้ ที่ผมกล่าวไว้ว่า " ความตายนั้นไม่มี" เอาประโยคแค่นี้ไปถามท่าน ท่านก็จะเข้าใจว่าทำไมผมถึงกล่าวเช่นนั้น
               ธรรมนั้นไม่ว่าใครบรรลุ ก็เป็นสิ่งเดียวกัน หากวันไหนคุณบรรลุธรรม คุณก็จะร้องอ๋อ มันเป็นอย่างนี้เอง คุณจะตลกในตัวคุณเองว่า เรานี้โง่จริงนะ ไปตามหามันอยู่ได้ ไม่เห็นมีอะไรให้เอาไปได้เลย แต่มันก็ประเสริฐจริงหนอ
               ผมเองก็สุดปัญญาจริงๆเหมือนกัน แต่เรื่องพวกนี้ผมไม่เอามาพูดเล่นหรอกนะครับ ถึงผมจะเป็นแค่นิสิตปี3 ผมก็รู้อะไรควรไม่ควร ที่จัดทำเว็ปเพราะต้องการจะช่วยคนที่หลงผิดในทางธรรม อยากจะช่วยเขามาก ให้เขาเข้าใจธรรมที่แท้จริง จึงได้ตั้งซื่อเวปที่ตรงๆว่า "พุทธแท้" และเพื่อไม่ให้ใครว่าได้ว่าเราอวดตนจึงไม่แสดงตัว เมื่อไม่แสดงตัว ก็หมายความว่าเราไม่ได้หวังอะไรจากตรงนั้น ทำไปเพราะเมตตาจริงๆ
               ผมขอฝากคำพูดสั้นๆให้ท่านนำคำพูดเหล่านี้ ไปอ่านให้อริยะท่านอื่นฟัง มันจะเป็นสิ่งยืนยันได้เองว่าผมนั้นเป็นเช่นไร
              " ธรรมเหมือนเป็นเรื่องตลก ค้นหากันแทบ เป็นแทบตาย แต่สุดท้ายเอาอะไรไปไม่ได้เลย แต่มันไม่ใช่เรื่องตลกเลย มันประเสริฐสุดยิ่งนัก ไม่สามารถจะเรียกขานบอกใครได้ว่ามันเป็นเช่นไร หากเอาคำพูดเข้าไปกล่าวอ้าง มันก็จะเพี้ยนไป มันยังคงเป็นของมันอยู่เช่นนั้น ไม่มีใครจะเอ่ยนามมันได้ เป็นอย่างนี้ไม่มีเปลี่ยนแปลง กาลเวลาไม่สามารถทำอะไรมันได้ โลกจะอยู่หรือดับ มันก็ยังคงเป็นอยู่เช่นนั้นของมัน"
               "ความตายนั้นหามีไม่ ไม่มีใครเกิด ไม่มีใครตาย ไม่มีใครไป ไม่มีใครมา ช่างประเสริฐจริงหนอ "

ตอบ เรื่องทำไมยังอยู่ในเพศฆราวาส
                เหตุที่ผมยังอยู่ในเพศฆราวาสนั้น ผมยังมีสมมุติบัญญัติอยู่ ผมมีแม่ที่ท่านคอยให้ผมไปเลี้ยงดู เมื่อผมเรียนจบ ตอนนั้นผมมีน้องสาวที่กำลังเรียนหนังสืออยู่ และมีน้องสาวอายุ 5 ขวบอีก 1 คน และเขาก็ติดผมมาก เศรษฐกิจที่บ้านไม่ร่ำรวย ขาดผมไปหนึ่งคนเขาคงอยู่ไม่ได้ เพราะผมก็ช่วยหาเงินไปด้วย น้องก็โตขึ้นทุกวันต้องกิน ต้องเรียน
               ที่บอกว่าทำไมอยู่ในเพศฆราวาสได้ ก็ตัวผมเองบรรลุธรรมยังไม่ถึงขั้นอรหันต์ จึงยังอยู่ในเพศฆราวาสได้
อยากอธิบายว่า พระอริยะ นั้นเห็นในธรรมเดียวกัน เห็นมรรคเห็นนิพพานเดียวกัน จึงได้ชื่อว่า วิจิกิจฉา สิ้นแล้ว ความสงสัยสิ้นแล้วเพราะรู้ในสิ่งเดียวกัน แต่อยู่ที่ว่าใครจะทำให้มรรคให้ทาง(มรรค แปลว่าทาง) นั้นโล่งกว่ากัน หากทำให้โล่งโดยไม่มีกิเลสใดเข้าไปเกี่ยวข้องเลย นั้นก็เรียกว่าอรหันต์ ไม่ได้หมายความว่าพระโสดาเห็นอีกอย่างหนึ่ง พระสกทาคามีเห็นอีกอย่างหนึ่ง พระอนาคามีเห็นอีกอย่างหนึ่ง พระอรหันต์เห็นอีกอย่างหนึ่ง ไม่ใช่อย่างนั้นนะครับ วิจิกิจฉานั้นจะสิ้นได้เมื่อเข้าถึงธรรมแล้วเท่านั้นจริงๆ และธรรมนั้นใครเห็นก็เหมือนกันหมดไม่ว่าจะเป็นโสดาเห็น หรืออรหันต์เห็น แต่เห็นแล้วละสังโยชน์ได้ต่างกัน ที่ละได้หมดก็เป็นอรหันต์ไป ที่ยังไม่หมดก็ ต้องทำมรรคให้โล่ง ตามวิธีมรรค 8
                  ผมเองไม่ใช่อรหันต์นะครับ ถ้าเป็นอรหันต์นั้นก็คงอยู่ในเพศฆราวาสไม่ได้อย่างที่คุณเข้าใจถูกต้องแล้วครับ คือต้องบวชภายใน 7 วัน
              เมื่อถึงธรรมแล้ว เราก็จะรู้ว่าเราควรทำอะไรต่อไป ผมก็รู้อยู่ในจิต ว่าผมจะต้องอยู่ในเพศฆราวาส คุณนึกดูแล้วกัน หากผมบวชแล้วไม่สึก โดยที่ผมทิ้งภาระ ให้แก่ทางบ้านซึ่งมีหนีสิ้นเป็นจำนวนมาก ถ้าผมทำเช่นนั้นเราก็ทำให้คนอื่นลำบาก น้องสาวผมอาจจะกลายตัวเป็นโสเภณีเด็กก็ได้ เพื่อหาเงินมาให้พ่อให้แม่และน้องคนเล็กเพื่อมาซื้อข้าวกินก็ได้
              เมื่อถึงธรรมแล้วคุณจะรู้ว่า ธรรมนั้นมีอยู่ทุกที่ พระไม่ได้หมายความว่าโกนหัว ห่มเหลืองเท่านั้น ธรรมนั้นปฏิบัติได้ทุกที่ ไม่ใช่แค่ที่วัด
                                                                                                                
                                            ขอบคุณครับสำหรับคำถาม

ปัญหาธรรมข้อที่ 10  ที่ท่านว่า "ความตายนั้นไม่มี" นั้นหมายความว่าอย่างไร
จากคำถาม ที่ว่า
     อยากขอเรียนถามสั้นๆสองข้อก่อนว่า ที่ท่านว่า
1. ความตายนั้นไม่มี หมายความว่าอย่างไร             (ขอตอบในปัญหาธรรมข้อ10)
2. แนวทางที่ท่านใช่บรรลุธรรมนั้น  คืออะไร             (ขอตอบในปัญหาธรรมข้อ11)
ตอบ ปัญหาธรรมข้อ 10
                 เหตุที่ข้าพเจ้าสรุปธรรมได้เพียงสั้นๆว่า ความตายไม่มีก็เพราะมันเป็นเช่นนั้นจริงๆ สภาวะแห่งปัจจัตตัง(รู้เฉพาะตน) สรุปได้เช่นนั้นเพราะ ปัญญาเข้าไปรู้ เข้าไปเห็นความเป็นเช่นนั้นเองของธรรมชาติ จึงปล่อยวางได้ คือไปเห็นว่า เดิมนั้นมันไม่มีเรา มีแต่ธรรมชาติล้วนๆ แต่เมื่อเกิดพลังงานธรรมชาติขึ้นเช่น แสง สี เสียง ความเย็น ความร้อน ฯลฯ (ซึ่งมันก็มีอยู่แล้วในธรรมชาติ) เราไปหลงผิดคิดว่าเราเป็นผู้รับ ผู้รู้ ในสิ่งนั้น เช่นแสงสว่างเกิดขึ้น ก็หลงผิด คิดว่าเราเป็นผู้เห็น จึงเกิดเป็นดวงจิตขึ้นมา(จิตไม่แท้,จิตจอมปลอม) ซึ่งก็คือจิตของเรา หรือของสัตว์โลกทั้งหลายทั้งมวล
                   จะเห็นว่ามัน(จิตปลอม)เข้าใจผิดคิดว่ามันเป็นผู้เห็น ซึ่งจริงๆแล้วไม่ใช่เช่นนั้นเลย มันจะมีหรือไม่มี(หมายถึงจิตปลอม) แสงสว่างมันก็มีของมันอย่างนั้นอยู่แล้ว แต่มันหลงผิด มันคิดว่ามันเป็นผู้รู้ เป็นผู้เห็น จึงเกิดของคู่ขึ้นทันที คืออะไรละ?
                    ก็คือ ผู้รู้ และผู้ถูกรู้ ผู้รู้คือตัวมัน ไอ้จิตจอมปลอมนั้น ผู้ถูกรู้ก็คือแสงสว่างนั้น มันจึงกำเนิดจิตขึ้นมา และไอ้จิตนี้มันก็เที่ยวไปรับ ไปรู้อะไรไปทั่ว….. ไปรับรู้ว่านั้นคือนั้น คือนี้ ไปให้สมมุติมั่นว่าไอ้นั้นนะเรียก แสงสว่าง ไอ้นั้นนะเรียกว่าความมืด ทั้งที่มันก็มีของมันอย่างนั้นอยู่แล้ว เราไม่เกิดขึ้นมามันก็เป็นอย่างนั้นของมันอยู่แล้ว ไม่มีใครไปรับไปรู้ว่ามันสว่างหรือมืด แต่เราไปให้สมมุติมันว่า นั้นคือความสว่าง นั้นคือดวงดาว นั้นคือต้นไม้ ….. ชอบใจในสมมุติที่เราตั้งให้เอง ก็ว่ามันสุข ไม่ชอบใจก็ว่ามันทุกข์
                พอกลายเป็นดวงจิตขึ้นมา มันก็ต้องการที่อยู่ มันเที่ยวไปอยู่ที่นั้น ที่นี้ เป็นชาติ เป็นภพขึ้นมา เมื่อไปเจอสิ่งที่มันไม่ชอบ มันก็เป็นทุกข์ มันจึงหาทางดับทุกข์ โดยหนีไปอยู่ในที่ที่มันชอบ แต่มันก็พบว่ามันก็ยังหนีทุกข์นั้นไม่พ้น ถึงมันจะหนีไปอยู่บนชั้นพรหม มันก็ยังหนีทุกข์ไม่พ้น
                สุดท้ายมันก็พบว่า การที่มันทุกข์ ก็เพราะว่ามันมีดวงจิตของมันอยู่ มันจึงทุกข์ ถ้าไม่มีดวงจิตของมัน จะไม่ทุกข์
               ไฟไม่ว่ามันจะร้อนขนาดไหน ถ้าไม่มีใครไปรับ ไปรู้ ไฟนั้นก็ไม่มีความหมายอะไร แต่ถ้าดวงจิตนั้นเข้าไปอยู่ในไฟ มันก็ร้อน มันก็ทุกข์ เมื่อรู้ว่ามันร้อน มันทุกข์ จะหนีอย่างไร? หนีอย่างไรก็ไม่พ้นเพราะทุกข์มันมีอยู่ทุกที่ พอมันรู้ว่าเพราะมีมัน มีดวงจิตของมัน ทุกข์จึงหาที่เกาะได้ แต่ถ้าไม่มีมัน(จิตปลอม) ทุกข์ก็หาที่เกาะไม่ได้ เมื่อรู้อย่างนี้แล้ว มันจึงคืนสมมุติแห่งดวงจิตจอมปลอมที่เที่ยวไปรับ ไปรู้ สิ่งต่างๆ คืนธรรมชาติ จึงไม่มีมันอีก ทุกข์ที่จะเกิดแก่มันจึงไม่มี
              การกลับสู่ธรรมชาติเดิมของจิตนั้น พระพุทธเจ้าตรัสเรียกสิ่งนี้ว่า นิพพาน
              จากอธิบายมาทั้งหมดจะเห็นว่าจิตเกิดมาอย่างไร(จิตปลอม) นิพพานก็คือจิตกลับสู่ที่เดิม ฉะนั้นจะเห็นว่า แท้จริงแล้วไม่ได้มีใครมาเกิด มีแต่อาการของธรรมชาติเท่านั้น เมื่อการเกิดไม่มี การตายจึงไม่มี
             เปรียบเหมือนเราอ่านนิยายเรื่องใดเรื่องหนึ่ง เราอ่านตั้งแต่ต้น ตั้งแต่นางเอกเกิดจากท้องแม่ เราอ่านจนเพลิน แล้วตอนจบนางเอกก็ตาย เราอ่านมาตั้งแต่ต้น เราก็ผูกพันกับนางเอก นางเอกตาย เราก็เศร้าใจ ร้องไห้
+ขอถามหน่อยว่า     "ร้องไห้ทำไม"
- จะตอบว่า             "ก็นางเองตาย"
 +                           "นางเอกที่ไหนตาย"
 -                             "ก็นางเอกในนิยายไง"
+                            อ้าว!……และนางเอกคนนั้นมีตัว มีตนที่ไหนกันเล่า นัก
                               ประพันธ์เขาเขียนขึ้นมา อย่าได้ไปคิดว่ามันมีตัว มีตน
                อ่านตอนนางเอกเกิด มันก็ไม่ได้เกิดจริง เขาสมมุติขึ้น จะมาร้องไห้ทำไม ไม่มีใครตายเลยนะ เพราะไม่มีใครมาเกิด นักประพันธ์เขาเขียนขึ้น เขาสมมุติขึ้น
                ในความเป็นจริงก็เช่นเดียวกัน ความตายนั้นไม่มี เพราะความเกิดนั้นไม่มี อวิชชานั้นประพันธ์ให้เรา มันสมมุติให้เรา ความตายไม่มีก็เช่นนี้เอง
            ขอให้ทบทวนที่อธิบายหลายๆเที่ยวและบ่อยๆจะเข้าใจในที่สุด

                                                 ขอบคุณสำหรับคำถาม

ปัญหาธรรมข้อที่ 11     แนวทางที่ท่านใช้บรรลุธรรมนั้น คืออะไร
 
อยากขอเรียนถามสั้นๆสองข้อก่อนว่า ที่ท่านว่า
1. ความตายนั้นไม่มี หมายความว่าอย่างไร         (ขอตอบในปัญหาธรรมข้อ10)
2. แนวทางที่ท่านใช่บรรลุธรรมนั้น  คืออะไร         (ขอตอบในปัญหาธรรมข้อ11)

ตอบ ปัญหาธรรมข้อ 11
               แนวทางที่ข้าพเจ้าใช้บรรลุธรรมนั้น ก็คือการใช้ปัญญาพิจารณาในธรรมที่ครู อาจารย์สอน จากที่เขียนไว้นั้นว่า ข้าพเจ้าบรรลุธรรมได้อย่างไร”  ข้าพเจ้าบรรลุธรรมได้ด้วยการฟัง แต่การฟังของข้าพเจ้านั้นก็ไม่ธรรมดา การฟังของข้าพเจ้านั้นอยู่บนพื้นฐานของความศรัทธา และข้าพเจ้าก็โชคดีที่ศรัทธาในบุคคลที่ควรศรัทธา ข้าพเจ้ามีความศรัทธาในตัวพระอาจารย์มาก ถึงขนาดว่ายอมตายแทนท่านได้ ความศรัทธานั้นจึงส่งผลให้ข้าพเจ้ามีดวงตาเห็นธรรม
             ความศรัทธาของข้าพเจ้าไม่ได้งมงาย ข้าพเจ้าใช้เวลา 8 ปี ในการเลือกครู อาจารย์  ข้าพเจ้าอ่านคำสอนของพระต่างๆหลายต่อหลายองค์อยู่ 8 ปี  โดยไม่เคยไปกราบพระองค์ใดเลย และในปีที่ 7 ได้อ่านข้อเขียนของพระอาจารย์องค์หนึ่ง อ่านแล้วก็เข้าใจว่าพระอาจารย์องค์นี้เป็นอริยะแล้วแน่ จึงไปฝากตัวเป็นศิษย์ท่าน และตั้งจิตไว้แน่วแน่ว่า ไม่ว่าท่านจะสอนอะไร เราจะเชื่อหมด เพราะแน่ใจแล้วว่าท่านพระอาจารย์เข้าถึงความเป็นพุทธะแล้ว เราจะไม่สงสัยในสิ่งที่ท่านสอน เพราะเราไม่มีเวลาที่จะสงสัยแล้ว เรามีเวลาที่จะบวชอยู่กับท่านพระอาจารย์เพียงแค่สามสี่เดือนเท่านั้น เราต้องตักดวงทุกอย่างให้มากที่สุด เพราะสมมุติทางโลกของเรายังมี ที่เราจะต้องออกไปทำ  ท่านบอกอะไรให้เราทำ เราก็ทำหมด บอกอะไรเราก็เชื่อหมด
                  ขอย้ำ ว่าความศรัทธาของข้าพเจ้าไม่ได้อยู่บนพื้นฐานของความงมงาย แต่อยู่บนพื้นฐานของปัญญา ข้าพเจ้าใช้เวลาเลือกครูอาจารย์ด้วยปัญญาถึง 8 ปี
                    ก่อนจะบวชนั้นไม่ได้คิดว่าตนเองจะบรรลุธรรมด้วยปัญญา(ปัญญาวิมุติ) อาจารย์สอนให้นั่งสมาธิก็ไม่บรรลุธรรม แต่พอจะได้ก็มาได้ด้วยปัญญา สมาธิที่ท่านพระอาจารย์สอน ท่านก็สอนให้เห็นการเกิดดับของธรรมชาติจนเราสามารถปล่อยวางมันได้ ข้าพเจ้าได้อธิบายไว้ในเวปแล้ว ในปัญหาธรรมธรรมข้อที่ 1และข้อที่8 เรื่องนิพพานเป็นอัตตาหรือ อนัตตา หากอ่านแล้วคิดว่ายังไม่ละเอียดสามารถสอบถามมาได้ ข้าพเจ้ายินดีตอบ
                                                  ขอบคุณสำหรับปัญหาธรรมที่ถามมา
ปัญหาธรรมข้อที่ 12 
เรียน คุณ Webmaster
อ้างถึงเนื้อหาในพุทธแท้โฮมเพจ ดิฉันมีคำถามอยากจะขอเรียนถามท่านดังนี้
  - การทำให้ถึงซึ่ง การบรรลุธรรมด้วยปัญญา หรือ ปัญญาวิมุตินั้น มีวิธีปฏิบัติอย่างไร?
  -ขอทราบถึงวิธีที่ท่านฝึกปฏิบัติในระหว่างที่บวช (และก่อนบวช) ก่อนที่ท่านจะบรรลุธรรม

          จากที่ดิฉันได้อ่านในโฮมเพจ ลำดับขั้นได้ว่า ท่านได้ฟังสัจธรรมจากพระอาจารย์ แล้วเกิดความประทับใจในสัจธรรมนั้น จึงได้นำมาเขียนบันทึก ขณะเดียวกันได้คิดพิจารณาตามข้อความนั้น.. จนถึงจุดหนึ่ง จิตเกิดความเห็นจริงในสัจธรรมต่างๆ ธรรมไหลออกมาเองจนสิ้นความสงสัย ปล่อยวางในทุกสิ่ง บรรลุธรรมด้วยปัญญา (หากดิฉันเข้าใจผิดตรงไหน ต้องขออภัยค่ะ) ดิฉันขอคำชี้แนะจากท่านว่า การฝึกปฏิบัติเพื่อให้ถึงจุดนั้น จะต้องฝึกใช้ปัญญาใดๆหรือไม่? อย่างไร?ฝึกแบบใดคะ?
     ขอขอบคุณล่วงหน้าในคำชี้แนะค่ะ และหากมีสิ่งใดที่ผิดพลาดล่วงเกินต้องขออภัยด้วยค่ะ
                                                                               ณรัญรัตน์ ไชยวสุ

ตอบ   รื่อง การทำให้ถึงซึ่ง การบรรลุธรรมด้วยปัญญา หรือ ปัญญาวิมุตินั้น มีวิธีปฏิบัติอย่างไร?
                 ข้าพเจ้าจะขอตอบด้วยประสบการณ์ของตนเอง ที่ได้ผ่านขั้นนั้นมาแล้ว โดยไม่ขอพูดถึงเรื่องบารมีอะไรทั้งนั้น เพราะก่อนนั้นข้าพเจ้าก็ไม่เคยคิดว่าตนมีบารมีอะไร จนปัจจุบันก็ยังไม่เคยคิด มันจะมีหรือไม่มีก็ช่างมัน อย่าไปปรุงแต่งมัน
                 จากประสบการณ์พอจะสรุปได้เป็น 5 ข้อ ดังนี้
                1.เราจะต้องเปิดใจ เหตุที่ต้องเปิดใจเพราะต้องการให้เราออกจากกรอบที่ขังเราอยู่ และกรอบนั้นทำให้เรามีทิฐิ และทิฐินั้นก็เป็นเครื่องกลั้นบังปัญญาของเรา เพราะในสังคมปัจจุบันมีกรอบที่สอนกันมาอย่างผิดๆมากมาย และเข้าใจผิดว่าเป็นพุทธศาสนา ทำให้เราเข้าใจผิดๆ มาตั้งแต่จำความได้ เช่นการสวดแบบต่างๆ และอื่นๆอีกมากมายที่ผิดเพียนมานานแสนนาน แต่เราว่ามันถูกต้องและเห็นว่าปรกติ แล้วทีนี้หากมีใครทำอะไร หรือบอกอะไรที่แตกต่างจากที่เราคิด เราก็ปฏิเสธโดยสิ้นเชิง หรือไม่ก็ทนฟังแต่มีอคติในใจ สิ่งนี้เองที่เป็นเครื่องกันบังปัญญาเรา เพราะพระอริยะส่วนใหญ่แล้วท่านจะทำอะไรที่เราดูท่านแปลกเสมอ พอแปลกสำหรับเรา เราก็ปฏิเสธ
                2. มีความศรัทธาในครู อาจารย์ หรือผู้ที่ให้คำสอน เพราะความศรัทธานั้นทำให้เราไม่สงสัยในคำสอนของท่าน เมื่อไม่สงสัยในคำสอนของท่านจิตเราก็จะแน่วแน่เป็นสมาธิอยู่ในคำสอนนั้น เหมือนเลนส์ที่เราโฟกัสอยู่ในจุดโฟกัส จึงมีกำลังมาก จิตก็เช่นเดียวกันจะมีกำลังมากเพราะไม่ได้แบ่งไปใช้กับความสงสัย
                 3. คำสอนที่ถูกต้อง เพราะคำสอนที่ถูกต้องจะทำให้เราได้สิ่งที่ถูกต้อง ธรรมที่เป็นของจริงหากเราได้ฟัง เมื่อเข้าใจก็จะได้ธรรมที่แท้จริงแต่ธรรมที่ผิดเพี้ยน ท่านจะเข้าใจได้อย่างไร ถึงเข้าใจก็เข้าใจผิด สิ่งที่ได้จึงไม่ใช่ธรรม ธรรมที่แท้จริงก็ย่อมมาจากอริยะที่แท้จริง
                  4. มีจิตอยู่กับธรรมตลอดเวลา อย่างตัวอย่างข้าพเจ้าเองก่อนที่จะมีดวงตาเห็นธรรมนั้น จะทำอะไรจิตก็คิดแต่เรื่องธรรม ว่าไอ้นี้ มันคืออะไร ไอ้นั้นมันคืออะไร เช่น ผู้หญิงคนนี้สวยจัง และยายแก่คนนั้นละ เขาก็เคยสวยเหมือนกันนะ ก็แสดงว่าผู้หญิงที่ดูสวยคนนั้นก็ต้องแก่หนังเหี่ยวเหมือนกับคุณยาย เหมือนกันซิจะเห็นอะไรก็เป็นธรรมไปทุกอย่าง แม้แต่คนที่ว่าเรา ก็คิดว่า เดี๋ยวเขาก็ตาย เราก็ตาย จะมาเถียงกันทำไม ไม่มีใครอยู่ค้ำฟ้าได้ อยู่ว่างๆไม่คิดอะไรคิดแต่เรื่องธรรม เช่นเรื่องความตาย เรื่องทุกข์
                  5. ประพฤติตนที่เหมาะสม ไม่ทำให้ตนเองเดือดร้อน ไม่ทำให้ผู้อื่นเดือดร้อน หรือในทางพุทธศาสนาเรียกว่าศีล ศีลนั้นมีคุณอยู่ไม่ใช่น้อยคือหากเราเป็นคนดีอยู่แล้วแต่โอกาสที่เราจะทำผิดนั้นก็เป็นไปได้ เพราะเรานั้นยังเกี่ยวเนื่องอยู่กับโลก โลกหรือสังคมอาจจะพาเราไปในทางที่ผิดได้หากเราไม่มีศีล ศีลนั้นมีไว้เพื่อช่วย ไม่ใช่มีไว้เพื่อถ่วง หากเราไปยึดติดกับมันมากไป เคร่งคัดกับมันมากไป มันจะกลายเป็นตัวถ่วงได้ ทำความเป็นกลาง ไม่สุดโต่งกับมัน ไม่เคร่งไป ไม่ตึงไป คนธรรมดาอาจจะสงสัยว่าต้องทำมากแค่ไหน อันนี้ตอบยาก เพราะคนที่เข้าใจในศีลทำให้อยู่ในทางสายกลางได้จริงๆนั้น ก็มีแต่อริยะเท่านั้น เพราะท่านสามารถละสังโยชน์ข้อสีลัพพตปรามาสได้แล้ว ศีลสำหรับท่านจึงเดินทางสายกลางจริงๆ แต่สำหรับเราที่ยังอยู่ในโลกเอาศีล 5 ก็พอ
                     ศีลมีเพื่อทำให้จิตใจเบิกบาน อย่าไปเคร่งกับมัน มันจะทุกข์ได้
                     ห้าข้อนี้สำคัญมาก ข้าพเจ้าบรรลุธรรมก็เพราะ 5 ข้อนี้ 
       1. เปิดใจ เพราะพระอาจารย์ของข้าพเจ้าแตกต่างจากความคิดของข้าพเจ้า
       2. ความศรัทธานั้นทำให้มีกำลังสมาธิสูง
       3. ข้าพเจ้าได้รับคำสอนที่ถูกต้องเพราะอยู่กับพระอาจารย์ที่เป็นอริยะ
       4. ข้าพเจ้ามีจิตอยู่กับธรรมตลอดเวลา
       5. ข้าพเจ้าประพฤติตนอยู่ในทางสายกลาง เมื่อเป็นพระก็รักษาศีลตามสมมุติของความเป็นพระ แค่ทำตามสมมุติ ไม่ได้เคร่งอะไรมากนัก
ตอบ ปัญหาธรรมที่ว่า ขอทราบถึงวิธีที่ท่านฝึกปฏิบัติในระหว่างที่บวช (และก่อนบวช) ก่อนที่ท่านจะบรรลุธรรม
                    ก่อนบวชข้าพเจ้าก็เหมือนเด็กผู้ชายทั่วไป เพียงแต่ว่ามีหน้าที่ ที่จะต้องรับภาระในเรื่องทางบ้าน ที่บ้านมีฐานะลำบาก ข้าพเจ้าจึงไม่มีเวลาและโอกาสไปฝึกสมาธิกับใครเลย แต่เป็นคนชอบอ่านหนังสือธรรมะ เหตุที่ชอบอ่านเพราะเป็นคนยากจน ชีวิตจึงมีแต่ทุกข์ จึงเห็นทุกข์ชัดเจน อยู่กับทุกข์มาตั้งแต่เกิด ไม่เลยหนีมันพ้น ไม่ได้โทษกรรม โทษเวรอะไร เพราะอย่างน้อยข้าพเจ้าก็มีพ่อที่ให้ความสำคัญกับการศึกษาของลูกๆ และครั้งหนึ่งได้มีโอกาสไปหอสมุดแห่งชาติ เดินผ่านชั้นหนังสือพระไตรปิฎก ก็ไม่ได้สนใจอะไร เพราะเดินผ่านไปใจก็คิดว่า คงไม่มีอะไรน่าอ่าน คงจะมีแต่ภาษาบาลี …..น่าเบื่อ! เดินผ่านไปรอบที่สอง เพื่อหยิบหนังสืออย่างอื่นแต่อยู่ใกล้ๆหนังสือพระไตรปิฎก แต่ก็ไม่ได้เอาหนังสือนั้น มือมันว่างก็เลยเอื้อมไปหยิบพระไตรปิฎกมาเปิดดู ดูซิมันจะน่าเบื่อขนาดไหน แต่พอเปิดอ่านแล้วกลับสนุกมาก พระไตรปิฎกไม่น่าเบื่ออย่างที่เราคิด คิดว่าจะมีแต่บาลีซะอีก แต่นี้กลับไม่ไช่ ยังจำประโยคแรกที่อ่านได้ว่า เราอานนได้ฟังมาอย่างนี้……………” สนุกจัง ก็เลยอ่านหนังสือธรรมมะมาตั้งแต่วันนั้น แต่หนังสือพระไตรปิฎกไม่มีโอกาสได้อ่านอีก เพราะหาอ่านยาก ต้องไปที่หอสมุดแห่งชาติ จะซื้อมาอ่านเองก็ไม่มีปัญญา จึงอ่านเท่าที่หาอ่านได้
                    จากวันที่สนใจพระพุทธศาสนาจนถึงวันได้บวชเป็นพระมีระยะเวลาห่างกันถึงแปดปี ไม่เคยฝึกสมาธิเลย อ่านแต่หนังสือของพระต่างๆเท่าที่จะหาอ่านได้ตามมีตามเกิด จากวันแรกที่ได้อ่านหนังสือก็จะคิดตาม หลับตานอนก็คิดแต่เรื่องธรรม ลืมตาก็คิดแต่เรื่องธรรม อยากพ้นทุกข์เหมือนเหมือนพระพุทธเจ้า เหมือนพระอรหันต์ หาหนังสือสมาธิมาอ่าน จะนั่งสมาธิ นั่งได้ 10 นาที ก็ปวด ก็เมื่อย เลยเลิก นอนดีกว่าพอทุกข์อีกก็ยากนั่งอีก แต่ก็เหมือนเดิม ทนปวดเมื่อยไม่ไหว เป็นอย่างนี้ตลอด ปีละประมาณ 2 ครั้ง จิตก็คิดอยากจะบวชอยู่ตลอด 8 ปีนั้น แต่ก็ห่วงที่บ้านจึงไม่ได้บวช เพราะเราคิดจะบวชไม่สึก ตั้งใจเอาไว้ว่า จะให้มันได้มรรคผลนิพพานในชาตินี้เลย แต่รักแม่มาก ทิ้งแม่ไม่ได้ ตัวเองจะไปบวชเณร แต่ทิ้งให้แม่ลำบาก ทำไม่ลง
                    ผ่านไป 8 ปีจึงได้บวช โดยเลือกครูอาจารย์อย่างดี ว่าเป็นของแท้แน่ๆ ตอนบวชก็ไม่มีอะไรมากเหมือนพระปฏิบัติทั่วไปคือ ตื่นตีสี่ ไปนั่งสมาธิรวมกับพระอาจารย์หนึ่งชั่วโมงจากนั้นก็ฟังธรรมจากพระอาจารย์ สงสัยอะไรก็ถาม ท่านพระอาจารย์จะตอบให้โดยละเอียด ข้าพเจ้าถามมากอยู่เหมือนกัน เพราะเป็นพระบวชใหม่ อะไรก็ไม่รู้ ธรรมก็ยังไม่ได้ รู้น้อยกว่าเด็กวัดซะอีก (ที่นั้นมีเด็กวัดที่เป็นอริยะอยู่สองคน….ข้าพเจ้ามารู้ตอนหลัง) จากนั้นก็ฉันเช้า เป็นอาหารเบาๆ ขนมปังโอวัลติน และแยกย้ายกันไปทำงานวัด จากนั้นก็ฉันเพลเหมือนกับวัดทั่วๆไป ต่างกันตรงที่วัดนี้ไม่ทานเนื้อสัตว์ ห้าโมงเย็นก็ฉันน้ำปานะ เป็นน้ำเต้าหู้ถั่วเหลือง หนึ่งทุ่มก็นั่งสมาธิรวมกับพระอาจารย์อีกหนึ่งชั่วโมง แล้วจึงฟังธรรมจากพระอาจารย์ จากนั้นก็แยกย้ายกันไป ส่วนใหญ่ข้าพเจ้าก็ยังไม่เข้านอนทันที ชอบไปนั่งฉันน้ำขิง นั่งคุยกับเด็กวัด(เด็กวัดที่ไม่ธรรมดา) หรืออ่านหนังสือพิมพ์ ดูข่าวจากทีวีบ้าง เที่ยงคืนจึงนอน ตีสี่ก็ตื่นเหมือนเดิม ชีวิตมีอยู่แค่นี้ไม่ยุ่งยากอะไร คนน้อยอยู่ง่าย มีคนรวมแล้วประมาณ 10 คนเท่านั้น
                 ก่อนที่จะมีดวงตาเห็นธรรมก็ไม่ได้อะไร เท่าไรนัก เพราะเป็นพระบวชใหม่ นั่งสมาธิทำให้ลมหายใจให้สงบยังไม่ได้เลย อยู่กับอาจารย์ไม่กี่วันก็บรรลุธรรมด้วยปัญญาวิมุติ อาศัยสมาธิตามธรรมชาติจากแรงศรัทธาที่มีต่อตัวพระอาจารย์ เมื่อได้บรรลุธรรม สมาธิมาฝึกเอาที่หลัง ได้ธรรมแล้วฝึกอะไรก็ง่าย แค่อาจารย์บอก จิตมันก็ทำเอง วันที่บรรลุธรรมนั้นข้าพเจ้าก็ยังไม่สามารถนั่งสมาธิทำให้ลมหายใจสงบได้เลย ทุกอย่างเป็นไปอย่างธรรมดาๆ ทั้งนั้น ไม่ได้เคร่งหรือทรมานตนแต่อย่างใด
                จะเห็นว่าข้าพเจ้าไม่ได้ทำอะไรมากเลย อาศัยปัจจัยที่กล่าวมา 5 อย่างที่ได้อธิบายในข้างต้นเท่านั้น ชีวิตที่เป็นพระก็เรียบง่าย ไม่ได้เคร่งอะไร
                นี้คือการปฏิบัติของข้าพเจ้าก่อนบวช และระหว่างบวชก่อนที่จะบรรลุธรรม

ตอบ  คำถามเรื่องลำดับขั้นในการบรรลุธรรม(จากโฮมเพจ)
        ลำดับขั้นในการบรรลุธรรมนั้นคือ
                ข้าพเจ้าได้ฟังสัจธรรมจากพระอาจารย์ แล้วเกิดความประทับใจในสัจธรรมนั้น จึงได้นำมาเขียนบันทึก ขณะเดียวกันได้คิดพิจารณาตามข้อความนั้น จนถึงจุดหนึ่งจิตเกิดความเห็นจริงในสัจธรรมนั้น กระจ้างแจ้งด้วยปัญญาในทันที่ทันใด เปรียบเหมือนการพลิกของค่ำให้หงาย ก่อนเราเคยสงสัยว่าอะไรอยู่ในนั้น เราก็จับพลิกดู เมื่อพลิกดูแล้วมันก็รู้ในทันที่ทันใด ว่ามันเป็นอะไร จิตจะถามว่ามันเป็นรูปทรงอย่างไร มันก็ตอบในตัวมันเองในทันทีได้ เพราะมันเห็นตั้งแต่แรกแล้ว จิตจะถามว่าแล้วมันสีอะไร มันก็ตอบในตัวมันเองว่ามีสีเช่นนี้นะ จะถามอะไรมันก็ตอบได้หมด เพราะมันรู้มันเห็นตั้งแต่เราพลิกให้มันหงายขึ้น การที่ข้าพเจ้าอธิบายว่าธรรมต่างๆ มันจะถามมันจะตอบในตัวมันเอง มันจะไหลออกมาเป็นสายๆ นั้น คือสิ่งที่เราเคยสงสัยอยู่ในตัวของเรา บางคำถามมันก็อยู่ลึกมาก เราคิดว่าเราไม่เคยสงสัยมันก็มี และมันก็ออกมา และถึงมันจะถามอย่างไร มันก็ตอบได้หมด เพราะเราเห็นคำตอบตั้งแต่แรกแล้ว ตอนที่พลิกของที่คว่ำให้หงายนั้นมันละสังโยชน์ได้ตั้งแต่ตอนนั้นเลย ส่วนการถามตอบในตัวมันเองนั้น มันถามเพราะมันเคยติดอยู่ อะไรที่เราเคยติดอยู่มันจะมีคำตอบออกมาทันที และก็ยังทวนคำถามให้ด้วย หากเราไม่ยอมรับในคำตอบนั้น มันก็จะถามและจะตอบอยู่อย่างนั้นจนเราสิ้นสงสัยเพราะคำตอบที่ให้มา ก็เป็นสิ่งที่เราประจักษ์แจ้งด้วยตัวเราเองไปแล้วในเวลาที่พลิกของคว่ำนั้นขึ้นมา
ขอบคุณสำหรับปัญหาธรรมที่ถามมา


ปัญหาธรรมข้อที่ 13   
          ยากทราบขั้นตอนเพื่อให้บรรลุธรรมอย่างละเอียด ที่คนทั่วไปสามารถปฏิบัติได้
                                                                           ขอบคุณครับ

          เป็นคำตอบเดียวกับคำถาม ปัญหาธรรมข้อที่12 เป็นขั้นตอนที่คนทั่วไปสามารถปฏิบัติได้  ข้อยกมาเพื่อทำความเข้าใจกันดังนี้
                  ข้าพเจ้าจะขอตอบด้วยประสบการณ์ของตนเอง ที่ได้ผ่านขั้นนั้นมาแล้ว โดยไม่ขอพูดถึงเรื่องบารมีอะไรทั้งนั้น เพราะก่อนนั้นข้าพเจ้าก็ไม่เคยคิดว่าตนมีบารมีอะไร จนปัจจุบันก็ยังไม่เคยคิด มันจะมีหรือไม่มีก็ช่างมัน อย่าไปปรุงแต่งมัน   จากประสบการณ์พอจะสรุปได้เป็น 5 ข้อ ดังนี้
                1. เราจะต้องเปิดใจ เหตุที่ต้องเปิดใจเพราะต้องการให้เราออกจากกรอบที่ขังเราอยู่ และกรอบนั้นทำให้เรามีทิฐิ และทิฐินั้นก็เป็นเครื่องกลั้นบังปัญญาของเรา เพราะในสังคมปัจจุบันมีกรอบที่สอนกันมาอย่างผิดๆมากมาย และเข้าใจผิดว่าเป็นพุทธศาสนา ทำให้เราเข้าใจผิดๆ มาตั้งแต่จำความได้ เช่นการสวดแบบต่างๆ และอื่นๆอีกมากมายที่ผิดเพียนมานานแสนนาน แต่เราว่ามันถูกต้องและเห็นว่าปรกติ แล้วทีนี้หากมีใครทำอะไร หรือบอกอะไรที่แตกต่างจากที่เราคิด เราก็ปฏิเสธโดยสิ้นเชิง หรือไม่ก็ทนฟังแต่มีอคติในใจ สิ่งนี้เองที่เป็นเครื่องกันบังปัญญาเรา เพราะพระอริยะส่วนใหญ่แล้วท่านจะทำอะไรที่เราดูท่านแปลกเสมอ พอแปลกสำหรับเรา เราก็ปฏิเสธ
                2. มีความศรัทธาในครู อาจารย์ หรือผู้ที่ให้คำสอน เพราะความศรัทธานั้นทำให้เราไม่สงสัยในคำสอนของท่าน เมื่อไม่สงสัยในคำสอนของท่านจิตเราก็จะแน่วแน่เป็นสมาธิอยู่ในคำสอนนั้น เหมือนเลนส์ที่เราโฟกัสอยู่ในจุดโฟกัส จึงมีกำลังมาก จิตก็เช่นเดียวกันจะมีกำลังมากเพราะไม่ได้แบ่งไปใช้กับความสงสัย
              3. คำสอนที่ถูกต้อง เพราะคำสอนที่ถูกต้องจะทำให้เราได้สิ่งที่ถูกต้อง ธรรมที่เป็นของจริงหากเราได้ฟัง เมื่อเข้าใจก็จะได้ธรรมที่แท้จริงแต่ธรรมที่ผิดเพี้ยน ท่านจะเข้าใจได้อย่างไร ถึงเข้าใจก็เข้าใจผิด สิ่งที่ได้จึงไม่ใช่ธรรม ธรรมที่แท้จริงก็ย่อมมาจากอริยะที่แท้จริง
              4. มีจิตอยู่กับธรรมตลอดเวลา อย่างตัวอย่างข้าพเจ้าเองก่อนที่จะมีดวงตาเห็นธรรมนั้น จะทำอะไรจิตก็คิดแต่เรื่องธรรม ว่าไอ้นี้ มันคืออะไร ไอ้นั้นมันคืออะไร เช่น ผู้หญิงคนนี้สวยจัง และยายแก่คนนั้นละ เขาก็เคยสวยเหมือนกันนะ ก็แสดงว่าผู้หญิงที่ดูสวยคนนั้นก็ต้องแก่หนังเหี่ยวเหมือนกับคุณยาย เหมือนกันซิจะเห็นอะไรก็เป็นธรรมไปทุกอย่าง แม้แต่คนที่ว่าเรา ก็คิดว่า เดี๋ยวเขาก็ตาย เราก็ตาย จะมาเถียงกันทำไม ไม่มีใครอยู่ค้ำฟ้าได้ อยู่ว่างๆไม่คิดอะไรคิดแต่เรื่องธรรม เช่นเรื่องความตาย เรื่องทุกข์
               5. ประพฤติตนที่เหมาะสม ไม่ทำให้ตนเองเดือดร้อน ไม่ทำให้ผู้อื่นเดือดร้อน หรือในทางพุทธศาสนาเรียกว่าศีล ศีลนั้นมีคุณอยู่ไม่ใช่น้อยคือหากเราเป็นคนดีอยู่แล้วแต่โอกาสที่เราจะทำผิดนั้นก็เป็นไปได้ เพราะเรานั้นยังเกี่ยวเนื่องอยู่กับโลก โลกหรือสังคมอาจจะพาเราไปในทางที่ผิดได้หากเราไม่มีศีล ศีลนั้นมีไว้เพื่อช่วย ไม่ใช่มีไว้เพื่อถ่วง หากเราไปยึดติดกับมันมากไป เคร่งคัดกับมันมากไป มันจะกลายเป็นตัวถ่วงได้ ทำความเป็นกลาง ไม่สุดโต่งกับมัน ไม่เคร่งไป ไม่ตึงไป คนธรรมดาอาจจะสงสัยว่าต้องทำมากแค่ไหน อันนี้ตอบยาก เพราะคนที่เข้าใจในศีลทำให้อยู่ในทางสายกลางได้จริงๆนั้น ก็มีแต่อริยะเท่านั้น เพราะท่านสามารถละสังโยชน์ข้อสีลัพพตปรามาสได้แล้ว ศีลสำหรับท่านจึงเดินทางสายกลางจริงๆ แต่สำหรับเราที่ยังอยู่ในโลกเอาศีล 5 ก็พอ
                 ศีลมีเพื่อทำให้จิตใจเบิกบาน อย่าไปเคร่งกับมัน มันจะทุกข์ได้
                 ห้าข้อนี้สำคัญมาก ข้าพเจ้าบรรลุธรรมก็เพราะ 5 ข้อนี้
      1. เปิดใจ เพราะพระอาจารย์ของข้าพเจ้าแตกต่างจากความคิดของข้าพเจ้า
      2. ความศรัทธานั้นทำให้มีกำลังสมาธิสูง
      3. ข้าพเจ้าได้รับคำสอนที่ถูกต้องเพราะอยู่กับพระอาจารย์ที่เป็นอริยะ
      4. ข้าพเจ้ามีจิตอยู่กับธรรมตลอดเวลา
      5. ข้าพเจ้าประพฤติตนอยู่ในทางสายกลาง เมื่อเป็นพระก็รักษาศีลตามสมมุติของความเป็นพระ แค่ทำตามสมมุติ ไม่ได้เคร่งอะไรมากนัก
               ห้าข้อนี้คิดว่าละเอียดแล้ว และคิดว่าคนทั่วไปสามารถปฏิบัติได้ไม่ยากนักหากเห็นว่าโลกนี้เป็นทุกข์จริง ก็ควรเริ่มตั้งแต่วันนี้อย่าได้ผลัดวันกันอีกเลย หากมีข้อสงสัยประการใดกรุณาถามมาได้ ทาง E-mail

                                                            ขอบคุณสำหรับปัญหาธรรมที่ถามมา
                                                                                                                                                                                            l                                                                        
ปัญหาธรรมข้อที่ 14
                         ขอบคุณครับสำหรับคำตอบครั้งที่แล้ว(ปัญหาธรรมข้อที่13) อ่านดูแล้วก็ยังมีความรู้สึกว่ายากมาก อาจจะเป็นเพราะ ผมถูกตีกรอบ หรือวางกรอบความคิดไว้อยู่แล้ว จะไปเปลี่ยนหรือถอนก็ทำได้ยาก มีความยึดติดอยู่แล้ว ถ้าจะบอกว่าถ้ารู้ว่ายึดติดอยู่ ก็ปล่อยวางสิ แต่ทำอย่างไรล่ะครับ แค่คิดว่าปล่อยวาง อย่างเดียวไม่น่าเพียงพอ ถ้ามองตามข้อ 1,2 และ 3 โดยคิดว่าเราเป็นชาวพุทธ มีความศรัทธา ในองค์พระพุทธเจ้า และคำสอนของพระองค์นั้นก็ถูกต้อง  ทำไมชาวพุทธหรือผู้ที่พยายามปฏิบัติตามแล้วยังไม่ได้บรรลุธรรม อีกข้อหนึ่งเมื่ออ่านประวัติของพระสายปฏิบัติ หลายๆรูป เช่นพระป่า ทำให้คิดหรือปฏิบัติธรรมตามแบบท่าน (แต่คงไม่ถึงกับออกบวช และไปธุดงค์ เพราะยังมีความจำเป็นทางโลกอยู่) ไม่ทราบว่าแนวทางที่พระท่านปฏิบัติ เราควรจะนำมาปฏิบัติตามได้หรือไม่ เพราะอะไร หรืออย่างไร ขอถามอีก 2 ข้อครับ
            วิธีที่จะดูว่าพระองค์ไหนเป็นพระอริยะนั้นดูอย่างไร เพื่อไม่ให้หลงทางไป
คงไม่ใช่แค่ดูว่าท่านปฏิบัติไม่เหมือนคนอื่นเท่านั้น 
            อีกข้อคืออยากจะฟังหรืออ่านธรรมจากอาจารย์ของท่านด้วยครับ(ถ้าทราบว่าท่านเป็นใคร มองในอีกมุมหนึ่ง จะทำให้มีผู้ได้ฟังธรรม ปฏิบัติตาม และอาจจะมีผู้บรรลุธรรมเพิ่มขึ้นอีกมาก ไม่ใช่หรือครับ หรืออย่างตอนที่พระพุทธเจ้า หรือพระที่ท่านบรรลุธรรมแล้วพบว่าธรรมนั้นเป็นของที่ยากที่คนทั่วๆไปจะเข้าใจ และปฏิบัติได้ แต่พระองค์ก็มีพระเมตตาสั่งสอนให้มนุษย์และบรรลุธรรมตามท่านอีกตั้งมากมายหรือแม้แต่ในปัจจุบันที่มีพระที่ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบยอมเปิดเผยตัวเองเพื่อช่วยเหลือสัตว์โลก)
                                                                                     ขอบคุณครับ

ตอบ               
                   การที่คนเราจะบรรลุธรรมนั้น มันจะต้องมีเหตุ มีปัจจัยที่เหมาะสม การที่บอกว่าเราก็มีความศรัทธาในพระพุทธเจ้า ในคำสอนพระพุทธเจ้าอยู่แล้ว แล้วทำไมเราจึงไม่บรรลุธรรม ก็พอจะตอบได้ว่า เรามีครบทั้งห้าข้อที่กล่าวไว้หรือยัง หากเรามีแต่ศรัทธา ขอถามว่ากำลังศรัทธาของเรารวมเป็นจุดเดียวพอที่จะทำให้เกิดสมาธิตามธรรมชาติได้หรือยัง หรือว่าขณะที่เราอ่านธรรมของพระพุทธเจ้า จิตใจเราอยู่กับธรรมนั้นมากแค่ไหน เราแบ่งไปคิดเรื่องอื่นด้วยหรือเปล่า และขอถามว่าปัญญาที่เราสะสมมานั้นมากพอหรือยัง เราพึ่งจะเริ่มคิด พึ่งจะเริ่มศึกษา จะให้บอกว่าจะต้องศึกษาให้มากแค่ไหน ก็บอกได้ว่าแค่ปล่อยวางได้ หากเราศึกษาไปตรงจุดที่เราสงสัยแล้วพบคำตอบก็โชคดีไป แต่ถ้าไม่ใช่ ก็ยังต้องศึกษาไป จนกว่าปัญญาเราจะถึงจุดที่ปล่อยว่างได้
                  เราอย่าเอาความอยากของเราเป็นตัวเร่ง มันจะทำให้เราเครียด ทำไป ถึงก็ช่าง ไม่ถึงก็ช่าง อย่าไปอยากได้มัน (เพราะพอได้แล้วมันไม่มีอะไรให้เอาไปเลย) ทำไป สร้างนิสัยในทางธรรมไป วันนี้ไม่ได้ มันก็จะติดเป็นนิสัยไปวันข้างหน้า เป็นนิสัยที่ติดตัวไปทุกชาติ  ชาติหน้าเกิดมาเราก็จะเป็นผู้ใฝ่ธรรมอีก อย่าไปเร่งมันนะครับ ยิ่งอยาก ยิ่งไม่ได้ ต้องปล่อยวางถึงจะได้
                  แนวทางที่พระป่าปฏิบัตินั้นเป็นทางที่เคร่งมากนะครับ ท่านทำเพื่อป้องกันกิเลสไม่ให้มีโอกาสเข้ามาได้ พระท่านก็พอจะทำได้ เพราะพระท่านไม่ได้เกี่ยวเนื่องกับโลกมากนัก บิณฑบาตเสร็จท่านก็เข้าป่าของท่านไป ไปปฏิบัติโดยไม่ยุ่งกับสังคม แต่เราคนที่ยังต้องเกี่ยวเนื่องกับโลก ก็ให้เดินทางสายกลาง คือทำไปตามสมมุติที่เราเป็นอยู่ เช่นทำงาน เราก็ทำตามสมมุติของงานนั้น ไม่จำเป็นต้องประกาศตัวว่าเป็นผู้ปฏิบัติธรรม แต่พอกลับมาบ้านเราก็ทำตามสมมุติของเราว่าอยู่บ้านเราจะขอเป็นนักบวช หรือถ้าไม่ได้เพราะว่ามีคนที่บ้านอยู่มาก เราก็ตั้งใจเอาว่าแค่อยู่ในห้องของเราก็แล้วกันเราจะปฏิบัติของเรา หรือยังมีภรรยา,สามี อยู่ในห้องนอนด้วย เราก็ไปปฏิบัติอยู่ห้องพระของเรา หรือไม่มีห้องพระ หามุมไหนก็ได้ไตรตรองในธรรมไป ลืมตาก็ได้ หากไม่สามารถนั่งสมาธิได้ ขอให้อยู่กับธรรมตลอดเวลา แต่อย่าเคร่งจนเป็นบ้าเป็นบอนะครับ อยู่กับเพื่อนถึงเวลาหัวเราะก็ต้องหัวเราะ ไม่ใช่เคร่งขนาดนั้น เราเคยอยู่อย่างไร ก็ให้อยู่อย่างนั้น ทำให้เป็นปรกติ เหมือนที่มนุษย์เป็น เพราะความเป็นธรรมชาตินั้นทำให้เราเข้าถึงความเป็นพุทธะได้เหมือนกัน
                  การที่จะดูว่าพระองค์ใดเป็นอริยะนั้น ดูยากอยู่เหมือนกันนะครับ ก็ต้องดูว่าธรรมที่ท่านแสดงว่าเป็นอย่างไร ธรรมนั้นขัดกับธรรมของพระพุทธเจ้าหรือไม่ เพราะธรรมที่พระพุทธเจ้าแสดงนั้น ไม่มีความผิดพลาดใดเลย (ที่ว่ามีผิดพลาดนั้น ก็เกิดจากทิฐิของคนอ่าน ของคนตีความเอง)
                 เหตุ ที่ไม่ประกาศว่าพระอาจารย์เป็นใคร เพราะมันอธิบายได้อยากถึงเหตุผลที่ไม่บอก เพราะถ้าพูดไปก็เป็นเรื่องดูจะ over มากอยู่เหมือนกัน มีผู้ถามมามาก ข้าพเจ้าขออธิบายเลยก็แล้วกัน และขอให้คำอธิบายของข้าพเจ้าจบแต่เพียงเท่านี้ ไม่ขอให้นำไปกล่าวอ้างหรือแต่งเติมและสนทนาใดๆ เพราะมันเป็นเรื่องที่คนทั่วไปสัมผัสไม่ได้
               เหตุเพราะไม่ต้องการให้พระอาจารย์เดือดร้อนไปด้วย เดือดร้อนจากเรื่องอะไรนะหรือ ก็เดือดร้อนจากผู้ที่ชอบทดสอบ ไม่ว่าจะเป็นอวิชชาในรูปแบบต่างๆ หรือจากผู้ที่มีจิตที่ไม่ค่อยจะดีนัก
              แม้ว่าพระอาจารย์จะไม่ได้ประกาศตัวว่าท่านนั้นเป็นเช่นไร ก็ถูกทดสอบอยู่บ่อยๆ จากผู้ที่คิดว่าตนนั้นมีฤทธิ์มีเดช เพราะเห็นว่าพระอาจารย์เป็นพระปฏิบัติ อยากรู้ว่าจะแน่ซักแค่ไหน พระอาจารย์เคยถูกอวิชาเอาเนื้อสัตว์เข้าร่างกาย และอย่างอื่นอีกมากมายหลายรูปแบบ จากพวกที่ติดในฤทธิ์เดช ขนาดเป็นพระด้วยกันพระอาจารย์ก็เคยถูกลองของ เช่นเชิญท่านพระอาจารย์ไปในงาน ก็เข้ามาทักทายตามประสาพระด้วยกัน เข้ามาจับมือพูดคุย แต่จริงๆแล้วในการจับมือนั้นมีการปล่อยอวิชชามาด้วย
               และจากพวกที่มีจิตใจไม่ดี พระอาจารย์เคยถูกวางยาพิษหลายครั้ง ครั้งหนึ่งข้าพเจ้าก็ไปกับพระอาจารย์ด้วย พระอาจารย์ถูกวางยาพิษในวัดแห่งหนึ่ง เพราะถูกเชิญให้ไปสอนสมาธิวิปัสสนา ก็มีคนเห็นว่าพระอาจารย์ทำให้คนเข้าวัดนี้มาก ก็มีคนวางยาพิษพระอาจารย์ ครั้งสุดท้ายนี้หนักน่าดู คือพระอาจารย์ถูกวางยาพิษในน้ำดื่ม ท่านก็ทนสอนสมาธิจนจบ เมื่อจบท่านก็ไม่เทศ ท่านลุกขึ้นเลย ตรงไปที่รถและกลับที่พัก ในขณะที่อยู่บนรถนั้นพระอาจารย์ไม่พูดอะไร ปรกติท่านจะเทศสอนศิษย์ แต่ครั้งนี้ท่านนิ่งไป ท่านมาบอกตอนหลังว่า ท่านถูกวางยาพิษ จนหัวใจหยุดเต้นขณะอยู่ในรถ แต่ท่านใช้จิตปั้มหัวใจขึ้นมาใหม่ ท่านพระอาจารย์ใช้เวลาเป็นวันๆเพื่อขับพิษนั้น
              และครั้งหนึ่งพระอาจารย์ถูกเชิญให้ไปสอนสมาธิในโรงแรมแห่งหนึ่ง ท่านเก็บตัวเงียบแต่ในห้อง ท่านมาบอกตอนหลังว่าท่านเห็น(ด้วยญาณทัสสนะของท่าน)ว่ามีผู้หญิงค่อยซุ่มแอบอยู่ หากท่านออกไป ผู้หญิงคนนั้นก็จะเข้ามากระโดดกอด และก็มีคนคอยดักถ่ายภาพอยู่
               หวังว่าทุกท่านคงเข้าใจว่าเหตุใดข้าพเจ้าจึงไม่ขอเปิดเผยนามของพระอาจารย์ของข้าพเจ้า หากเปิดเผยไปท่านพระอาจารย์จะเดือดร้อนด้วยเหตุผลที่ได้กล่าวมา
                                                                   ขอบคุณครับสำหรับคำถาม

.ปัญหาธรรมข้อที่ 15
  ขอขอบพระคุณอย่างสูงสำหรับธรรมอันลึกซึ้งที่ท่านแสดง
   อยากจะเรียนถามท่านครั้งนี้ว่า
               การที่ความรู้หลั่งไหลเข้ามาสู่ท่านนั้น ท่านทราบกลไกหรือไม่ว่า
ความรู้นั้นมาจากไหน มาได้อย่างไร และรู้ทุกอย่างที่อยากจะรู้หรือไม่
หรือรู้เฉพาะที่เกี่ยวกับจิตและจักรวาล
                                               ขอกราบขอบพระคุณมาอย่างสูง ณ ที่นี้
                                                                                anatta

ตอบ

                 เมื่อเราปล่อยวางทุกสิ่งแล้วจิตกลับสู่สภาวะเดิมของจิต ในสภาวะเดิมของธรรมชาติเป็นสภาวะที่รู้ได้เฉพาะตนเท่านั้น กลไกของมันคือปล่อยวางจนกลับสู่ธรรมชาติเดิมของมัน อะไรต่างๆ เราก็รู้ว่ามันเป็นแค่สิ่งนี้เองหรือนี้  ไอ้นั้นมันก็เป็นแค่สิ่งนี้เอง ก็คือเมื่อมันเหมือนการพลิกของคว่ำให้หงายขึ้นมาแล้ว เราก็เห็นแล้วว่ามันคืออะไร เห็นแล้วนิ เห็นแต่แรกแล้ว จะไม่สงสัยอะไรเพราะคำตอบมันอยู่ตรงหน้า ถามว่ามันเป็นอย่างไร ก็เห็นแล้วนะ จะถามว่ามันสีอะไร ก็เห็นแล้วนะ จะถามว่ามันใหญ่แค่ไหน ก็เห็นแล้วนิ
                  คำตอบนั้นมันมีอยู่แล้ว มันเห็นแล้ว เพียงแต่ว่าสิ่งที่เคยสงสัยมันวิ่งออกมาเอง มันจะถามอะไร คำตอบมันก็มีอยู่แล้ว อยู่ที่ว่าจะเชื่อมันหรือไม่ ถ้าไม่เชื่อมันก็จะถาม-ตอบอยู่อย่างนั้น เพราะมันจะไม่เชื่อได้อย่างไร ก็คำตอบมันอยู่ตรงหน้านั้นอยู่แล้ว เหมือนเราพลิกของคว่ำให้หงายขึ้น สมมุติเราเห็นว่ามันเป็นสีแดง เราก็รู้อยู่แล้วว่ามันเป็นสีแดง แต่เราเคยสงสัยว่ามันจะเป็นสีอะไร คำตอบมันก็ตอบมาว่า มันคือสีแดง หากเราไม่เชื่อ ก็หมายความว่าเรายังมีคำถามในตัวเราเองอีกว่า มันสีอะไร มันก็เห็นอยู่แล้วว่ามันสีแดง มันก็ตอบได้เลยในจิตว่ามันเป็นสีแดง หากเราไม่เชื่อ มันก็ตอบอีกว่า ก็เห็นอยู่ไม่ใช่รึว่ามันมีสีแดง เราบอกว่าไม่เชื่อ มันก็บอกว่า ก็รู้อยู่ว่ามันสีแดง เราบอกว่าเราไม่เชื่อมันก็จะบอกว่า ก็เห็นอยู่ว่ามันสีแดงเราไม่มีทางที่จะปฏิเสธได้เลยว่ามันเป็นสีอื่น เพราะหลักฐานมันก็อยู่ตรงหน้าเราอยู่แล้ว ว่ามันมีสีแดงกลไกก็คือมันรู้อยู่แล้วว่ามันคืออะไร ฉะนั้นมันจึงเป็นคำตอบของมันอยู่แล้ว
              เมื่อรู้นั้น ไม่ได้รู้ทุกอย่าง รู้เฉพาะแค่ใบไม้ในกำมือของพระพุทธเจ้าเท่านั้น รู้แค่ใบหนึ่งหรือสองใบเท่านั้น ยังรู้ไม่ครบทุกใบด้วยซ้ำไป รู้เฉพาะอริยะสัจจ์สี่เท่านั้น รู้ธรรมที่ดับทุกข์ได้เท่านั้น ธรรมอื่นที่ดับทุกไม่ได้นั้นไม่รู้เช่น โลกจะเป็นอย่างไร อันนั้นเราไม่รู้ ระเบิดนิวเคลียทำอย่างไร อันนั้นเราไม่รู้  สูตรเคมีว่าอย่าไร อันนั้นเราไม่รู้ เราจะรู้แต่ว่าทาง(มรรค)คืออะไร
                   แต่ถ้าจะให้รู้ทุกสิ่งทุกอย่าง อย่างที่คุณเข้าใจละก็ อันนั้นต้องทำมรรคแปดให้รวมเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันได้ก่อน(พระอาจารย์เคยสอนไว้) หรือที่เรียกว่า "ขั้นวิมุติญาณทัสสนะ" ขั้นนี้จะเกิดความรู้ขึ้นได้ โดยไม่ต้องอาศัยความนึกคิด อยากรู้อะไรก็เอาสิ่งนั้นเข้าไปประกอบ ก็จะรู้สิ่งนั้นเป็นสายๆ เช่นเอาเรื่อง อุเบกขา เข้าไปประกอบ ก็จะเกิดความรู้ขึ้นมาเป็นสายๆ ตั้งแต่เหตุเกิดแต่แรก จนถึงขั้นสุดท้าย โดยไม่ต้องนึกไม่ต้องคิด ความรู้เช่นนี้พระอาจารย์เคยสอนไว้ว่า เป็นความรู้ที่เรียกว่า ตรัสรู้ไม่เกี่ยวข้องด้วยความคิด อยากรู้ว่าฝนตกหนักในปีนี้จะเกิดอะไรขึ้น มันก็จะมีคำตอบขึ้นมาเองว่า จะเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ แต่พระอริยะขั้นนี้ท่านจะไม่ไปสนใจอะไรกับมันมากนัก อย่างท่านพระอาจารย์เอง ท่านก็ไม่ได้ไปยึดติดกับมัน ถ้าสิ่งที่รู้เป็นประโยชน์ท่านจึงนำมาสอนตัวข้าพเจ้าเองยังไม่สามารถทำได้เช่นนั้น
    
                                                             ขอบคุณครับสำหรับคำถาม


ปัญหาธรรมข้อที่ 16
สวัสดีครับ ผมมีคำถามบ้างครับ

เราอยู่ในบ้าน  ไม่เห็นบ้าน
เราอยู่ในโลก   ไม่เห็นโลก
เราอยู่ในเรา    ไม่เห็นเรา
ใครเห็นแล้ว ช่วยบอกผมด้วย

ทองแถม
ตอบ
                    ผู้ที่ถามคำถามนี้ไม่ธรรมดาเลยครับ มีคนถามคุณมาหรือว่าคุณกำลังถามผม ถ้าเป็นเช่นนั้นก็แสดงว่าคุณก็ไม่ธรรมดา หากคุณต้องการจะทดสอบผม ผมก็จะตอบให้เพราะไม่แน่ใจว่าใครถามมา (ดีจังมีคนมาสนทนาธรรมด้วย)

                    คำพูดเหล่านี้เป็นคำพูดที่ลึกซึ่งมาก คงเป็นอริยะที่ให้ปริศนาธรรมแบบนี้
                                      "เราอยู่ในบ้าน ไม่เห็นบ้าน"
เป็นคำพูดที่ถูกต้องแล้วครับ เพราะในธรรมชาติเดิมแท้นั้น ไม่เกี่ยวเนื่องด้วยของคู่ คือ
                                      "ผู้เห็น และผู้ถูกเห็น"

                    เมื่อผู้ที่จะเห็นไม่มี บ้านจะมีหรือไม่มี ก็ไม่มีใครไปรับ ไปรู้ ว่ามันมีหรือไม่มี เปรียบเหมือนทวีปอเมริกาก่อนที่จะมีคนไปค้นพบ มันก็มีของมันอย่างนั้นอยู่แล้ว แต่ไม่เคยมีใครเคยไปเห็นมัน ก็ไม่คิดว่ามันมีอยู่(ซึ่งจริงๆเราก็ไม่เคยคิดว่ามันมีหรือไม่มี) แต่จริงๆแล้วมันมี แต่เราไม่ได้ไปรับรู้ว่ามันมีหรือไม่มี แต่มันมี
                    ทุกอย่างในโลกหรือในจักรวาลอันหาขอบเขตไม่ได้นี้ มันมีอยู่อย่างนั้นของมันเอง แต่ไม่มีอะไรไปรับ ไปรู้ว่ามันมีหรือไม่มี ในสภาวะเดิมแท้
                    เหมือนคำที่ว่า
                                       "มีแต่ไม่มี ไม่มีแต่มี"
          มีแต่ไม่มี หมายถึง มันมีอยู่อย่างนั้น แต่ไม่มีใครไปรับ ไปรู้ว่ามันมี
          ไม่มีแต่มี หมายถึง ไม่มีใครไปรับ ไปรู้ ว่ามีหรือไม่มี แต่มันมี
                                      "เราอยู่ในโลก ไม่เห็นโลก"      อันนี้มีสองความหมาย คือ
             1. อยู่กับทุกข์ ไม่เห็นทุกข์
             2. มีความหมายเหมือน  " เราอยู่ในบ้าน ไม่เห็นบ้าน"
                  "เราอยู่ในเรา ไม่เห็นเรา"        ก็เช่นเดียวกันเหมือน "เราอยู่ในโลก ไม่เห็นโลก"
                                      "ใครเห็นแล้ว ช่วยบอกผมด้วย"

                    ก็มีแต่อริยะเท่านั้นละครับที่จะตอบได้ การเห็นของท่านนั้น "เห็นแต่ไม่เห็น" คือปล่อยวางแล้วธรรมจะกระจ่างขึ้นมาเอง
                    ดีจัง....ไม่ทราบว่าใครถามคุณมาครับ
                                                                          ขอบคุณครับสำหรับคำถาม

    มีต่อใน ปัญหาธรรมข้อที่18
 ปัญหาธรรมข้อที่  17    เพิ่มเติมปริศนาธรรมเรื่องที่ในปัญหาธรรมข้อที่16
และข้อถามปริศนาธรรมข้อที่ว่า
"มีไม้ยาวท่อนหนึ่ง ใครยกไม้ขึ้นโดยให้ปลายทั้งสองขึ้นพร้อมกันได้"
มีผู้พยายามหลายคน เมื่อมีคนไปยกท่านอาจารย์ก็จะถามว่า ปลายไหนขึ้นก่อน
คำถามที่แล้ว(จากปัญหาธรรมข้อที่14) ตอบได้หลายแบบ แบบที่ผมตอบก็คือ


"ไม่มีบัาน ไม่มีโลก ไม่มีเรา
ไม่มีอะไรจะต้องเห็น"
 ถ้าตอบตามปรากฏการณ์
     (บ้าน) คุณจะไม่เห็นบ้าน ถ้าไม่ออกจากบ้าน แล้วดู
     (โลก) แต่คุณจะเห็นโลกวิธีใด โดยไม่ออกจากโลก
     (เรา) ครูบาฮวงโป บอกว่า สิ่งที่พวกเจ้าหาอยู่นั้น อยู่ที่หน้าผากเจ้านั่นแหละ   

                    ถ้าอธิบายผสมระหว่าง อัตตาและอนัตตา ก็คือ เมื่ออยู่ในบ้าน เราจะเห็นประตู,หน้าต่าง,ฝ้าเพดาน,ฝาพนัง ฯลฯ ไม่เป็นบ้าน (เสมือน ธรรมแยกแยะ) เมื่อเราอยู่นอกบ้าน มองกลับมาดูก็จะเห็นบ้าน เป็นตัวรวม (เสมือน หนึ่งเดียว)
                   เมื่ออยู่ในโลก เราเห็นผู้อื่นมีกิเลส แต่ไม่เห็นของตัว ตัวเองเห็นแต่ทุกข์ อยากมีสุข เห็นแก่ตัว เรียนธรรม ก็ได้แต่รู้ ไม่เคยเห็นของจริงในตัวเอง รู้จนฟุ้งพูดได้แตกฉาน แต่เมื่อเกิดกับตัวเอง ไม่เห็น เมื่ออยู่ในเรา ยิ่งไม่รู้ใหญ่ว่าเราคืออะไร รู้แต่กูของกู จะให้ผู้อื่นละกิเลส ส่วนตัวเองบอกว่าไม่มี แต่ครองอยู่ เราจะหาตัวจริงของเราไม่พบ ไม่ว่าจะจิ้มลงตรงไหน แม้แต่ขันธ์ทั้งห้าก็หาไม่เจอ ผมจึงถามว่าถ้าพบบอกผมด้วย พุทธ ก็คือจิต ถ้ายึดพุทธก็แปลสภาพ ถ้าปล่อยเขาก็ลอยเด่นอยู่
                  ธรรมทั้งหมดรวมเป็นหนึ่งเดียว เมื่อพิจารณา หนึ่งเดียวก็ไม่มี
แต่สัมผัสได้ อิ่มอยู่ เต็มอยู่ สมบูรณ์อยู่ ยิ่งอธิบายยิ่งห่างไกล

..............................................................................
ปริศนาธรรมเรื่อง 2
อีกคำถามผมเอามาจากพระอาจารย์ผู้หนึ่งท่านถามลูกศิษย์ในวัด ยังไม่มีผู้ตอบได้
"มีไม้ยาวท่อนหนึ่ง ใครยกไม้ขึ้นโดยให้ปลายทั้งสองขึ้นพร้อมกันได้"
มีผู้พยายามหลายคน เมื่อมีคนไปยกท่านอาจารย์ก็จะถามว่า ปลายไหนขึ้นก่อน
                  ลองตอบดูครับ
              ทองแถม

ไขปัญหาธรรม
                 ขอบคุณครับที่นำปริศนาธรรมที่นำมาให้คิด สำหรับปริศนาธรรมที่ว่า

                    "มีไม้ยาวท่อนหนึ่ง ใครยกไม้ขึ้นโดยให้ปลายทั้งสองขึ้นพร้อมกันได้"
          มีผู้พยายามหลายคน เมื่อมีคนไปยกท่านอาจารย์ก็จะถามว่า ปลายไหนขึ้นก่อน

                 พระอาจารย์ท่านนี้ใช้ปริศนาธรรมสอนศิษย์ หากศิษย์ผู้ใดสามารถขบคิดปริศนาธรรมข้อนี้ได้ ศิษย์ผู้นั้นก็เข้าถึงธรรมชาติเดิมแท้ของจิต

                ความหมายของปริศนาธรรมข้อนี้ก็คือให้ทำใจเป็นกลาง ไม่สุดโต่งไปข้างใดข้างหนึ่ง เหมือนอย่างที่พระพุทธเจ้าทรงเทศนาธรรมสูตรแรกของพระองค์ให้แก่ปัญจวัคคีย์ว่าบรรพชิตไม่ควรเสพสิ่งสุดโต่งสองสวน ก็คือให้เดินทางสายกลาง เมื่อใจเป็นกลางโดยสมบูรณ์แล้วจิตก็จะปล่อยวางเห็นมรรคได้เหมือนกัน
                ศิษย์ที่คิดได้ผมคิดว่าเขาคงคิดกันอยู่นานเพราะทำอย่างไรก็มีปลายข้างหนึ่งสูงกว่า คิดไปคิดมาจึงรู้ว่าไอ้ปลายที่มันสูงขึ้นนั้น มันเป็นเพราะเราเองที่ไปให้ความหมายมันว่ามันสูง มันต่ำ มันเป็นแค่ธรรมชาติหนึ่งเท่านั้น จะไปสนใจมันทำไม คิดได้เช่นนั้นจิตก็ไม่ไปติดนอกติดใน ศิษย์ผู้นั้นก็เห็นมรรค เข้าถึงซึ่งความเป็นพุทธะ
                เมื่อรู้แล้วก็ยกไม้ขึ้นโดยไม่ได้สนใจว่าข้างไหนจะสูงหรือต่ำ และพูดว่า"นี้ไงทำได้แล้ว" จากนั้นก็โยนไม้ทิ้งไป และเดินเข้าไปกราบท่านอาจารย์ ท่านอาจารย์ก็คงไม่พูดอะไร ได้แต่ยิ้ม ส่วนศิษย์ผู้นี้ก็เดินหัวเราะออกไป หัวเราะจากธรรมอันอัศจรรย์นั้น ว่าโง่อยู่ได้ไปหามันอยู่ได้ ไม่เห็นมีอะไรให้เอาไปเลย สวนศิษย์คนอื่นๆ ก็คงจะงง เพราะไม่เข้าใจในอาการของท่านอาจารย์และศิษย์ผู้นั้น
                และธรรมที่ท่านอาจารย์ถามว่า "ปลายไหนขึ้นก่อน" ท่านมีนัยในคำถาม ถามว่าใจไปสุดโต่งอยู่ข้างไหน อยู่นอกหรือใน

            แล้วเรื่องจริงเป็นอย่างไรละครับ
                                                                  ขอบคุณครับ
เฉลย     คุณ wabmaster ครับ
                 คำตอบของคุณใช้ได้แล้ว ในที่ประชุมอาจารย์จะไม่บอกศิษย์ ว่าทำอย่างไรเพราะอะไร
..ท่านจะไม่บอกว่าถูกแล้วจนกว่าจะมีผู้แย้งให้อธิบาย
                  ศิษย์ที่ยกไม้ขึ้นโดยมิต้องสนใจปลายไม้ เพราะเป็นไม้ท่อนเดียว เสมือนธรรมทั้งมวลรวมเป็นหนึ่งเดียว หรือออกจากหนึ่งเดียว เมื่อเราแยกแยะก็จะเป็น 84000, ซึ่งต่างคนก็ต่างมองแต่ละบท,เมื่อไม้ท่อนเดียวขยับปลายทั้งสองก็ขยับ จะขึ้นจะลงก็พร้อมกัน ผู้ที่ติดอยู่ในธรรมบางบท จึงจะเห็นแตกต่าง ผู้ที่กระจ่างแล้วจะเห็นเป็นอันเดียว
                  วันนี้ ไม่มีอะไรจะถาม
                                                                ขอให้มีผู้ร่วมธรรมเพิ่มขึ้น
                                                                                             ทองแถม

ปัญหาธรรมข้อที่ 18
                   ผมขอแสดงความเห็นเพิ่มจากที่คุณได้ตอบใน Web ถ้าเห็นว่าควรเพิ่มในนั้นหรือไม่ก็แล้วแต่คุณจะพิจารณา
จากปัญหาธรรมข้อที่ 5 ปัจจุบันนี้พระพุทธเจ้าทรงประทับอยู่ที่ใด ?
ตอบ พระพุทธเจ้าไม่ได้อยู่ที่ใดเลยทั้งสิ้น
                    มี 2 นัยที่หมายถึงพระพุทธเจ้า รูป และ นาม พระพุทธเจ้าที่เป็นรูปนั้น ท่านแปรสภาพ(ทรงดับขันธ์)ไปแล้ว ที่เป็นนาม มีหลายสรรพนาม ที่ท่านหมายถึงตัวท่าน เช่น ตถาคต (พบมากที่สุด) และเป็นคำที่เรารู้กันดี "ผู้ใดพบธรรม ผู้นั้นพบเรา" ก็เป็นคำที่ใช้อยู่และจริง เราจะพบพระพุทธองค์ได้ หลังเราพบธรรม ผมว่าคุณก็ไม่ปฏิเสธ

                 แต่เราจะให้ผู้อื่นซาบซึ้งได้อย่างไร ถ้าเขายังไม่ถึงจุด ตอบมากก็ยิ่งห่างไกล ที่จริงท่านอยู่ใกล้เรานี่แหละ   แล้วแต่จะพิจารณา นะครับ อย่างน้อยผมก็มีผู้คุยด้วย และกำลังรอบทจบอยู่ ความจำของผมได้ไปตามเวลาแล้ว
                                                                          ทองแถม
                      
                          ขอบคุณครับสำหรับคำแนะนำ
ปัญหาธรรมข้อที่19
             ก็ไม่มีอะไรมากหรอกค่ะ ปกติอ่านลานธรรมฯ อยู่เห็นเวปคุณ เลยเข้าไปอ่านดู ไม่ได้สนใจว่าคุณเป็นใครหรอกค่ะ สงสัยที่ว่าบางกระทู้เขาบอกว่า คนบรรลุธรรม เขาจะไม่บอกกันไม่ใช่เรอะคะ แต่ก็ไม่ได้คิดอะไรเลยค่ะg เพราะตัวเองใฝ่รู้ธรรม เชื่อตัวเองว่ามีวิจารณญาณพอสมควร เลยเมล์ไปเพราะอยากถามสิ่งที่เกิดกับตัว เพื่อประดับความรู้ตัวเองเท่านั้นค่ะว่าคืออะไร เพราะไม่มีครูสอนสั่งค่ะ
        1. คนที่ได้กสิณไฟ โดยมิได้ฝึกมาก่อน จะมีอาการเป็นอย่างไรและควรทำตัวเช่นไร
        2. บางครั้ง พอสายตากระทบแว้บกับไฟ แล้วหลับตาลง จะเห็นดวงสี ทรงกลมสวยลอยเด่น แล้วเราก็สงบนิ่งดูดวงกลมสีนั้น ด้วยความสุขใจอยู่สักพักเหมือนเราบังคับตัวไม่ได้ คืออะไรคะ บางครั้งหลับตาเห็น พอลืมตาขึ้นมา ก็ยังลอยเด่น เห็นชัดๆ อยู่บนหน้าของพี่สาว ดวงนั้นสวยชัด เห็นได้ด้วยตาเปล่า ก็ได้แต่มองหน้าเขาอยู่เฉยๆ จนพี่ถามว่าเป็นอะไร
3.ระยะนี้ เห็นดวงกลมนั้น เป็นสีเหลืองตัดเส้นรอบวงด้วยสีแดง ข้างในเห็นเป็นเหมือนรูปกงจักร หมุนติ้ว ดวงเล็ก แต่เห็นได้ชัดมาก มีความหมายมั้ยคะ
              เคยถามกัลยาณมิตรบางคน เขาบอกว่า เราได้กสิณไฟ อย่าไปเล่น เพราะจะทำให้เป็นกิเลส ติดสุขอยู่เช่นนั้น จริงหรือไม่คะ เพราะมีความรู้สึกว่าตัวเองก็ไม่ได้เล่นนี่ เวลาที่จะเห็นดวงกลม เขาก็เข้าหาเราเอง ไม่ได้อยากให้เข้า บางครั้งก็ไม่เข้าใจ แต่เรียนบอกคุณก่อนค่ะว่า ปฏิบัติสมาธิโดยการนั่งหลับตามาเกือบ 4 ปีแล้ว แต่ไม่มีครูอาจารย์ที่ไหน ปฏิบัติเอง โดยที่ต้องบอกว่าไม่รู้เรื่อง วันดีคืนดี ก็สงบเงียบได้เอง เลยค้นคว้าเอาเอง แต่ก็เรื่อยๆ ค่ะ ขณะนี้กำลังปฏิบัติตามการดูจิตของหลวงอาจากลานธรรมฯ สอนมา และตามความเคลื่อนไหวมือของหลวงพ่อเทียน ซึ่งเป็นสิ่งที่คิดว่าเดินมาถูกทางแล้ว ไม่ต้องสนใจสิ่งที่เกิดขึ้น
                  ขอขอบพระคุณเป็นอย่างยิ่ง มา ณ.ที่นี้ด้วยนะคะ

ตอบ
               ความรู้ที่กัลยาณมิตรบอกคุณก็ถูกแล้วครับผมคงไม่ต้องเพิ่มเติมอะไร ส่วนสิ่งที่คุณเห็นเป็นรูปกงจักรนั้น เขาเรียกว่าจักรไฟ(ฟังจากที่เล่า)  จักรนั้นมีหลายอย่าง ในอดีตชาติคุณคงเคยฝึกสมาธิด้วยกสิณ และฝึกวิปัสสนาด้วยธัมมจักรกัปปวัตตนสูตร ที่พระพุทธเจ้าตรัสสอนไว้ว่า ไม่สุดโต่งไปข้างใดข้างหนึ่ง ชาตินั้นคุณก็คงฝึกได้ถึงระดับหนึ่งคือระดับเห็นการกระทบ นอกและกระทบในอย่างชัดเจน จนทำให้จิตเกิดการหมุนขึ้น คุณจึงมีจักรติดตัวมาถึงชาตินี้ พระสาวกที่ทำได้จากสูตรนี้เป็นคนแรกก็คือพระอัญญาโกณฑัญญะ ซึ่งเป็นพระสาวกองค์แรกในพระพุทธศาสนา เมื่อได้ฟังปฐมเทศนาที่ว่า " บรรพชิตไม่ควรเสพสิ่งสุดโต่งสองส่วน " พระอัญญาโกณฑัญญะก็เข้าใจได้ทันทีว่าพระพุทธองค์หมายถึงระหว่างนอกกับใน เมื่อพระอัญญาโกณฑัญญะไม่ติดนอกติดใน จิตจึงเกิดหมุนขึ้น เมื่อท่านเห็นการหมุนนั้น ท่านก็ปล่อยวางการหมุนนั้น ท่านก็บรรลุธรรม พระสูตรนี้จึงได้ซื่อว่าธรรมจักรกัปปวัตตนสูตร ตัวคุณเองก็คงฝึกมาถึงขั้นที่เห็นการหมุนนั้น แต่คุณไม่สามารถปล่อยวางการหมุนนั้นได้
                ผมขอแสดงความเห็นนะครับว่าในชาตินั้นหากคุณสามารถปล่อยวางการหมุนนั้นได้คุณก็จะบรรลุธรรม  เพราะเมื่อคุณปล่อยวางคุณก็จะหลุดออกจากขันธ์ห้า เห็นมรรคได้เหมือนกัน  แล้วทำไมในอดีตชาติคุณถึงปล่อยวางไม่ได้นะหรือ ก็เพราะคุณไปติดในตัวรู้ คุณไปติดในธาตุรู้ของใจ คุณรู้ว่ามันมีการกระทบระหว่างนอกและใน คุณก็ไม่ยอมปล่อย คิดว่าหากเรามีสติรู้ตลอดน่าจะบรรลุธรรม ซึ่งมันไม่ถูกต้องนัก การฝึกให้รู้เท่าทันการกระทบนั้นเป็นทางที่ถูกแล้ว แต่สุดท้ายก็ต้องปล่อยวางตัวรู้นั้นด้วยนะครับ
หากคุณจะฝึกให้เห็นการเกิดนอกเกิดใน คุณก็จะได้เร็วเพราะในอดีตชาติคุณเคยฝึกมาก่อน อาจารย์ของคุณในชาติก่อนนั้นท่านคงเป็นพระอริยะขั้นสูงแล้วนะครับ แต่ในชาตินี้คุณคิดว่าคุณมาถูกทางแล้วผมก็คงไม่ขอออกความเห็นอะไร แต่ก็ขอเตือนคุณหน่อยนะครับสุดท้ายคุณต้องปล่อยวางนะครับ ไม่เช่นนั้นจะไปติดในตัวรู้เหมือนในอดีตชาติอีก
                 สุดท้ายนี้ไม่มีอะไรจะกล่าวแล้วเมื่อคิดว่าคุณมาถูกทางแล้วก็ขอให้มีดวงตาเห็นธรรมนะครับ เมื่อมีดวงตาเห็นธรรมก็จะเข้าใจ สีลัพพตปรามาส นั้นเป็นเช่นไร เมื่อเข้าใจแล้วก็จะเข้าใจเองว่าผู้ที่ตอบกระทู้ว่าผู้บรรลุธรรมนั้นไม่ประกาศตัวคืออะไร สีลัพพตปรามาสก็คือสีลัพพตปรามาส ผู้ที่ตอบในกระทู้นั้นละสีลัพพตปรามาสได้หรือยัง ผู้บรรลุธรรมนั้นไม่จำเป็นต้องประกาศตน เปรียบเหมือนเมื่อท่านข้าวอิ่มแล้วก็ไม่จำเป็นที่จะต้องไปร้องบอกใคร(ผมเองก็ไม่เคยบอกใครว่าผมเป็นใคร หากจะตีความว่าประกาศตัวก็แล้วแต่การตีความครับ) แต่สำหรับคนทั่วไปนั้น สีลัพพตปรามาส ก็คือสีลัพพตปรามาส
       ขอบคุณครับที่แวะเข้ามาเยี่ยมชม ขอให้มีดวงตาเห็นธรรมนะครับ


ปัญหาธรรมข้อที่20  จิตคือธาตุรู้ใช่หรือไม่?
ตอบ ไม่ใช่
           จิตไม่ใช่ธาตุรู้ จิตก็คือจิต ผู้ที่กล่าวว่าจิตคือธาตุรู้แสดงว่าเอาจิตไปรวมกับใจ จึงเห็นว่าอะไรก็รู้ไปหมด สิ่งนั้นก็รู้ สิ่งนี้ก็รู้ ตนเป็นผู้รู้ธรรมแล้ว หากตอบเช่นนี้บุคคลผู้นั้นยังไม่เข้าถึงธรรม
           จิต หรือ จิตเดิมแท้นั้นไม่มีใครไปให้ความหมายมันได้ 
           จิต ก็คือ จิต        
           จิตไม่ใช่ธาตุรู้ และธาตุรู้ก็ไม่ใช่จิต
           ผู้ที่ตอบว่าจิตคือธาตุรู้นั้นก็เพราะเขาเอาจิตเข้าไปรวมกับธาตุรู้ของใจ เขาจึงเห็นว่าจิตคือธาตุรู้ นั้นเขาถูกใจมันหลอก
           ธาตุรู้จะเป็นจิตไปไม่ได้ เพราะอะไรนะหรือ? ก็เพราะว่ามันไม่ใช่นะซิ
           มะม่วงก็ต้องเป็นมะม่วง จะบอกว่ามะม่วงเป็นทุเรียนนั้นก็เป็นไปไม่ได้ เพราะอะไรนะหรือ ก็เพราะว่ามันไม่ใช่นะซิ
           มีครูอาจารย์บางท่านสอนสมาธิให้นำความรู้สึกไปไว้ที่ฐานต่างๆของร่างกาย เช่นที่ท้อง ที่ใจ ทำสมาธิเช่นนั้นอย่างมากก็ได้ความสงบ ได้ปิติ หรือสูงสุดก็ถึงอรูปดำรง หรือญาณ 16 ไม่มีวันที่จะมีดวงตาเห็นธรรมได้ การที่จะทำให้มีดวงตาเห็นธรรมได้นั้นจะต้องถอนจากสมาธิมาทำวิปัสสนา สมาธิจะมีประโยชน์สูงสุดก็ต่อเมื่อนำกำลังของสมาธินั้นมาวิปัสสนา หากสำนักใดสอนแต่สมาธิโดยไม่สอนวิปัสสนาสำนักนั้นก็ได้ซื่อว่าสำนักของพวกฤาษีเท่านั้น ไม่ใช่สำนักปฏิบัติธรรม
          บุคคลใดรู้ว่าตนหลุดพ้นแล้ว แต่ยังไม่ละซึ่งความหลุดพ้นนั้น บุคคลนั้นยังไม่ถึงซึ่งความหลุดพ้นเลยแม้แต่น้อย เขายังถูกมายาของใจหลอกหลอนอยู่
         บุคคลใดที่รู้ไปซะทุกอย่าง อย่างทะลุปรุโปร่ง ทั้งภายในแลภายนอกทุกอย่างในสากลจักรวาลนี้ บุคคลนั้นยังเข้าไม่ถึงซึ่งความหลุดพ้น เขายังถูกมายาของใจหลอกหลอนอยู่
        ผู้ที่....+ (             ) - ... บุคคลผู้นั้นเข้าถึงความเป็นพุทธะแล้ว
       .....(ขอกราบเท้าพระอาจารย์นับพันนับล้านครั้ง).....
                                                ขอบคุณครับสำหรับคำถาม

ปัญหาธรรมข้อที่21
ประการแรก
                    ท่านบอกว่าวัดที่ท่านเคยบวช ละเว้นการขบฉันเนื้อสัตว์ ซึ่งเป็นข้อสิกขาบทที่พระเทวทัตเคยทูลขอด้วยอุบาย แต่ถูกพระพุทธองค์ปฏิเสธ จึงเป็นข้อวัตรที่อยู่นอกพุทธบัญญัติ และเห็นว่าการที่วัดนั้นนำมาเป็นข้อวัตรปฏิบัติจึงเท่ากับเป็นการไม่เคารพในพระพุทธองค์ แต่ท่านระบุว่าสามารถบรรลุธรรมได้ นี้เป็นสิ่งที่ดูขัดแย้ง โปรดอธิบายชี้แจงด้วย
ประการที่สอง
                     เคยได้รับฟังการบอกเล่าจากกัลยาณมิตรว่าเคยได้บรรลุถึงสภาวธรรมอันเป็นจิตเดิม เป็นสภาวะที่ครูบาอาจารย์หลายองค์รับรองว่านิพพานก็เป็นอย่างนี้ แล้วก็คลายตัวออกมาแล่นตามกระแสกิเลสอีกหลายครั้ง และตัวเขาเองก็บอกว่าเขายังไม่ใช่พระอริยะเจ้า อย่างไรจึงจะเรียกว่าพระอริยะเจ้า ต้องทรงสภาวธรรมนั้นไปตลอดหรือ ท่านเองก็เคยคลายตัวเช่นเดียวกันหรือไม่ และจะต้องทำอย่างไรจึงไม่คลายตัว

ประการที่สาม
                     ท่านเห็นอย่าไรกับประโยคที่ว่า จิตคืออาการของใจ
ประการที่สี่
                    แล้วศรัทธาวิมุติเล่า มีด้วยมิใช่หรือ จะบรรลุธรรมด้วยศรัทธาวิมุติได้อย่างไร ท่านทราบหรือไม่
                                                               ขอขอบพระคุณยิ่ง
                    ผู้รู้พิจารณาแล้ว ระบุว่าท่านชิงสุกก่อนห่าม แม้ภูมิธรรมโสดาบันก็ยังไม่ถึง ควรปฏิบัติธรรมต่อไปให้มั่นก่อน สิ่งที่แสดงยังมีความเห็นผิดอยู่มาก เป็นจะวิบาก เป็นเหตุให้ความเห็นผิดหลั่งไหลตามมา
ตอบ                  
                 ขอบคุณมากครับสำหรับคำถามของคุณ นับว่าเป็นประโยชน์มากสำหรับคนหมู่มาก หากผมไม่เอาคำถามของคุณลงใน web มันก็คงไม่ยุติธรรมสำหรับคุณและหมู่คณะของคุณ จากที่คุณถามมามันก็เป็นคำถามธรรมดาไม่ได้ซับซ้อนอะไร แต่ผมมีอะไรจะเล่าให้คุณฟัง ฟังและอย่าได้คิดอะไรมาก เดี๋ยวจะไปติดในสีลัพพตปรามาสกันเข้าไปใหญ่
               ครั้งหนึ่งมีเศรษฐีท่านหนึ่งเกิดจิตศรัทธาใคร่ถวายผ้าจีวรสามผืนแด่พระสารีบุตร จึงนิมนต์พระสารีบุตรไปรับประเคนที่บ้านของตน ระหว่างทางต้องข้ามท้องร่อง พระสารีบุตรกระโดดข้ามด้วยความว่องไว เศรษฐีรู้สึกขัดใจจึงคิดว่า สมณะรูปนี้ไม่สำรวมเลย
เราจักถวายผ้าเพียงสองผืนเท่านั้น
                    เมื่อเดินผ่านท้องร่องที่สอง พระสารีบุตรก็ยังคงกระโดดข้ามอีก เศรษฐีจึงกำหนดหมายว่าจักถวายผ้าเพียงผืนเดียวเท่านั้น
                    แต่พอผ่านมาถึงท้องร่องที่สาม พระสารีบุตรไม่กระโดดข้าม กลับอ้อมไปอย่างสำรวม เศรษฐีจึงถามด้วยความแคลงใจว่า
ทำไมท้องร่องนี้พระคุณเจ้าจึงไม่กระโดดเล่า ขอรับ
พระสารีบุตรจึงตอบว่า
อ้าว ถ้าอาตมากระโดดข้ามท้องร่องนี้โยมก็ไม่ได้ถวายผ้า แนะซี
                    นี้เป็นหนึ่งตัวอย่างของคนยังติดในสีลัพพตปรามาส คิดว่าพระอาริยะเจ้าต้องเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ แม้แต่พระอรหันต์อย่างพระสารีบุตรก็ยังไม่เว้น
ตอบข้อแรก
                    ข้าพเจ้าบอกว่าวัดที่ข้าพเจ้าบวชนั้นไม่ทานเนื้อ แต่ข้าพเจ้าก็ไม่เคยตำหนิสำนักอื่นที่ทานเนื้อ พระพุทธเจ้าทรงอนุญาตว่าใครจะไม่ฉันเนื้อก็ได้ ใครจะฉันเนื้อก็ได้
                    การทีวัดที่ข้าพเจ้าไปบวชอยู่นั้น เราไม่ได้เน้นไปที่การบริโภคเนื้อหรือไม่บริโภคเนื้อ แต่เราไม่บริโภคชีวิต ชีวิตท่าน ท่านก็รัก ชีวิตของคนอื่น เขาก็รักชีวิตของเขา
                   ไม่มีประโยชน์อันใดที่จะมายัดแย้งกันในข้อนี้ เพราะว่าพระพุทธเจ้าพระองค์ทรงตัดสินแล้ว ว่าใครจะฉันเนื้อก็ได้ ไม่ฉันก็ได้
                    ข้าพเจ้าไม่เคยกล่าวตำหนิผู้ที่ท่านเนื้อ เพราะหากมีผู้กล่าวว่าการทานพืชแล้วบรรลุธรรมได้นั้น วัวควายก็คงบรรลุธรรมกันหมดแล้ว

เราไม่ใช่ ไม่บริโภคเนื้อ แต่เราไม่บริโภคชีวิตต่างหาก
ตอบข้อสอง
                    สิ่งที่ท่านเคยได้ฟังมานั้นไม่มีอะไรผิด ถูกต้องทุกอย่าง และการที่จะรู้ว่าตนบรรลุธรรมเป็นอริยะเจ้าแล้วนั้น ขณะบรรลุมันไม่มีใครมาบอกหรอกนะว่าตนเป็นโสดา หรือเป็นอรหันต์ แต่ตัวเราเองจะรู้ว่ามันเป็นอย่างไร หมดความสงสัยในธรรมในทันที รู้ธรรมเดียวกับที่พระพุทธเจ้ารู้ แม้แต่พระพุทธเจ้าอยู่ตรงหน้าเราก็ไม่ถาม คงแต่ก้มลงกราบ และเอ่ยเล่นๆว่า
มันมีแค่นี้เองหรือ
 พระพุทะเจ้าจะตรัสว่าอะไรเราคงไม่รู้ พระองค์อาจจะตรัสว่า
 มันก็มีแค่นี้ละ แล้วเธอจะเอาอะไร
                   เมื่อก็หมดความสงสัยในตัวในตน ในศีล ก็ได้ชื่อว่าผู้แรกเห็น
ตอบข้อที่สี่
ที่ถามว่า       “ท่านเห็นอย่างไรกับประโยคที่ว่า จิตคืออาการของใจ"
ตอบแบบฟันธงได้เลยว่า คำพูดเช่นนั้นผิด จิตก็คือจิต ใจก็คือใจ
                   ผู้ที่กล่าวตามที่ท่านบอกมานั้น เขายังไม่เข้าถึงธรรมเลยนะ เพราะอะไรนะหรือ ก็เพราะเขายังเห็นว่า จิตกับใจเป็นตัวเดียวกันนะซิ
                   คนไม่อาบน้ำก็ยอมมีกลิ่นตัว หากเขาเอาน้ำหอมไปพรม แล้วใครไปดม อย่าได้คิดไปว่าเขาไม่มีกลิ่นตัว ใจไปพรมอยู่บนจิต แล้วอย่าเหมาเอาว่า จิตกับใจนั้นเป็นตัวเดียวกัน
ตอบข้อสี่
               คำในพระปิฎกที่กล่าวถึงคำว่าวิมุติมีอยู่ต้องมากมาย ไม่ใช่จะมีแค่ ที่ข้าพเจ้ากับท่านกล่าวกัน เช่น
เจโตวิมุตติ ตทังควิมุตติ ปัญญาวิมุตติ นิสสรณวิมุตติ ปฏิปัสสัทธิวิมุตติ ฯลฯ
............................................................................................................
               ข้าพเจ้ารู้และก็เตรียมใจไว้แล้วว่าจะต้องพบและเจอคำถามเหล่านี้ เพราะครั้งที่ตัดสินใจที่จะทำ web นี้ขึ้นก็คิดไว้แล้วว่าข้าพเจ้ากำลังจะต้องถูกทดสอบและคัดค้านจากสำนักธรรมต่างๆ เพราะข้าพเจ้าต้องตอบคำถามที่ตรงไปตรงมา และอาจไปขัดกับคำสอนของครู-อาจารย์ของคนหลายคน อย่างเช่น ข้าพเจ้าฟันธงไปว่า

จิตนั้นไม่ใช่ธาตุรู้
คนเราไม่สามารถบรรลุธรรมด้วยใจ
นิพพานไม่ใช่อัตตาและอนัตตา
ธรรมนั้นไม่ใช่ ความสะอาด สว่าง สงบ
ความตายนั้นไม่มี
          และอีกหลายคำตอบที่ข้าพเจ้าต้องตอบแบบตรงไปตรงมา และแน่นอน อาจจะขัดกับคำสอนของสำนักต่างๆ ที่ผู้สอนยังเอาจิตเข้าไปรวมกับใจ จึงถูกธาตุรู้ของใจนั้นหลอกหลอน
                และทุกคำตอบ จะมีผู้อนุโมทนากับคำตอบของข้าพเจ้า ถึงจะมีไม่มากเท่าผู้ที่สงสัยในตัวข้าพเจ้า เป็นธรรมดาของโลกในปัจจุบันนี้ ที่ของปลอมมีมากกว่าของแท้
               การทดสอบในครั้งนี้ไม่ใช่ครั้งแรกที่ข้าพเจ้าถูกทดสอบ และก็ไม่ใช่ครั้งที่หนักที่สุด ครั้งที่หนักที่สุดนั้นผ่านมาแล้ว และธรรมที่ข้าพเจ้าใช้ในการหยุดพวกเขา ข้าพเจ้าก็กล่าวเพียงสั้นๆว่า
เราจะผ่านการทดสอบจากพวกท่านหรือไม่ ก็ไม่มีประโยชน์อะไรกับเรา
หากเราไม่ผ่านการทดสอบในครั้งนี้ ธรรมนั้นก็ได้แก่เราแล้ว
หากเราผ่านการทดสอบ ก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้นกับเรา ธรรมนั้นก็ได้แก่เราแล้ว
             ที่ท่านกล่าวว่าท่านถามผู้รู้แล้ว และผู้รู้ของท่านบอกว่าเราไม่ใช่ของจริง ขอถามกลับว่า ท่านแน่ใจได้อย่างไรว่าใครเป็นผู้รู้ บุคคลผู้นั้น หรือข้าพเจ้ากันแน่ที่เป็นผู้รู้ ข้าพเจ้าไม่ขอกล่าวอะไรมากเพราะครูอาจารย์ใคร ใครก็รัก ของจริงไม่ต้องคุยอะไรกันมาก พูดคำสองคำก็รู้แล้ว ของปลอมถึงจะยกพระไตรปิฎกมาเถียงกันก็ไม่มีวันจบสิ้น พระไตรปิฎกนั้นไม่ผิดหรอกครับ แต่คนตีความนะชิที่มีปัญหา
             วิธีเดียวที่จะสามารถพิสูจน์ได้ว่าครูอาจารย์ท่านใดจริงเท็จ ขอให้คุณถอดจิตหรือกายทิพย์ก็ได้(ไม่ได้ปรามาสคุณนะครับ) แล้วคุณจะรู้เองว่าที่เขาว่าพระองค์นั้น พระองค์นี้เป็นอรหันต์ แล้วเหตุใดยังอยู่ในสวรรค์ ยังอยู่ชั้นพรหม                  
                   ใครติดอะไรก็จะไปอย่างนั้น ติดที่ใจก็ต้องไปเสวยผลนั้น
               ไม่จำเป็นต้องเชื่อหรือไม่เชื่อที่ข้าพเจ้าอธิบาย  ไปปฏิบัติดูตามแต่จริต เมื่อได้แล้วก็จะรู้เอง เพราะธรรมแท้ๆ ปรากฏแก่ใครก็เหมือนกัน ที่มีปัญหากันอยู่ทุกวันนี้ต่างหากที่ไม่แท้ ของแท้พูดคำสองคำก็เข้าใจกัน
                   ข้าพเจ้าไม่ได้ใส่ใจว่าตนเป็นอริยะหรือไม่เป็นอริยะ รู้แต่ว่าของแท้ๆนั้นเป็นอย่างไร เห็นว่าผิดทางกันมากจึงอยากจะเตือนก็เท่านั้น ใครเข้าใจ หรือไม่เข้าใจ ก็แล้วแต่เขา
                  ขอบคุณครับสำหรับคำถาม และต้องขอโทษหากทำให้คุณไม่พอใจ แต่ที่ทำไปเพื่อคนหมู่มาก

                                                                                          ขอบคุณครับ


ปัญหาธรรมข้อที่22
                ธรรมเหล่าใดเกิดแต่เหตุ พระศาสดาทรงแสดงเหตุแห่งธรรมนั้น และความดับแห่งธรรมนั้น นี่เป็นคำสอนของพระอัสสชิที่แสดงธรรมให้อุปติสสปริพาชก
        คำถามก็คือท่านทำเหตุอะไรที่เป็นปัจจัยให้บรรลุธรรม
   แค่ความคิดจะเป็นปัจจัยสู่การหลุดพ้นหาได้ไม่
   ปัญญาในความหมายของศาสนานี้ก็ไม่ใช่ความคิดหรือนึกเอา
   แต่เป็นอาวุธหรือยาที่จะไปทำลายกิเลสอย่างเด็ดขาดและสิ้นเชิง  สิ่งเหล่านี้เกิดเองไม่ได้ และไม่ได้เกิดจากความคิด แต่เกิดจากการพัฒนาทางใจเริ่มจากปฐมดำรงเป็นต้น



ตอบ
               ครั้งหนึ่งพระสารีบุตรเห็นพระรูปหนึ่งจึงเกิดความเลื่อมใส จึงเดินตามไปเพื่อจะขอฟังธรรม พระรูปนั้นก็คือพระอัสสชิ พระสารีบุตรขอฟังธรรมจากพระอัสสชิ พระอัสสชิจึงโปรดแสดงธรรมโดยย่อ  พระสารีบุตรได้ฟังธรรมนั้นก็เข้าใจ
        “ธรรมใดเกิดมาแต่เหตุ เมื่อเหตุเกิดผลก็เกิด เมื่อเหตุดับผลก็ดับ"

                พระสารีบุตรเข้าใจได้ทันที่ว่าหมายถึงอะไร คือภาพที่เห็น เกิดจากตารับมา เสียงที่ได้ยินเกิดจากหูรับมา ร้อนหนาวเกิดจากผิวสัมผัส รสชาติเกิดจากลิ้นรับรส กลิ่นเกิดจากจมูกรับกลิ่น สุข ทุกข์เกิดจากใจ
          รู้ว่ามีเสียงเนื่องจากเสียงมากระทบที่หู เกิดที่หูก็ดับที่หู เมื่อเหตุนั้นไม่มี ผลจึงไม่มี
          ภาพเกิดจากแสงกระทบตา เกิดที่ตาก็ดับที่ตา เมื่อเหตุนั้นไม่มี ผลจึงไม่มี
          ร้อนหนาวเกิดจากผิวสัมผัส  เกิดที่ผิวก็ดับที่ผิว เมื่อเหตุนั้นไม่มี ผลจึงไม่มี
          กลิ่นเกิดจากจมูกสัมผัส  เกิดที่จมูกก็ดับที่จมูก เมื่อเหตุไม่มี ผลจึงไม่มี
          รสชาติเกิดจากลิ้น  เกิดที่ลิ้นก็ดับที่ลิ้น เมื่อเหตุไม่มี ผลจึงไม่มี
          เวทนาเกิดขึ้นที่ใจ  เกิดที่ใจก็ดับที่ใจ เมื่อเหตุไม่มี ผลจึงไม่มี

                พระสารีบุตรได้ฟังก็เข้าใจในเหตุ และผลของมัน ท่านจึงปล่อยวางอายตนะทั้งหมดเสีย จึงมีดวงตาเห็นธรรม บรรลุโสดาบันในขณะนั้น และพระสารีบุตรก็นำธรรมโดยย่อนี้ไปแสดงให้แก่เพื่อน ซึ่งก็คือ พระมหาโมคคัลลานะ   พระมหาโมคคัลลานะ ได้ฟังก็ปล่อยวางเหมือนกับพระสารีบุตร จึงบรรลุธรรมเหมือนกัน ท่านทั้งสองต่อมาได้รับการยอมรับจากพระพุทธเจ้าให้เห็นพระสาวกซ้ายและขาว
              ในการศึกษาธรรมนั้นไม่ว่าจะแนวทางไหนก็ตามก็สิ้นสุดอยู่ที่การปล่อยวาง เพราะถ้ายังไม่ปล่อยวางก็ยังมีตัวเราเข้าไปเกี่ยวข้อง
               ตัวข้าพเจ้าเองก็ได้มาด้วยการปล่อยวาง ไม่ใช่ได้มาเพราะความนึกคิด แต่เราใช้ปัญญาไตรตรองจนเห็นว่ามันมีแค่นี้เองหรือ เมื่อเข้าใจแล้วว่ามันก็เป็นของมันอย่างนี้ ปัญญาที่ได้จึงปล่อยวาง แล้วก็ได้ในที่สุด
               พระสารีบุตรและพระมหาโมคคัลลานะ ฟังและก็ไตร่ตรอง ในขณะนั้นไม่ได้ทำการนั่งสมาธิเลยนะครับ ฟังและก็ใช้สมาธิในขณะนั้น ไตร่ตรองจนเห็นความเป็นจริง แน่นอนท่านก็อาศัยสมาธิอยู่เหมือนกันเพราะท่านก็เคยฝึกสมาธิ แต่ในการฟังในขณะนั้น ไม่ได้เข้าไปถึงสมาธิที่สูงอะไร เป็นสมาธิที่ฟังและก็ไตรตรอง
            ในทางวิปัสสนาก็เช่นเดียวกัน เมื่อจะทำการวิปัสสนาก็ต้องถอนออกมาที่สมาธิขั้นต้นๆ
            จะบอกว่าเกิดจากการพัฒนาทางใจ อันนี้ก็ทำเพื่อให้เกิดสมาธิ แต่สุดท้ายก็ต้องนำกำลังแห่งสมาธิมาทำวิปัสสนาจึงจะเห็นธรรม ถ้าจะอาศัยสมาธิอย่างเดียวสุดท้ายก็ได้ ดำรง ต่างๆ ก็เท่านั้น ตายไปก็ไปเกิดเป็นพรหมก็เท่านั้น ไม่ทำให้ได้ธรรมอะไรขึ้นมาได้ ธรรมจะได้ก็ต่อเมื่อ ปล่อยวางแล้วเท่านั้นนะครับ
                                                                    ขอบคุณครับสำหรับคำถาม

ปัญหาธรรมข้อที่23    เราจะละสีลัพพตปรามาสได้อย่างไร
ตอบ
                   สีลัพพตปรามาสนั้นเราจะละได้ ก็ต่อเมื่อเรามีดวงตาเห็นธรรมแล้วเท่านั้นเราถึงจะรู้ว่าอะไรคืออะไร พระพุทธเจ้าจึงยกข้อสีลัพพตปรามาสไว้ในยังโยชน์ทั้งสิบ พระอริยะเจ้าเท่านั้นที่ละได้ 
                  แล้วจะละได้อย่างไร? เราจะต้องเห็นธรรมชาติเดิมแท้ของเราชะก่อนจนเข้าใจและสามารถปล่อยวางมันได้ เห็นแล้วต้องปล่อยวางด้วยนะ เห็นแล้วต้องปล่อย ถ้าเห็นแล้วไม่ปล่อยก็ไม่ใช่ของจริง ยังไปติดในตัวเห็น ในตัวรู้อยู่ ก็เห็นว่าไอ้ที่เราเห็นว่าเป็นตัว เป็นตนของเราอยู่นี้มันก็เป็นแค่อาการเกิดดับของธรรมชาติเท่านั้น แล้วก็ปล่อยวางการรู้ การเห็นนั้นซะ (สักกายทิฏฐิ)  เห็นสิ่งนี้ก็เห็นธรรมเหมือนกันก็จะเห็นว่า ธรรมชาติมันก็มีแค่นี้เอง(เมื่อปล่อยวางได้แล้ว) เราก็จะหมดความสงสัยในธรรมได้ด้วยเหมือนกัน(วิจิกิจจา) เมื่อเห็นจนปล่อยวางได้อย่างนี้เราก็จะเข้าใจไปด้วยในคราวเดียวกันว่าเราจะปฏิบัติอย่างไรที่ถูกที่ควรแก่การพ้นทุก(สีลัพพตปรามาส)
                    สีลัพพตปรามาสไม่สามารถละมันได้เดี่ยวๆ มันจะได้มาเองเมื่อเห็นธรรม แต่ในขณะที่เรายังไม่บรรลุธรรม เราเป็นแค่ผู้แสวงหา ก็ขอให้ทำไปตามสมมุติที่เราเป็น เราเป็นพระเราก็ถือศีลของพระ แต่ก็เข้าใจนะครับว่าเราอาจจะไม่เข้าใจว่าอะไรควรไม่ควร ขอแนะนำให้ทำไปด้วยความเป็นกลาง ทำไปเพราะสมมุติของเรา เราเป็นพระมีแบบนี้เราก็ต้องทำแบบนี้ แต่อย่าได้ไปเคร่งมันมาก ยกตัวอย่างเช่นสมัยที่ข้าพเจ้าบวชอยู่นั้นมีพระสองรูปไปบิณฑบาตก็ไปด้วยกัน มาคนละที่มาเจอกัน ไปด้วยกัน เมื่อชาวบ้านใส่บาต พระที่เคร่งไม่ยอมสวด พระที่มาด้วยก็สวดไม่เป็นเพราะพึ่งบวชได้ไม่กี่วัน ชาวบ้านก็นั่งพนมมือรอพระสวด พระก็ไม่สวด ชาวบ้านก็ไม่ไป พระบวชใหม่กล่าวกับพระเก่าว่าหลวงพี่สวดซิครับ พระเก่าบอกว่าเราไม่สวดมันผิด ชาวบ้านก็นั่งรออยู่ พระใหม่จึงบอกว่าแล้วจะทำอย่างไร พระเก่าตอบว่า ถ้าจะให้เราสวดก็ต้องไปเอาเก้าอี้มาให้เรานั่งถึงจะไม่ผิด พระใหม่รู้สึกอึดอัดไม่รู้จะทำอย่างไร จึงหยิบหนังสือขึ้นมาเปิดดู แล้วสวด

                 อย่างนี้ก็เคร่งเกินไปนะครับ จริงๆแล้วมันก็ไม่ควรสวดหรอกครับ แต่ชาวบ้านเขาไม่เข้าใจ และพระที่นั้นส่วนใหญ่เขาสวดกัน ชาวบ้านก็เลยไม่รู้ว่าอะไรถูกอะไรผิด เราก็ไม่ควรจะเคร่งในข้อวัตรแบบนั้น สวดไปมันจะเป็นอะไรไป สวดเสร็จชาวบ้านก็อิ่มอกอิ่มใจ พระใหม่ก็ไม่ต้องมาอึดอัดด้วย อันนี้ก็เรียกว่าสีลัพพตปรามาสเหมือนกัน ไม่เข้าใจในศีลที่แท้จริง ซึ่งจริงๆก็ไม่ควรสวด แต่ถ้าเราเคร่งไปก็ไม่ทำให้เราบรรลุธรรมได้
                มีอีกกรณีหนึ่งมีพระที่เคร่งมากไปกราบพระอาจารย์  เมื่อจะกลับก็ขอเงินพระอาจารย์และขอให้คนไปส่งด้วย เพราะท่านไม่ถือเงินไม่ว่าจะช่วงไหนท่านก็ไม่จับเงิน ท่านพระอาจารย์ก็ให้เงินท่านก็ไม่รับ บอกว่าให้คนที่จะไปซื่อตั๋วรถทัวร์ถือไป และให้คนถือเงินไปด้วยเพื่อไปซื่อตั๋วรถทัวร์ให้ท่านเพราะท่านไม่จับเงิน ท่านก็ทำอย่างนั้นของท่าน ก็มาหาพระอาจารย์อยู่หลายครั้ง ท่านก็เคร่งเรื่องการจับเงินมาก จะลาก็ขอเงินพระอาจารย์ พระอาจารย์ก็ให้ แต่ก็ไม่ถือเองต้องมีคนถือให้ ไปซื้อตั๋วรถทัวร์ถึงสถานี พระอาจารย์ท่านก็เลยต้องเตือนเอาว่าหากท่านถือเงินไม่ได้ ท่านก็อย่าไปไหนเลย ไปรบกวนกิจของคนอื่นอีกที่ต้องถือไปให้ท่าน อันนี้ก็ถือว่าสีลัพพตปรามาส เคร่งเกินไป แม้ในช่วงปรกติก็ยังไม่มีเหตุผล เรื่องเงินนี้ผมเข้าใจ จริงๆถ็เคร่งแค่ช่วงปฏิบัติก็พอ
                ศีลนี้หากเราทำดีอยู่แล้ว เราก็ไม่ต้องไปวิตกกับมัน เช่นเราไม่เคยคิดจะขโมยของของใครอยู่แล้ว เราก็ไม่ต้องไปวิตก ว่าเราจะผิดศีลข้อนี้ เราไม่คิดจะผิดในกาม ก็ไม่ต้องไปวิตกว่าจะละเมิด แต่เรื่องกามนั้นก็ยอมรับว่ายากมากเพราะมันมีเรื่องวัย เรื่องอายุ เรื่องโฮโมน เรื่องประสบการณ์ หากเราเคยครองเรือนมาแล้วเราก็จะพอหยุดมันได้เมื่อคิดว่ามันก็มีแค่นั้น คิดว่าเราก็เคยผ่านมาแล้วไม่เห็นมีอะไรดีขึ้น ก็พอหยุดมันได้ แต่ถ้ายังไม่เคยก็ให้คิดซะว่ามันก็เป็นแค่ซากศพที่เดินได้ ศีลข้อนี้ก็ต้องอาศัยปัญญาในการหยุดมัน
                เมื่อเรายังไม่บรรลุธรรมเราก็ทำไปตามสมมุติที่เราเป็น อย่าไปเคร่งกับมัน ทำไปด้วยความเป็นกลาง ให้เป็นไปตามสมมุติที่เราเป็น
              เราจะละสีลัพพตปรามาสได้เองเมื่อเข้าใจในความเป็นไปของธรรมชาติและเมื่อเราปล่อยวางได้ เราจะรู้เองว่ามันก็มีแค่นี้เอง ศีล ที่มีก็มีเพื่อความลดละไม่ให้เราเดินออกนอกเส้นทาง ไม่ใช่เพื่อไปตีกรอบให้ตัวเองเข้าไปติด แต่ตีกรอบเพื่อให้เดินไปสู่จุดหมายอย่างปลอดภัย   ตอนนี้มีคนสงสัยในข้าพเจ้าว่าข้าพเจ้าหลอกลวง ฯลฯ ขอให้ใช้วิจารณญาณด้วยนะครับ
                ขอให้มีดวงตาเห็นธรรมโดยเร็วนะครับเมื่อนั้นจะเข้าใจธรรมที่ข้าพเจ้าอธิบายเอง

ขอธรรมจงมีแก่ท่าน

ปัญหาธรรมข้อที่ 24      
กระผมอยากทราบว่า การคืนสมมุติบัญญัติคืนสู่ธรรมชาติ ปล่อยวางหมดสิ้น เข้าสู่นิพพานหรือกลับสู่สภาวะจิตเดิมแท้นั้น แตกต่างกับจิตตอนที่เห็นแสง เกิดเป็นของคู่มีผู้รู้ ผู้ถูกรู้ เกิดเป็นดวงจิตลอยขึ้นมาอย่างไร เพราะข้อที่ว่า คำว่าจิต จิตเดิมแท้ สิ่งนั้น ตถาคตา มรรค และนิพพาน คำเหล่านี้หมายถึงสิ่งเดียวกัน ถ้าเป็นสิ่งเดียวกันเช่นนั้นไม่กลายกลับเป็นวัฏสงสารมาเวียนเกิดอีกเหรอครับ ต้องขอโทษด้วยนะครับ ถามด้วยความไม่รู้จริง ๆ

                 กระผมได้ติดตามการถาม-ตอบ การสนทนาธรรมใน WEB พุทธแท้แล้ว มีความสนใจมาก เพราะได้ทราบในเรื่องต่าง ๆ ที่ยังไม่เคยทราบ และเมื่อทราบแล้วแต่ยังสงสัยอยู่บางประการ จึงขอความกรุณาจากท่านช่วยตอบข้อสงสัยนี้ด้วยครับ ตามที่ท่านได้อธิบายว่า  “จิตนั้นคืออะไร ไม่มีใครตอบได้ ถ้าตอบได้ก็ไม่ใช่จิต เพราะจิตอยู่เหนือสมมุติบัญญัติใดๆ จิตมันก็มีของมันอยู่แล้ว คำว่าจิต จิตเดิมแท้ สิ่งนั้น ตถาคตา มรรค และนิพพาน คำเหล่านี้หมายถึงสิ่งเดียวกัน ครั้งเมื่อจักรวาลระเบิดเกิดแสง สี เสียง ขึ้นนั้น แสงมันก็สว่างของมันอย่างนั้น ไม่มีอะไรไปรับรู้ว่าสว่างหรือไม่สว่าง เมื่อแสงสว่างเกิดขึ้นนั้น จิตที่มันอยู่ข้างๆ คิดว่ามันเป็นผู้เห็นแสง ก็เกิดของคู่ขึ้นทันที คือผู้เห็นและผู้ที่ถูกเห็น ผู้รู้กับผู้ถูกรู้ ผู้รู้ก็คือจิต ผู้ถูกรู้ก็คือแสง เมื่อจิตเป็นเช่นนั้นก็เกิดเป็นดวงจิตลอยขึ้นมากระผมอยากทราบว่า การคืนสมมุติบัญญัติคืนสู่ธรรมชาติ ปล่อยวางหมดสิ้น เข้าสู่นิพพานหรือกลับสู่สภาวะจิตเดิมแท้นั้น แตกต่างกับจิตตอนที่เห็นแสง เกิดเป็นของคู่มีผู้รู้ ผู้ถูกรู้ เกิดเป็นดวงจิตลอยขึ้นมาอย่างไร เพราะข้อที่ว่า คำว่าจิต จิตเดิมแท้ สิ่งนั้น ตถาคตา มรรค และนิพพาน                 คำเหล่านี้หมายถึงสิ่งเดียวกัน ถ้าเป็นสิ่งเดียวกันเช่นนั้นไม่กลายกลับเป็นวัฏสงสารมาเวียนเกิดอีกเหรอครับ ต้องขอโทษด้วยนะครับ ถามด้วยความไม่รู้จริง ๆ                
ตอบ
                 จิตเดิมแท้นั้นไม่ได้เป็นของใครเลยทั้งนั้น  เช่นพอเห็นแสงเกิดอวิชชาขึ้นจึงมีความสำคัญมั่นหมายว่าเป็นเรา เราเป็นผู้เสพ มันเป็นของคู่ขึ้น มี    ผู้รู้....และผู้ถูกรู้  นี้ละจึงมาเป็นจิตของเราขึ้นคือจิตไม่แท้ 
                 ในธรรมชาติเดิมเกิดขึ้นแล้วก็ดับไป มัน  เกิด-ดับ  เกิด-ดับ  เกิด-ดับ  อยู่เช่นนี้ แต่เมื่อมีอวิชชาจิตมันไม่ยอมปล่อยมันยึดเอาไว้ มีอวิชชายึดมั่นถือมั่นด้วยแรงตัณหา ทำให้จิตเป็นของเราขึ้นมา(จิตไม่แท้)เช่นนี้
                 เมื่อเราได้บรรลุธรรมอรหันตผลและดับขันธ์นิพพานก็คือเราได้ทำลายอวิขชานั้นให้สิ้นลงไปได้แล้ว เมื่อทำลายอวิชขาให้สิ้นลงได้ความเป็นเรานั้นก็ไม่ เพราะความเป็นเราที่เคยเกิดขึ้นนั้นมันเกิดขึ้นเพราะอวิขชา เมื่อไม่มีอวิชาจึงไม่ใช่เราแต่เป็นจิตเดิมแท้
                  จิตเดิมแท้เป็นธรรมชาติเดิมไม่ได้เป็นของใคร แต่พอมีอวิชชาก็เป็นของเรา สมมุตว่าเราคือจิตดวงแรกของจักวาลเป็นจิตดวงที่หนึ่งของจักวาลเลยนะ เกิดก่อนใครทั้งหมด ขอให้ชื่อจิต(จิตที่มีอวิชา)ที่เกิดก่อนใครนี้ว่านายหนึ่ง
                  จิตเดิมแท้ไม่ได้เป็นของใครเป็นธรรมชาติ แต่พอมีอวิชชาเกิดขึ้นก็เป็นจิตของนายหนึ่งขึ้นมา  นี้มันเป็นอวิชชาของนายหนึ่ง ความเป็นนายหนึ่งเกิดขึ้นจากอวิชาตัวนี้  ไม่ว่าจะไปเกิดในภพใด ภูมิใด กี่ชาติก็ตามก็มีอวิขชาตัวนี้ อวิชชานายหนึ่งนี้
                  แต่เมื่อบรรลุธรรมอรหันตผลดับขันธ์นิพพานได้ทำลายอวิชชาให้สิ้นก็คือทำลายอวิชชานายหนึ่งสิ้นไป ความเป็นนายหนี่งจึงไม่มี จิตที่กลับสู่ธรรมชาติจึงเป็นจิตเดิมแท้ ไม่ได้มีอวิชาของนายหนึ่งเข้าไปเกี่ยวข้อง ความเป็นนายหนึ่งไม่มีแล้วนะ
                 หากคิดมากเรื่อง ว่าหากจิตถูกกระทบด้วยแสงอีกครั้งละจะเป็นเช่นไร? หากจิตจะถูกกระทบด้วยแสงอีกอวิชาที่เกิดขึ้นนั้นก็ไม่ใช่ของนายหนึ่ง จะเป็นของนายสอง,นายสาม,นายหมื่น,นายแสนอะไรก็แล้วแต่
               จิตกลับสู่ธรรมชาติเดิมนั้นไม่ได้กลับสู่วัฏสงสารแต่กลับสู่ธรรมชาติเดิมดังที่ได้อธิบายมา           

                                                                       ขอธรรมจงมีแก่ท่าน

ปัญหาธรรมข้อที่25     พออ่านปุ๊บก็รู้ปุ๊บว่าพระอาจารย์ที่ท่านกล่าวคือใคร
                    ผมเข้ามาอ่าน web โดยไม่ได้ตั้งใจ พออ่านปุ๊บก็รู้ปุ๊บว่าพระอาจารย์ที่ท่านกล่าวคือใคร ผมเองเคยฝึกกับท่านมา 2 ครั้ง และท่านก็เคยบอกว่าได้สภาวะดวงดาเห็นธรรม จากนี้ไปไม่ต้องแสดงหาครูบาอาจารย์อีกแล้ว ให้เอาตัวของตัวเองเป็นครูบาอาจารย์  แต่ผมก็ไม่แน่ใจ ว่าสิ่งที่ผมได้เห็นได้เข้าใจธรรมะ ธรรมชาติ ทำไมมันจึงง่ายและธรรมดามากขนานนั้น ยิ่งได้อ่านคำถาม คำตอบที่ท่านได้ตอบให้กับคนที่ถามก็เลยทำให้มั่นใจขึ้นว่าเข้าใจเหมือนกัน
                  การถามตอบอย่างนี้ก็ทำให้คนพอใจและไม่พอใจได้ แต่คนที่ไม่พอใจจะมากกว่า   อย่างไรก็ขอขอบคุณคุณมากครับ
ตอบ 
                    ขอบคุณมากครับที่แวะเข้ามาที่  web และก็ยัง mail มาสนทนาด้วย ดีใจที่ได้สนทนากัน อย่างน้อยก็จะได้ให้ผู้อ่านใน web ได้เข้าใจกันบ้างว่าธรรมนั้นไม่ใช่เรื่องที่จะต้องเอาชีวิตเข้าแลกเสมอไป
                    การที่มีปรากฏอยู่ในบ้านเรา ที่เราเคยศึกษาพระวัติพระในเมืองไทยส่วนใหญ่นั้นอ่านแล้วก็จะรู้สึกว่า เราคงไม่มีโอกาสบรรลุธรรมอย่างท่านได้แน่ เพราะเราคงจะทำอย่างท่านไม่ได้แน่ให้ทนทรมานร่างกายกันขนานนั้น
                   ก็ไม่น่าแปลกอะไรที่สื่อบ้านเราชอบยกตัวอย่างพระที่มีการปฏิบัติเคร่งกันขนานนั้น เพราะตัวสื่อเองนั้นก็ยังไม่เข้าใจในธรรมเพราะยังคิดว่าต้องเคร่งแบบนั้น แบบนี้ ถึงจะได้ธรรม ก็เข้าใจกันผิดๆกันแบบนี้อยู่มาก ก็เลยไม่ให้ความสำคัญกับผู้ที่บรรลุธรรมแบบธรรมดาๆเท่าไรนัก เพราะผู้ที่บรรลุธรรมแบบธรรมดาไม่ค่อยจะมีอะไรให้เขียน อ่านแล้วไม่น่าติดตาม เดี๋ยวสื่อจะขายไม่ออก  ไปเขียนเกี่ยวกับบุคคลที่มีอธินิหารมากๆ บุคคลที่ลำบาก บุคคลที่เอาชีวิตรอดจากความลำบากนั้นได้จนบรรลุธรรมน่าจะทำให้สื่อขายได้มากกว่า อันนี้ก็เป็นเรื่องของการตลาดของเขา
                   ถ้าจะดูกันจริงๆเราจะเห็นสื่อของต่างประเทศที่เสนออะไรไม่ต้องเน้นอภินิหาร เช่นของ เซน  เอาแบบธรรมดาไปเลยว่าได้ธรรมกันตอนไหน ไม่เหมือนของไทยเขียนสนุก อ่านประวัติท่านจนจบ แต่ก็สรุปไม่ได้ว่าท่านเหล่านั้นบรรลุธรรมได้อย่างไร เพราะมีแต่เรื่องผี เรื่องวิญญาณเป็นส่วนใหญ่
                   ขอบคุณครับที่ mail มาสนทนาธรรมด้วย จะได้เป็นกำลังใจให้ผู้ที่ปรารภนาธรรม ว่าธรรมนั้นไม่จำเป็นต้องเอาชีวิตเข้าแลกเสมอไป ปฏิบัติแบบธรรมดาๆ ก็สามารถบรรลุธรรมกันได้ อย่างตัวข้าพเจ้าเองท่านพระอาจารย์ก็ไม่เคยบังคับให้ทำอะไร ท่านพระอาจารย์ก็ให้ปฏิบัติแบบธรรมดาๆ เคารพในสมมุติของตนและของผู้อื่นก็เท่านั้น มีสมมุติอะไรก็ทำไปตามสมมุตินั้น

                   " ในสภาวะธรรมนั้นก็มีแต่เรื่องที่แสนจะธรรมดา     แต่ก็ไม่สามารถเอาความเป็นธรรมดานี้เข้าไปกล่าวอ้างได้
                   ในสภาวะธรรมที่ลึกซึ่งนั้น  ก็ไม่เห็นมีอะไรมากไปกว่าคำว่าธรรมดา ธรรมดา ธรรมดา ธรรมดา และก็ธรรมดา"


ปัญหาธรรมข้อที่ 26  บรรลุธรรมแล้วรู้สึกอย่างไร
 ตอบ         ข้าพเจ้าขออภัยด้วยที่หายไปนานอีกทั้งยังไม่ได้ตอบคำถามของคุณ เหตุเพราะ mail ที่สมัครไว้ปรับปรุงระบบใหม่ หยุดบริการไปหลายวัน พอเปิดบริการก็ทำ mailbox ของข้าพเจ้าทั้งหมดหายไปหมด ข้าพเจ้าก็ไม่รู้จะทำอย่างไรเพราะมีที่อยู่ e-mail ของคนหลายคนที่ถามข้าพเจ้ามา และข้าพเจ้าก็ยังไม่ได้ตอบ ข้าพเจ้าก็ไม่ได้จดเอาไว้ด้วยเพราะไม่คิดว่ามันจะเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ขึ้น คิดว่าคงมีคนรอคำตอบ mail อยู่หลายคน ก็รอให้เขาติดต่อกลับมาใหม่ ต้องขออภัยด้วย หากผมจำไม่ผิดคุณคือคุณเอ นิสิตปี 4 ใช่ไหมครับ และคุณก็มีคำถามมาด้วยไม่รู้ว่าข้าพเจ้าจำได้หมดหรือเปล่าถ้า หากจำได้ไม่หมดขอให้คุณส่งมาใหม่นะครับ
                    ที่ถามว่าเมื่อบรรลุธรรมแล้วรู้สึกอย่างไรนั้น ขณะที่บรรลุนั้นมันอัศจรรย์ในธรรมยิ่งนัก คือเราไม่สามารถพูดได้เลยว่ามันคืออะไร
จะกล่าวว่าทุกสิ่งทุกอย่างของทุกสรรพสิ่งนั้นว่างเปล่า...ก็ไม่ใช่
จะกล่าวว่าทุกสิ่งทุกอย่างของสรรพสิ่งมันมีอยู่...ก็ไม่ใช่
จะกล่าวว่าทุกสรรพสิ่งว่างก็ไม่ใช่ มีก็ไม่ใช่ ก็ไม่ได้….
                    ทุกสรรพสิ่งมันมีแต่ไม่มี และมันก็ไม่มีแต่มี เหมือนที่เขียนไว้ในหัวข้อข้าพเจ้าบรรลุธรรมได้อย่างไร
                    แม้แต่ธรรมนั้นก็มี แต่ไม่มี ….ไม่มีแต่มี เพราะว่าหากไม่มีใครไปรับรู้แล้วมันก็เหมือนไม่มีทั้งๆที่มันมี
                    เมื่อบรรลุธรรมแล้วก็เข้าใจในพระพุทธเจ้าทันทีว่าเหตุใดพระองค์จึงไม่คิดจะสอนโลกในตอนแรก เพราะธรรมนั้นเป็นเรื่องที่ไม่สามารถอธิบายได้
                    ขณะนั้นอยู่ในท่านั่งกำลังเขียนหนังสืออยู่ในกุฏิไม้เล็กๆ มีกล่องกระดาษใช้แทนโต๊ะนั่งกับพื้นเพื่อเขียนบันทึกธรรมเรื่องจิตและจักรวาลที่พระอาจารย์ได้อธิบายธรรมไว้ ไม่คิดว่าจะบรรลุธรรมในเวลานั้น ความตั้งใจเพียงเพื่อบันทึกไว้อ่านและให้ผู้อื่นได้ศึกษา เมื่อเขียนไปก็คิดไปด้วยว่าท่านพระอาจารย์อธิบายว่าอย่างไรบ้าง และที่สุดตนเองก็ได้เข้าใจ ว่า
 “เพราะสิ่งนี้มี   สิ่งนี้ถึงมี” 
                    เพราะอวิชชามีสิ่งต่างๆ จึงมี   แล้วจิตก็ปล่อยวางได้ในขณะนั้น เป็นความอัศจรรย์ที่ไม่สามารถบรรยายได้เลย
                   ถึงจะบรรลุธรรมแล้วแต่สมมุติก็ยังเป็นเหมือนเดิม เคยเป็นเช่นไรก็เป็นเช่นนั้น ไม่ใช่ว่าบรรลุธรรมแล้วเราจะตั้งตัวเป็นผู้วิเศษอะไร เราเคยถูพื้นศาลาก็ยังต้องถูอยู่เช่นเดิม เคยเป็นพระที่ไม่มีพรรษาก็ยังเป็นพระที่ไม่มีพรรษาเช่นเดิม ต้องกราบไหว้พระที่มีพรรษามากกว่าก็ยังต้องทำเหมือนเดิม ทุกอย่างที่แสดงออกเหมือนเดิมหมด แต่สภาวธรรมที่เราได้ไม่เหมือนเดิมเพราะรู้แล้วว่าอะไรเป็นอะไร ธรรมใดหากเราได้ฟังหากเป็นของจริงที่ถูกต้องเราก็รู้ได้ทันทีว่าเป็นของแท้ แต่ธรรมใดไม่ถูกต้องเราก็จะรู้ได้ว่าไม่ถูกต้อง แต่เราจะไม่เข้าไปยุ่งด้วยเพราะสมมุติของเราไม่ให้ และก็ไม่สามารถที่จะแสดงตนได้ และเห็นว่ากล่าวไปก็ไม่เกิดประโยชน์อันใดเราก็ไม่กล่าว และก็ยังรู้ว่ากิจของเราทางธรรมนั้นก็ยังมีอยู่สิ่งที่เราต้องทำนั้นยังมีเพราะเราไม่ได้อรหัตผล เรายังไม่ถึงระดับนั้น
                    เมื่อสึกออกมาก็ยังเป็นเหมือนเดิม เคยเป็นเช่นไร ก็เป็นเช่นนั้น ไม่ได้อวดตัวกับใคร ไม่มีใครรู้ว่าเราบรรลุธรรม เพื่อนๆคุยเรื่องธรรมกันเราเห็นว่ามันผิดเราก็ไม่ขัดเขาเพียงแต่พูดให้คิดแค่นั้น เช่น
                    เพื่อนพูดว่ามีคนขึ้นไปถวายข้าวแก่พระพุทธเจ้า เราก็พูดว่าถ้าบรรลุอรหันต์และนิพพานแล้วยังกินข้าวอยู่ กูก็ไม่เอาด้วย กินแล้วก็ต้องขี้อีก แล้วใครจะขนขี้ไปทิ้งให้กูวะ (ขออภัยที่ใช้คำไม่สุภาพ (พูดกับเพื่อน)) เพื่อนก็มองหน้าว่าคิดได้อย่างไร หรือถามว่าเราจะทำอย่างไรเพื่อให้ได้ไปเกิดในยุคพระศรีอริยะเมตไตรจะไปเกิดทำไมวะยุคนั้นอยากฟังธรรมนะซิ ธรรมในยุคนั้นก็เหมือนในยุคนี้จะเป็นพระพุทธเจ้าองค์ไหนก็บรรลุธรรมเดียวกัน แล้วทำไมมึงไม่ศึกษาตั้งแต่ยุคนี้เลยละ ก็พูดให้เพื่อนได้คิดอย่างนี้ ไม่ได้แสดงตนอะไร
                เมื่อถามว่าบรรลุธรรมแล้วรู้สึกอย่างไร ก็รู้สึกเบาใจขึ้นว่าเราเห็นฝังแล้ว หากชาตินี้เราไม่สามารถดำเนินองค์มรรคให้โล่งโปร่งได้ เราก็จะกลับมาเกิดอีกไม่กี่ชาติแล้วเราก็จะพ้นไป ใจของผู้บรรลุธรรมนั้นกล้าหาญยิ่งนัก เพราะรู้แล้วว่าอะไรเป็นอะไรจึงไม่กลัวตาย เพราะความตายสำหรับท่านนั้นไม่มี หากปฏิบัติเพื่อความถูกต้องแล้วต้องตายก็ไม่กลัวเพราะไม่เคยเห็นความตายอยู่ในสายตา และอีกอย่างหนึ่งหากตายเร็วก็ดีเหมือนกันชาติภพจะได้จบเร็วๆ ตายเร็วก็ดีเหมือนกันก็คิดอย่างนี้ อย่างบางท่านชาติภพของท่านเหลือ 7 ชาติบ้าง 3 ชาติบ้าง ก็ไม่กลัวตาย เพราะถ้าตายชาติภพก็น้อยลง จะได้นิพพานกันเร็วๆ (หากตนไม่เร่งความเพียรในชาตินี้ไปก่อน ก็ค่อยๆเป็นไปเองตามชาติภพที่เหลือ) แต่ขอกล่าวไว้ก่อนเลยนะครับ ผู้ที่บรรลุธรรมแล้วนั้น หากไม่ใช่วาระกรรมหนักที่ต้องตายจริงๆ นั้นตายยากมาก จะเจ็บป่วยซักแค่ไหนก็ไม่ตาย ไปไหนก็มีแต่ผู้ดูแล ถึงจะไม่รู้ไม่เห็นก็มีผู้ดูแลอยู่ พวกเขาไม่ยอมให้ตายหรอก เพราะพวกเขารู้ว่าท่านเหล่านั้นมีธรรมที่ลึกซึ้งควรจะอยู่เพื่อเป็นประโยชน์ต่อโลกก่อน เมื่อใดที่พวกเขารู้ว่าท่านมีภัยเขาก็จะมาคุ้มครอง โดยปรกติแล้วพวกเขาก็ติดตามทานอยู่เสมอ    เป็นความคิดที่ตรงข้ามกันมาก คืออริยะเจ้าไม่สนใจ จะตายหรือไม่ หากจะตายก็ตายไม่ฉุดรั้งแต่อย่างใด แต่พวกเขาไม่สนหากเขานับถือท่านเป็นครูบาอาจารย์แล้วละก็พวกเขายอมเอาชีวิตเขาแรก ไม่สนอะไรทั้งนั้น พวกที่ใช้กายทิพย์นั้นเขาศรัทธาใน พระพุทธศาสนามาก เพื่อนของข้าพเจ้าผู้หนึ่งเคยเล่าให้ฟังว่าตัวเขาเองถูกผู้มีอวิชชาเล่นงานตัวเพื่อนไม่เป็นอะไร แต่ลูกศิษย์อาการหนักเพราะเอากายทิพย์มาบังไว้ทั้งๆที่รู้ว่าหนักก็ยังปกป้อง ถึงจะเป็นร่างทิพย์ก็ทนไม่ไหว คือเพื่อนของข้าพเจ้าเป็นคนหน้าตาดี ก็เลยมีรูปเป็นภัย
                    อย่างตัวข้าพเจ้าเองก็คิดอยู่เสมอว่าชาติภพเราเมื่อไรจะหมดไปซะที เบื่อมากๆ ทำอะไรซ้ำๆซาก แต่ก็ต้องทำไปเพราะชาติภพนั้นยังมีและตัวเราเองก็ไม่ยอมเร่งความเพียรซะที ถือว่าเป็นตัวอย่างที่ไม่ดีเพราะจริงๆควรจะเร่งความเพียรถึงจะถูกต้อง ไม่ใช่มารอวันตายอย่างนี้ อย่างตัวข้าพเจ้านี้ก็ยังถือว่าประมาท พอได้ธรรมแล้วและรู้ว่าอย่างไรก็ต้องนิพพานแน่ไม่ชาตินี้ก็อีกไม่กี่ชาติ ก็เลยไม่สนใจที่จะเร่งความเพียร ยังสนุกอยู่กับโลกอยู่ แต่การดำรงอยู่ในโลกทำอะไรไปใช่จะไม่รู้ รู้นะและรู้ดีด้วยว่าอะไรคืออะไร อย่างเช่นเรื่องเรียนก็จะรู้อยู่เต็มๆ สภาวะที่ตนได้มันจะถามว่าจะเรียนไปทำไม จะเอาอะไร มีอะไรให้เอาหรือไง รู้อยู่นิว่าไม่มีอะไรให้เอา ไม่มีใครจะเอาอะไรไปได้ แต่ตัวข้าพเจ้าก็ยังเอาอยู่ กิเลสยังมีนะ กิเลสยังมีอยู่ ตัวข้าพเจ้าเองนั้นถือว่าเป็นตัวอย่างที่ไม่ดี ไม่ขอให้ใครเอาเป็นแบบอย่าง อริยะที่ทำตัวแบบข้าพเจ้านั้นยังมีอยู่มากเหมือนกัน คือยังสนุกกับโลกอยู่ไม่ยอมบวชต่อ ด้วยเหตุผลว่าสมมุติทางโลกของท่านยังมีเพราะท่านยังละตรงนั้นไม่ได้ ท่านจึงไม่แสดงตนเพราะหากแสดงตนไปแล้วผู้ที่ไม่เข้าใจก็จะตำหนิได้ ท่านเหล่านั้นไม่ใช่อรหันต์นะจะละได้ทุกอย่าง ข้าพเจ้าเองก็ยังละไม่ได้หมด ยังอยากอยู่กับน้อง ยังอยากจะเล่นกับน้อง ยังอย่างจะสอนน้องเอง เพราะน้องเป็นผู้หญิงหากเราเป็นพระคงไม่สะดวกที่จะสอนเขา ก็ถือว่าเป็นตัวอย่างที่ไม่ควรทำตาม
                    ผู้ที่บรรลุธรรมแล้วจะรู้เองว่าตนจะอยู่ในสมมุติไหน จะรู้เองว่าตนยังมีสมมุติใดที่ต้องทำ ท่านเองก็อยากจะบวชแต่บางครั้งทำไม่ได้เพราะละสมมุติทางโลกไม่ได้ ตัวข้าพเจ้าเองหากละสมมุติทางโลกได้ก็จะกลับไปบวชใหม่ เพราะเป็นพระนั้นสมมุติเหมาะแก่การปฏิบัติธรรมยิ่งนัก

                    ขอจบแต่เพียงเท่านี้ก่อนแล้วกันเพราะกิจอื่นที่ต้องทำนั้นยังมี
ขอธรรมจงมีแก่ท่าน

ปัญหาธรรมข้อที่27  
                    มีคำถามอยากจะถามว่า การตอบธรรมของท่านจนออกมาเป็นคำพูดหรือตัวอักษรนี้มันจะต้องผ่านอะไรก่อนหรือไม่ ดิฉันหมายความว่าเมื่อท่านอ่านคำถามจบแล้วคำตอบของท่านออกมาเป็นอย่างที่ปรากฏบนเวปนี้เลยใช่หรือไม่คะ
ตอบ ไม่ใช่
           ข้าพเจ้าอ่านคำถามจบแล้ว คำตอบที่ข้าพเจ้าตอบในตนเองนั้นเป็นปัจจัตตัง 
หมายถึงเป็นคำตอบที่รู้อยู่ในตนเฉพาะตนเท่านั้น และคำตอบที่เป็น
ปัจจัตตังที่อยู่ในตนนี้ไม่สามารถใช้อธิบายได้ ฉะนั้นธรรมที่อธิบายจึงต้องมีสมมุติของโลกมาช่วย ยกตัวอย่างเช่น

                    มีคนมาถามว่า  นรก-สวรรค์มีหรือไม่ เมื่อข้าพเจ้าอ่านคำถามจบ คำตอบที่ปรากฏแก่ข้าพเจ้านั้นเป็นปัจจัตตังเกิดขึ้น แต่ไม่รู้ว่าจะตอบอย่างไร เพราะจริงๆแล้ว
มันมี_แต่ไม่มี.........มันไม่มี_แต่มี
                    การตอบนั้นก็ต้องดูภูมิธรรมของคนถาม และปัญญาของคนถามด้วย ถ้าเป็นผู้ที่เข้าถึงธรรมแล้วมาถาม
                    ถ้าเขาถามว่า :  “ นี้ท่าน นรก สวรรค์มีจริงหรือไม่ 
                    ข้าพเจ้า : ฮ้าๆ ฮ้าๆ  ข้าพเจ้าคงไม่ตอบอะไร คงจะยิ้มหรือหัวเราะ และส่งไม้กวาดให้คนถาม และอาจจะพูดว่า ท่านอยากจะกวาดใบไม้บ้างไหม
                    นี้แหละผู้เข้าถึงธรรมเขาสนทนาธรรมกัน แต่ถ้ามีคนอื่นมาเห็น มาได้ยิน ก็คงงง คงไม่เข้าใจ ว่าพูดอะไรกัน ไม่เห็นจะรู้เรื่องเลย
                    นี้มันเป็นอย่างนี้ เพราะมันตอบออกมาเป็นคำพูดไม่ได้
                    หากข้าพเจ้าตอบว่า มี มันก็ไม่ถูก
                    แต่หากข้าพเจ้าตอบว่า ไม่มี มันก็ยังไม่ถูกเหมือนกัน

                    เพราะในสภาวธรรมนั้นมันจะมีหรือไม่มี มันไม่เป็นสาระอะไรเลย มันไม่มีความสำคัญอะไรเลย มันไม่มีความหมายอะไรเลย มันจะมีหรือไม่มีมันไม่มีความหมายเลยจริง ….. ข้าพเจ้าอธิบายอย่างนี้ก็ไม่เข้าใจกันไปใหญ่ ขอเทียบเคียงให้เข้าใจก็แล้วกันเช่น
                    ดวงอาทิตย์ในจักรวาลนั้นมีอยู่ แต่ถ้าไม่มีจิตใดมากำเนิดเป็นเรานี้ ขอถามกลับว่าดวงอาทิตย์นั้นจะมีความสำคัญอะไรไหม?
                    เมื่อไม่มีจิตใดกำเนิดขึ้นมา แล้วอะไรจะไปรับรู้ว่าจักรวาลนี้มีดวงอาทิตย์ เมื่อไม่มีใครมารับรู้แม้แต่จักรวาลเองจะมีหรือไม่ก็ไม่รู้ มันไม่สำคัญอะไรเลยจริงๆ
                    นี้แค่ดวงอาทิตย์นะ ถ้า นรก_สวรรค์ก็ยิ่งกว่านี้ แต่ก็เหมือนกัน
                    เมื่อหลงผิดเพราะความไม่รู้(อวิชชา)สิ่งต่างๆจึงตามมาเป็นคำดับคือ สังขาร วิญญาณ นาม-รูป อายตนะ ผัสสะ เวทนา ตันหา อุปทาน ภพ ชาติ ชรา มรณะ จึงได้ทุกข์ ทรมานเพราะอวิชชา
                    นรก_สวรรค์นี้ก็เกิดจากสิ่งนี้เหมือนกัน หากไม่มีอุปทาน ไม่เข้าไปยึดมั่นในอุปทาน ภพก็ไม่เกิดและชาติก็ไม่เกิด แม้แต่นรก_สวรรค์ก็ไม่เกิดขึ้น
                    นี้ถ้าเป็นคนเข้าถึงธรรมแล้วก็ไม่ต้องอธิบายกันมาก
                    แต่เราจะไปทำอย่างนั้นกับคนทั่วไปไม่ได้ เขาถามแต่เราส่งไม้กวาดให้ ทำอย่างนั้นเขาก็ไม่เข้าใจ
                    ถ้าเป็นคนทั่วไปมาถามว่า นรก_สวรรค์มีหรือไม่  เราก็ตอบว่า มี ที่ตอบเช่นนี้เพราะเข้าใจเจตนาของผู้ถาม ผู้ถามต้องการรู้ว่าเขาควรทำดีหรือทำชั่ว อย่างนี้ต้องตอบว่ามี เพราะในสมมุติของเขายังมี เขายังไม่มีจิตหลุดพ้น เขาตายไปเข้าต้องได้ไปแน่ ไม่นรกก็สวรรค์ เพราะเข้ายังละสังโยชน์ไม่ได้ เข้ายังต้องเวียนวายตายเกิด เมื่อภพของเขามี นรก_สวรรค์ หรือมนุษย์นี้ก็ต้องมีแน่ ฉะนั้นสำหรับเขาแล้วมันมี
                    แต่ถ้าเป็นปฏิบัติธรรมที่สูงขึ้นแต่จิตยังไม่หลุดพ้น มาถามว่า นรก_สวรรค์ มีหรือไม่ ก็ต้องตอบว่า ไม่มี ที่ตอบอย่างนี้ก็เข้าใจเจตนาของผู้ถามว่าต้องการรู้ถึงธรรมขั้นสูงขึ้น จึงตอบว่าไม่มี เพื่อให้เขาเกิดฉงนคิด ว่าทำไมจึงไม่มีทั้งๆที่เขาก็เคยเห็นอยู่ว่ามันมี(บางคนเคยถอดจิต ถอดกายทิพย์ไปมาแล้ว) แต่เรากลับตอบว่าไม่มี และความฉงนนี้จะทำให้เขาค้นหาคำตอบเองว่าทำไมผู้บรรลุธรรมจึงตอบว่าไม่มี เขาอาจจะศึกษาเองหรือถามเรา
                    แต่สุดท้ายก็ต้องอธิบายให้เขารู้ว่า มันมี_แต่ไม่มี มันไม่มี_แต่มี สุดท้ายจะต้องอธิบายอย่างนี้จริงๆ ถึงเข้าจะไม่เข้าใจในประโยคที่ว่า มี_แต่ไม่มี ไม่มี_แต่มี ก็ต้องบอกเข้า เพราะถ้าจบแค่การอธิบายว่า นรก_สวรรค์ ไม่มี มันจะเกิดโทษแก่เขาได้ จะทำให้เขาเข้าไปยึดติดในความขาดสูญ(อุจเฉททิฏฐิ)ได้ จึงต้องบอกว่าแท้จริงนั้น มี_แต่ไม่มี ไม่มี_แต่มี
                 นี้มันอยากอย่างนี้นะ ใครไม่เข้าใจก็จะว่าได้นะ ว่านี้อริยะอะไร ตอบคนนั้นว่ามี แต่มาตอบคนนี้ไม่มี แล้วบอกว่าบรรลุธรรม แล้วทำไมพูดกลับไปกลับมา โกหก ผิดศีลอย่างนี้ไม่ใครผู้บรรลุธรรมหรอกนะ นั้นเขาจะว่าอย่างนี้ได้
                นี้มันเป็นอย่างนี้ มันยากอย่างนี้ และถ้ามาเห็นมาได้ยินว่ามีคนมาถาม แต่คนตอบกลับหัวเราะและส่งไม้กวาดให้ ก็คงคิดว่าท่านผู้นี้คงจะตอบไม่ได้ ตอบไม่ได้ก็คงไม่ใช่ผู้บรรลุธรรมแน่ ถ้าไปถามท่านว่า ที่ท่านทำอย่างนั้น เพราะท่านตอบไม่ได้จริงหรือ ท่านก็คงตอบว่า ใช่ แต่ใช่ของท่านกับของเราไม่เหมือนกัน ใช่ ของท่านคือมันหาสมมุติที่จะเอามาตอบไม่ได้
               หากจะถามว่าผู้ที่บรรลุธรรมตอบอย่างนั้นคือ บางครั้งก็ตอบว่า มี และบ้างครั้งก็ตอบว่า ไม่มี ไม่ถือว่าผิดศีลหรือ? ไม่ถือว่าโกหกหรือ? ขอตอบว่าไม่ เพราะท่านไม่ได้โกหก ที่ท่านตอบว่ามีมันก็มีจริงๆตามสมมุติ และที่ท่านตอบว่าไม่มีมันก็ไม่มีจริงๆตามสมมุติเหมือนกัน
               และถ้าหากจะถามว่าแล้วจริงๆ มันมีหรือไม่มีกันแน่นรก_สวรรค์ ถ้าต้องการคำตอบที่เป็นธรรมแท้ๆ ก็ต้องตอบว่า มี_แต่ไม่มี.........ไม่มี_แต่มี หรือไม่ก็ไม่ตอบเลย
               การตอบของข้าพเจ้านั้นก็ต้องดูสมมุติด้วย ไม่ได้ตอบเพื่อเอาใจใครหรือเพื่อหาดีใส่ตน แต่ธรรมก็เป็นธรรม การตอบนั้นต้องอาศัยสมมุติเหมือนกัน ซึ่งบางอย่างเราก็ไม่รู้หรือรู้ แต่ตอบไม่ได้ ไม่รู้จะตอบอย่างไร เพราะเราไม่เข้าใจสมมุติเขาเรียกว่าอะไร เช่นภาษาบาลี เราก็ต้องพึ่งครูบา-อาจารย์ ต้องดูว่าครูบา-อาจารย์ท่านอธิบายว่าอย่างไร ต้องอาศัยครูบา-อาจารย์เพราะเรายังไม่ถึงขั้นวิมุติญาณทัสสนะ จึงไม่ได้รู้อะไรได้ทุกอย่าง อย่างนี้ก็ต้องพึ่งครูบา-อาจารย์

             จึงขอตอบว่าจะตอบอะไรนั้นข้าพเจ้าต้องดูสมมุติของโลกด้วย ถ้าเป็นทางธรรมแล้วละก็ ไม่มีคนตอบ ไม่มีคนถาม จึงไม่ต้องตอบใคร แต่มันมี
              ตอบยาวไปหน่อยนะแต่คิดว่าน่าจะเข้าใจ มันสุดได้แค่นี้จริงๆ เพราะถ้ายิ่งอธิบายต่อไปมันก็ยิ่งห่างไกลอย่างที่คนทองแถมเอ่ยไว้จริงๆ
                                                           ขอธรรมจงมีแก่ท่าน


ปัญหาธรรมข้อที่28    - สงครามระหว่าง อเมริกากับอิรัก
                                - ศาสนาพุทธในเมืองไทยจะเปลี่ยนไปอย่างไร
                    รบกวนถามคุณซักเล็กน้อย เรื่องเหตุการณ์ที่กำลังจะเกิดขึ้นในเวลาอันใกล้นี้ เพราะเห็นว่าคุณเคยบวชเป็นพระอยู่ใกล้ครู ใกล้อาจารย์ ถึงแม้จะอยู่กับท่านในเวลาไม่มากนัก แต่ก็น่าจะมีโอกาสมากกว่าฆราวาส ที่ฆราวาสไม่มีโอกาสได้รับฟังเรื่องบางเรื่อง ที่ครูอาจารย์จะพูดให้เฉพาะศิษย์ที่เป็นสงฆ์ฟังเท่านั้น อย่างเช่นเรื่องจิตและจักรวาลนั้น หากคุณไม่ได้บวชเป็นพระ ตัวคุณเองก็คงไม่มีโอกาสได้รับฟัง และก็คงไม่ได้มีดวงตาเห็นธรรมเช่นกัน จึงอยากจะรบกวนคุณตอบคำถามนี้ให้ด้วย ถ้าเป็นคำถามที่มีคนถามมาบ่อยคุณจะนำลงเวปด้วยก็ไม่ว่าอะไร
                  ขอถามเรื่องสงครามระหว่าง อเมริกากับอีรัก- นั้นมันจะเกิดขึ้นหรือไม่ ดูข่าวทุกวันก็ไม่เห็นรบกันซักที่หรือว่าจะไม่เกิด ก็ดีเหมือนกัน แต่ในความรู้สึกแล้วมันจะเป็นสงครามศาสนาหรือสงครามโลกได้เหมือนกัน เคยอ่านคำทำนายจากหลายที่หรือแม้แต่ของนอสตราดามุสก็เคยกล่าวเอาไว้ว่าจะเกิดสงครามครั้งใหญ่ขึ้น และได้เอ่ยนามบุคคล บุคคลหนึ่ง นามว่า มาบูช มีผู้ตีความว่าเป็น ซัดดัม ที่เขียนกลับหลัง บ้างก็ตีความว่าเป็น มิสเตอบูส ประธานาธิบดีของอเมริกา ได้อ่านแล้วก็รู้สึกคล้อยตาม ถ้าเป็นเช่นนั้นมหาสงครามก็กำลังจะเกิดขึ้นเร็วๆนี้ใช้หรือไม่ หากเป็นสงครามศาสนาแล้วศาสนาพุทธจะเป็นอย่างไร พระไทยจะเป็นอย่างไร บ้านเมืองจะเป็นอย่างไรหากมีผลต่อพุทธศาสนาของเรา
                  อาจจะยาวไปบ้างหวังว่าคงจะตอบให้ และขอขอบคุณไว้ล่วงหน้า ณ.ที่นี้
 ตอบ
              การถามถึงเรื่องอนาคตและตอบเรื่องอนาคตนั้นเป็นเรื่องยาก เพราะอนาคตที่จะเกิดขึ้นนั้นมันขึ้นอยู่กับการกระทำที่มาจากอดีตและปัจจุบัน เป็นเรื่องที่ยากมากเพราะกิเลสของมนุษย์การกระทำของมนุษย์มันสุดที่จะคำนวณได้
              ข้าพเจ้าไม่รู้ว่ามันจะเป็นสงครามศาสนาหรือไม่ และก็ไม่รู้ว่า บาบุช เป็นใคร และก็ไม่รู้ว่าสิ่งที่นอสตราดามุสทำนายไว้จะเป็นจริงหรือไม่ แต่หากจะถามว่าท่านพระอาจารย์กล่าวอะไรเกี่ยวกับสงครามไว้บ้างก็ยังพอจะจำได้บ้าง ท่านพระอาจารย์กล่าวไว้ว่า….
              มหาสงครามจะเกิดขึ้นที่ตะวันออกกลาง ประเทศมหาอำนาจจะตายด้วยอาวุธเชื้อโรค อิสราเอลจะถูกระเบิดนิวเคลียทำลาย มหาอำนาจจะใช้อาวุธด้วยเทคโนโลยีที่สูงกว่านิวเคลียในการหยุดสงคราม
                  แต่ท่านพระอาจารย์ก็ไม่ได้เอ่ยไว้ว่าใครเป็นคนยิงระเบิดนิวเคลีย ไม่เคยกล่าวว่าเป็นอิรัก และก็ไม่เคยกล่าวถึงวันที่จะเกิด จึงไม่รู้ว่าจะเกิดเมื่อใด และก็ไม่รู้ว่าเป็นครั้งนี้หรือไม่(ระหว่างอเมริกากับอิรัก) จะเป็นปีนี้หรือปีหน้า หรือปีไหนๆ ก็ไม่ได้กล่าวไว้ ส่วนเรื่องบุคคลที่ชื่อ มาบูซ นั้นท่านพระอาจารย์จะเคยกล่าวไว้หรือไม่นั้นไม่ทราบ แต่ในช่วงที่ข้าพเจ้าได้อยู่กับท่าน ท่านไม่เคยกล่าวถึง
                  ข้าพเจ้าไม่รู้ว่าจะเป็นอิรักหรือเปล่า รู้เท่าที่ฟังมาว่าอิหร่านนั้นมีอาวุธที่น่ากลัวกว่าอิรัก แต่ไม่รู้ว่าอิรักมีอาวุธอะไรบ้าง รู้แต่ว่าบุคคลสำคัญของอิหร่านนั้นเรียกร้องกระแสได้มากกว่าอิรัก รู้แต่ว่าอิรักนั้นยากจนมากกว่าอิหร่าน แต่ก็ยังไม่รู้ว่าเป็นใครหรือจะเกิดขึ้นเมื่อใด จะเกิดขึ้นในช่วงชีวิตของข้าพเจ้าหรือไม่ก็ไม่ทราบเพราะท่านพระอาจารย์ท่านไม่เคยเอ่ยถึงวันเวลาที่จะเกิดขึ้น ท่านเอ่ยให้ฟังให้รู้ถึงกิเลสของมนุษย์ ที่นำความรู้มาใช้ในทางทำลาย ท่านเอ่ยว่า น่าเสียดายเหมือนกันที่มนุษย์พัฒนาเทคโนโลยีมาถึงขั้นที่เกือบจะสูงสุดแล้ว แต่ก็ใช้ในทางไม่สร้างสรรค์ ท่านเคยกล่าวไว้ว่าเทคโนโลยีที่สูงที่สุดนั้น สูงกว่านิวเคลียไปอีกสองขั้น แต่มนุษย์จะพัฒนาสูงกว่านิวเคลียได้หนึ่งขั้นแล้วก็จะนำเทคโนโลยีนั้นมาทำอาวุธ ท่านกล่าวว่ามันน่าเสียดาย เพราะหากเรานำมาใช้ในทางสร้างสรรค์ได้ เราก็จะมีพลังงานสะอาดใช้และก็ประหยัดมากๆ เพราะเป็นการนำพลังงานที่มีอยู่แล้วในธรรมชาติมาใช้ ท่านกล่าวไว้ว่าเทคโนโลยีขั้นสูงนั้นหากอยู่ในมือผู้ที่ไม่เห็นความสำคัญของจิตก็ถูกนำไปใช้ในทางที่ไม่สร้างสรรค์ และเมื่อนำมาใช้ในทางทำลายกันก็จะเกิดผลเสียแก่โลกอย่างมาก

                ท่านพระอาจารย์ไม่เคยเอ่ยถึงวันเวลาที่จะเกิดขึ้น รู้แต่ว่าสิ่งที่ท่านกล่าวให้ฟังที่จำได้ชัดเจนนั้นก็คือ ประเทศอิสราเอลจะถูกระเบิดด้วยนิวเคลีย และหลังจากนั้นภายใน 7 วัน แต่ไม่ทราบว่าวันไหน จะเกิดแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ขึ้นทั่วโลก
                แต่ต้องดูเอาเองว่าใช้ครั้งนี้ระหว่างอเมริกากับอิรักหรือไม่ ก็ต้องดูกันเอาเองถ้ามีการระเบิดด้วยนิวเคลียที่อิสราเอลก็ถือว่าใช่ แต่ถ้ายังไม่มีการระเบิดด้วยนิวเคลียที่อิสราเอล ซัดดัมก็น่าจะถูกโค่นลงจากอำนาจ และก็ต้องดูอิหร่านกันต่อไป เพราะอิหร่านก็เป็นศัตรูของอเมริกาที่สำคัญเหมือนกัน
                จะเกิดไม่เกิดสิ่งที่สำคัญก็คือประชาชนและทหารของทั้งสองฝ่ายต้องมาตายเพราะผู้นำ
                 ส่วนเรื่องที่ถามว่าแล้วพุทธศาสนาจะเป็นอย่างไร ก็ได้ฟังมาบ้างไม่มากนัก ได้ฟังมาว่า วัดจะร้าง พระจะถูกจับสึกเป็นจำนวนมาก ตลอดจนการเมืองการปกครองจะเปลี่ยนไป ตำแหน่งสำคัญสูงสุดของประเทศจะเปลี่ยนไป
                 ข้าพเจ้าก็จำได้แค่นี้ หวังว่าอ่านแล้วคงพอเข้าเอาใจ จะได้มีความเพียรกันเพิ่มขึ้น เพราะเราไม่รู้ว่าอะไรจะเกิดขึ้นกับเรา เราจะตายวันไหนก็ไม่รู้ เราสามารถตายกันได้ทุกวินาที เราจะได้ไม่ปรามาส นึกถึงความตายให้มาก จะได้มีความเพียร

ขอธรรมจงมีแก่ท่าน

ปัญหาธรรมข้อที่29  
                 พระท่านสอนให้เราอยู่กับปัจจุบัน ฉะนั้นแสดงว่าสภาวะแห่งธรรมหรือนิพพานนั้นคือสภาวะความเป็นปัจจุบันใช่หรือไม่
ตอบ ไม่ใช่ 
                 ข้าพเจ้าตอบเช่นนี้อาจจะทำให้ท่านรู้สึกขัดกับความรู้สึกที่มีอยู่ จึงอยากจะขออธิบายให้เข้าใจว่า
                 อดีต ปัจจุบัน อนาคต ก็ยังมีเวลาเข้าไปเกี่ยวข้อง
                 เมื่อฝึกให้รู้กับปัจจุบันนั้นก็ยังไม่ใช่ มรรค
                 แต่เมื่อปล่อยว่างปัจจุบันนั้นได้ละคือ มรรค
                 ขอให้เข้าใจกันว่า มรรคผลหรือนิพพานนั้นไม่ขึ้นกับกาละเวลา
                 หวังว่าคงเคยได้ยินหรือเคยได้อ่านมาบ้าง ที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสสอนไว้ว่า
นิพพานนั้นมีอยู่จริง ไม่ใช่ อายตนะใดอายตนะหนึ่ง นิพพานนั้นมีอยู่ทุกที่ ทุกหน ทุกแห่ง ไม่ขึ้นต่อกาละเวลา
                 และคำว่าปัจจุบันนี้ก็ขึ้นอยู่กับกาละเวลาเหมือนกัน
                 ความเป็นปัจจุบันนี้ก็มีความสุดโต่งอยู่ ความสุดโต่งในของคู่
                 ขอให้ผู้ปฏิบัติธรรมที่ปฏิบัติธรรมแล้วรู้สึกว่า นี้เราก็ฝึกมามาก จิตเราก็ฝึกมาอยู่กับปัจจุบันมานานแล้ว แต่เหตุใดเรายังไม่มีดวงตาเห็นธรรมกับเขาซะที ทำไมคนอื่นเขาจึงเห็นธรรมกันได้ เขาต่างกับเราอย่างไร
                 ขอตอบว่า สิ่งที่เขาต่างกับเราก็คือเขาปล่อยวางได้ แม้แต่ความเป็นปัจจุบันที่เข้าฝึกมาถึงขั้นนี้ได ้เขาก็ปล่อยวาง
                 ท่านผู้ปฏิบัติทั้งหลาย แม้แต่ความเป็นปัจจุบันนี้ ท่านก็ต้องปล่อยวางด้วย
                 นิพพานนั้นไม่ขึ้นกับธาตุรู้ ...... ขอถามว่าท่านรู้ได้อย่างไรว่า มันเป็น ปัจจุบัน หากท่านรู้ว่ามันเป็นปัจจุบัน นั้นก็แสดงว่าเอาธาตุรู้เข้าไปรับ ไปรู้มัน เมื่อมีความรู้สึกอยู่มันก็ไม่ใช่ มรรค
                 ธาตุรู้แห่งใจนี้ไปรับรู้ว่ามันเป็นปัจจุบัน มันก็ยังสุดโต่งอยู่ที่อายตนะภายในคือใจ
                 มรรค ไม่ใช่เวลา อดีต ปัจจุบัน หรืออนาคต
                 นิพพานนั้นมีอยู่มีจริง มีอยู่ทุกที่ ทุกหนทุกแห่ง ไม่ขึ้นต่อกาละเวลา
ขอธรรมจงมีแก่ท่าน
ปัญหาธรรมข้อที่30  
                 จากประโยคที่ว่า "ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา ตถาคต"  นั้นหมายความว่าอย่างไร หมายความว่าเราจะได้พบ ได้เห็นพระพุทธเจ้าจริงๆหรือ? ฉะนั้นพระพุทธเจ้าเป็นตัวเป็นตนหรือ? พระอรหันต์ที่นิพพานก็มีตัวมีตนด้วยหรือ
ตอบ 
             "ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา ตถาคต"
                 คำว่า  "ตถาคต"  นั้นพระพุทธเจ้าใช้เรียกแทนตัวพระพุทธองค์เอง ซึ่งหมายถึงผู้มีความเป็นเช่นนั้นเอง

                 คำว่า  "ตถาตา"  หมายถึง ความเป็นเช่นนั้นเอง
                 และคำว่า  "ตถาคต"  ก็หมายถึง พระพุทธเจ้า ผู้มีความเป็นเช่นนั้นเอง
                ความเป็นเช่นนั้นเองตามกฏไตรลักษณ์ (อนิจฺจตา ทุกฺขตา อนตฺตตา) ความเป็นเช่นนั้นเองของธรรมชาติ
               แม้แต่พระพุทธเจ้าเองก็เป็นธรรมชาติ เป็นสภาวธรรมเหมือนกัน
               ฉะนั้นเมื่อเราเห็นธรรมก็คือเราเห็นธรรมชาติ เห็นความเป็นเช่นนั้นเอง จนเราปล่อยวางได้ และพระพุทธเจ้าก็เป็นความเป็นเช่นนั้นเองเหมือนกัน

               หวังว่าคงเข้าใจมากขึ้นว่าเห็นตถาคตไม่ใช่เห็นเป็นตัว เป็นตน แต่เห็นความเป็นเช่นนั้นเอง จนปล่อยวางได้
ขอธรรมจงมีแก่ท่าน



ปัญหาธรรมข้อที่31  อยากจะถามเรื่องญาณ 16 อีกครั้งว่าเพราะเหตุใดผู้ปฏิบัติได้ถึงญาณ 16 จึงยังติดอยู่แค่นี้ ไม่ได้เห็นธรรมหรือนิพานอะไรกับเขาบ้าง
                 ขอรบกวนถามคุณเรื่องการปฏิบัติซักเล็กน้อย พอเข้าใจว่าคุณเคยออกตัวว่าคุณนั้นเข้าใจในธรรมด้วยปัญญาวิมุตติ แต่ก็ยังอยากจะถามคุณถึงการปฏิบัติที่เคยเกิดขึ้นคือผมปฏิบัติได้มาถึงญาณ 16 แต่ก็ไม่เคยเห็นธรรมแม้แต่น้อย 
                และก็ได้มีโอกาสเข้ามาอ่านใน web ของคุณในหัวข้อตอบปัญหาธรรมข้อที่19  เรื่องญาณ 16 คุณก็ไม่ได้ตอบอะไรมาก คุณตอบเพียงแต่ว่า คุณไม่มีประสบการณ์ในเรื่องนี้ แต่อยากจะถามเรื่องญาณ 16 อีกครั้งว่าเพราะเหตุใดผู้ปฏิบัติได้ถึงญาณ 16 จึงยังติดอยู่แค่นี้ ไม่ได้เห็นธรรมหรือนิพพานอะไรกับเขาบ้าง
ตอบ  
                 ผู้ปฏิบัติธรรมส่วนใหญ่เกือบทุกแนวทางจะไปติดที่ตัวความอยาก หมายถึงอะไรนะหรือ เช่น....อย่างที่คุณยกตัวอย่างว่าปฏิบัติได้ถึงญาณ 16  แล้ว  แล้วไม่สามารถผ่านพ้นไปได้
                 การปฏิบัติถึงญาณ 16 จนเห็นอาการต่างๆ ของมันอย่างชัดเจนทั้ง 16 อาการนั้น แต่ก็ยังก้าวพ้นไปไม่ได้ ทั้งๆที่น่าจะผ่านไปได้ตามที่ครูอาจารย์สอน และที่คนอื่นปฏิบัติแล้วเขาผ่านไปได้ เพราะอะไร ทำไมเราจึงผ่านไปไม่ได้อย่างเขา
               ด้วยเหตุว่าคุณรู้ว่าการปฏิบัติตามแนวทางที่คุณเลือกนี้สุดท้ายเมื่อถึงญาณ 16 แล้วต่อจากนั้นก็ต้องเป็นธรรม ....และในที่สุดคุณก็ปฏิบัติจนมาถึงขั้นตอนสูงสุดตามแนวทางของคุณอย่างญาณ 16 และก็คิดว่าถ้าผ่านจากขั้นนี้ไปก็ต้องเห็นธรรม แต่ทำไมมันยังไม่ได้ซักที ......ขอตอบว่า.....ที่คุณไม่ได้ธรรมเพราะจิตคุณไปอยู่กับอนาคต ปฏิบัติไปก็คิดแต่ว่าทำไป ผ่านขั้นนี้ก็จะได้มรรคผลนิพพาน  ปฏิบัติไปทุกขณะจิตก็คิดแต่ว่าผ่านญาณ 16 ไปก็จะเป็นธรรม .... นี้ตรงนี้กิเลสเกิดแล้วนะ.....เกิดอะไรขึ้นละ ก็เกิดความอยากขึ้นนะซิ ..... เกิดความอยากแล้วอย่างไรละ .... ก็จะทำให้เราปล่อยวางไม่ได้นะซิ .... เมื่อปล่อยวางไม่ได้ก็ไม่เห็นธรรมนะซิ
                นี้มันเป็นมากกันซะแบบนี้คือรู้อะไรมากเกินไป คือรู้ว่าปฏิบัติแนวนี้นะ เริ่มจากขั้นแรกและก็ไปถึงขั้นสุดท้าย จากนั้นสุดท้ายก็คือธรรม 
               พอได้ขั้นที่ 1 ก็อยากได้ขั้นที่ 2
               พอได้ขั้นที่ 2 ก็อยากได้ขั้นที่ 3
               พอได้ขั้นที่ 3 ก็อยากได้ขั้นที่ 4
               พอได้ขั้นที่ 4 ก็อยากได้ขั้นที่ 5


               พอได้ขั้น สุดท้าย ก็อยากได้ ธรรม  
นั้นไง มันมีกิเลสเข้าไปเกี่ยวข้องแล้ว เมื่อมีกิเลสเข้าไปเกี่ยวข้องก็เลยไม่ได้ธรรม อย่าได้เอาขั้นตอนที่เรารู้เป็นตัวกำหนดเวลา
            อย่างไรหรือ?.........มันกำหนดเวลาอย่างไรหรือ?........กำหนดเวลานะซิ  ก็ตัวคุณเองนั้นละที่เป็นตัวกำหนดเวลาให้มัน ไปสร้างเงื่อนไขให้มันว่า ..... " นี้นะเราปฏิบัติอยู่ และผ่านจากนี้ไปก็จะเป็นนิพพาน " ....... นี้จิตไปอยู่กับอนาคตซะแล้ว ...... แล้วจะได้ธรรมได้อย่างไร
          นิพพานไม่ใช่เรื่องของอนาคต นิพพานไม่ขึ้นกับกาละเวลา ไม่ขึ้นกับสถานที่ เลิกเอาจิตไปไว้กับอนาคตซะ
              ก็เข้าใจนะครับว่าที่ปฏิบัติธรรมกันอยู่ก็อยากไปนิพพาน ....... แต่สุดท้ายเราเอาความอยากไปนิพพานด้วยไม่ได้ ...... ให้ปล่อยความอยากนั้นเสีย

             ยิ่งอยาก  ยิ่งไม่ได้
             ปล่อยซะ  แล้วมันจะได้

             ก็ยากอยู่เหมือนกัน แค่คิดจะปล่อยมันก็เกิดความอยากขึ้นแล้ว คืออยากจะปล่อยให้ได้ นี้ก็เป็นความอยากซ้อนเข้าไปอีก ...... หากแน่ใจว่าปฏิบัติมาถูกทางแล้ว หากสุดทางแล้วก็อย่าไปอยากมัน ทำไปตามครูอาจารย์สอนแล้วมันก็จะเจอเองละธรรมนี้  ...... ถ้ามัวแต่คิดว่าผ่านนี้ไป เราก็จะได้มรรคได้ธรรม นี้ก็ไม่ได้เพราะมัวแต่ไปดีใจกับเรื่องอนาคตที่ยังไม่เกิดขึ้น ..... นี้เขาเรียกว่าจิตไปรออยู่กับอนาคตก็เลยไม่ได้  เลิกเอาจิตไปรออยู่กับอนาคตซะ  แล้วมันจะได้ อนาคตมันไม่มีอะไรหรอก พระอาจารย์ท่านก็สอนว่า " อนาคตมันก็ต้องตายกันทุกคน " นี้ละคืออนาคต
            สรุปว่า เพราะเอาจิตไปไว้กับอนาคต  นี้ถือว่าเป็นกิเลส ถือว่าเป็นความอยากถึงว่ามันจะเป็นกิเลสที่เป็นกุศล ก็ตาม เราอาศัยกิเลสที่เป็นกุศลมาปฏิบัติธรรมเพื่อความพ้นทุก แต่เมื่อถึงที่สุดก็ต้องปล่อยกิเลสตัวนี้ ถึงจะเป็นกิเลสที่เป็นกุศลก็ตามก็ต้องปล่อย ถึงมันจะเป็นกุศลกิเลสมันก็ทำให้ห่างนิพพานได้
          สุดท้ายก็ยังขอกล่าวเช่นเดิมว่า "สุดท้ายคือต้องปล่อยวาง" ...... อย่างคุณก็ต้องปล่อยวางความเป็นอนาคตนั้นเสีย แล้วธรรมก็จะปรากฏแก่คุณ มันอยู่กับคุณนี้เอง ไม่ได้ไปอยู่ที่อนาคตที่ไหนเลย
ขอธรรมจงมีแก่ท่าน


ปัญหาธรรมข้อที่ 32     บรรลุธรรมคืออะไร  อย่างไรจึงเรียกว่าบรรลุรรม ?
                                บรรลุธรรมแล้วเหตุใดจึงยังไม่ตายภายใน 7 วัน
สวัสดีค่ะ _/|\_
                 ก่อนอื่นขอแนะนำตัวก่อน หนูอายุจะ 17 ปีในปีนี้ หนูได้เข้าเว็บ siamguru.com แล้วได้ search หาเว็บไซต์ธรรมะ โดยพิมพ์คำว่า " ธรรมะ " ลงไป แล้วก็มีรายชื่อเว็บต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับธรรมะขึ้นมา หนูก็ได้คลิกไปและบังเอิญไปพบ  เวปไซต์                                                       http://www.reocities.com/buddhatatum/ ทำให้หนูสนใจมากเพราะเกริ่นไว้ว่ามีการบรรลุธรรม หนูจึงอยากจะทราบค่ะว่าท่านบรรลุธรรมเมื่อครั้งอายุเท่าไหร่ แล้วปัจจุบันนี้ท่านอายุเท่าไหร่แล้วคะ ถ้าตอนนี้ท่านครองอัตภาพเป็นฆราวาส ที่เค้าว่ากันว่า พระอรหันต์ถ้าอยู่ในเพศฆราวาสจะอยู่ได้ไม่เกิน 7 วัน และต้องตายด้วยอุบัติเหตุ ก็ไม่เป็นความจริงหรือคะ
                ท่านพอจะเล่าชีวิตในอดีตของท่าน จวบจนปัจจุบันเพื่อ เป็นธรรมทานแก่หนูได้มั้ยคะ เอาแบบย่อๆก็ได้ค่ะ เช่น นิสัยในวัยเด็ก เป็นต้น โดยที่ท่านไม่เอ่ยชื่อเสียงเรียงนามของท่านก็ได้ค่ะ เพื่อความสบายใจค่ะจริงๆแล้วหนูก็อยากรู้ค่ะว่าท่านและอาจารย์ของท่านคือใคร แต่ท่านไม่บอกก็ไม่เป็นไรค่ะ เอาเป็นว่าแค่ได้พบกันทางอินเตอร์เนต ก็เป็นบุญของหนูมากโขแล้วค่ะ     สาธุ _/|\_

ตอบ
               อ่าน e-mail ของน้องแล้วทำให้พี่ดีใจมากนะครับ รู้ไหมว่าเพราะอะไร ดีใจที่เห็นเด็กอย่างน้องสนใจในธรรม รู้ไหมว่าน้องเป็นคนที่อายุน้อยที่สุด ที่เคย mail มาถามธรรมกับพี่ จึงทำให้พี่ดีใจมาก ดีใจที่เห็นเยาวชนสนใจธรรม
              อ่านคำถามของน้องแล้วทำให้พี่ยิ้มเลย รู้มั๊ยว่าเพราะอะไร เพราะพี่ก็เคยสงสัยเหมือนน้องเช่นกัน แต่ไม่รู้จะไปถามใคร    เอาละเรามาตอบคำถามกันเลยนะครับ
             ก่อนอื่นเราต้องมาทำความเข้าใจกับคำว่า "บรรลุธรรม" กันก่อนนะครับ ว่าการบรรลุธรรมคืออะไร อย่างไรถึงเรียกว่าบรรลุธรรม
             ก่อนอื่นเราต้องรู้จักคำว่าสังโยชน์ก่อน เพราะสังโยชน์นี้เองทำให้เกิดความแตกต่างระหว่างคนธรรมดาและอริยเจ้า สังโยชน์เป็นสิ่งที่ทำให้มนุษย์และทุกจิตวิญญาณใน 3 ภพนี้เวียนวายตายเกิด พระพุทธเจ้าได้สอนไว้ว่าสังโยชน์มีทั้งหมด 10 สังโยชน์
1.     สักกายทิฏฐิ ความเห็นว่าเป็นตัวเป็นตน เช่นเห็นรูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ว่าเป็นตัว เป็นตน
2.     วิจิตกิจฉา ความสงสัย ความลังเล ไม่แน่ใจ ว่าอะไรคือธรรม อะไรคือสิ่งที่เป็นจริง
3.     สีลัพพตปรามาส ความถือมั่นในศีลพรต ในข้อปฏิบัติ โดยสักแต่ว่าทำตามกันมาอย่างงมงาย หรือโดยนิยมว่าขลังหรือศักดิ์สิทธิ์
4.     กามราคะ ความกำหนัดในกาม ความติดใจในกาม
5.     ปฏิฆะ ความกระทบกระทั้งใจ ความหงุดหงิดขัดเคือง
6.     รูปราคะ ความติดในอารมณ์แห่งรูปณาณ หรือในรูปธรรมอันประณีต ความปรารถนาในรูปภพ
7.     อรูปราคะ ความติดในอารมณ์แห่งรูปฌานหรืออรูปธรรม ความปรารถนาในอรูปภพ
8.     มานะ ความสำคัญตน คือ ถือว่าตนเป็นนั้นเป็นนี้
9.     อุทธัจจะ ความฟุ้งซ่าน
10. อวิชา ความไม่รู้จริง ความหลง
          สังโยชน์ทั้ง 10 นี้เองที่ทำให้เราต้องเวียนวายตายเกิดกันเช่นนี้ วิธีที่เราจะพ้นไปจากวัฏสงสารนี้ได้ก็คือเราจะต้องสามารถละสังโยชน์ทั้ง 10 นี้ให้ได้ เรามาดูการละสังโยชน์กันทีละขั้นนะครับ
หนึ่ง เรามาดูสังโยชน์ 3 ข้อแรกก่อน คือ สักกายทิฏฐิ  วิจิกิจฉา และ สีลัพพตปรามาส หากผู้ใดและสังโยชน์ 3 ข้อแรกได้ ผู้นั้นได้ซื่อว่าบรรลุธรรมเป็นพระโสดาบันอริยะเจ้า ผู้ที่บรรลุธรรมขั้นโสดาบันนี้จะกลับมาเกิดอีก 7 ชาติเป็นอย่างมาก (เป็นผู้ที่กลับมาเกิดมากที่สุดในบรรดาอริยะเจ้าทั้งหมด สี่จำพวก)
สอง ผู้ที่ละสังโยชน์ได้ 3 ข้อแรกและสามารถทำ ราคะ โทสะ โมหะ ให้เบาบางลง ผู้นั้นได้ซื่อว่าบรรลุธรรมเป็นพระสกทาคามิอริยะเจ้า
สาม ผู้ที่ละสังโยชน์ได้ 5 ข้อแรกได้ชื่อว่าพระอนาคามีอริยะเจ้า
สี่ ผู้ที่ละสังโยชน์ได้ทั้งหมด 10 ข้อ ได้ชื่อว่าพระอรหันตอริยะเจ้า
          อริยะเจ้าทั้งสี่นี้ จะมีพระอรหันต์อย่างเดียวเท่านั้นที่ละสังโยชน์ได้ทั้งหมด จึงสิ้นเชื้อเมื่อสิ้นอายุขัยก็คืนสมมุติให้แก่ธรรมชาติเดิมไป ไม่เหลือเชื้อใดให้เกิดภพเกิดชาติอีก นั้นคือนิพพาน ส่วนอริยะเจ้าสามขั้นแรก ยังต้องกลับมาเกิดอีก 7 ชาติบ้าง 3 ชาติบ้าง 1 ชาติบ้าง ตามสังโยชน์ที่เหลืออยู่ เพื่อมาทำการละสังโยชน์ที่เหลือให้หมดไป
          ในการบรรลุธรรมนั้นไม่จำเป็นต้องเป็นไปตามลำดับขั้น บางท่านบรรลุธรรมครั้งแรกเป็นพระอรหันต์เลยก็ได้ บางคนบรรลุธรรมครั้งแรกเป็นโสดาบัน ปฏิบัติต่อไปได้เป็นเพระอรหันต์เลยก็ได้ ไม่จำเป็นต้องได้ตามลำดับขั้น
         หวังว่าน้องคงเข้าใจมากขึ้นนะครับ และการที่ถามว่าบรรลุธรรมแล้วเหตุใดยังมีชีวิตได้เกิน 7 วัน จะขออธิบายดังนี้
    1 เมื่อบรรลุโสดาบันแล้วสามารถดำรงชีวิตอยู่อย่างคนปรกติได้ สามารถมีครอบครัวหรือแต่งงานก็ได้

1.     เมื่อบรรลุสกิทาคามิแล้วสามารถดำรงชีวิตอยู่อย่างคนปรกติได้ สามารถมีครอบครัวหรือแต่งงานก็ได้ แต่ ราคะ โทสะ โมหะ ท่านจะเบาบาง

2.     เมื่อบรรลุอนาคามิแล้วสามารถดำรงชีวิตอยู่อย่างคนปรกติได้ แต่ไม่สามารถมีครอบครัวได้เพราะจิตท่านไม่ต้องการแล้ว ท่านละสังโยชน์ข้อกามราคะได้แล้ว ท่านจึงไม่มีอารมณ์ในเรื่องกาม
3.     เมื่อบรรลุอรหันต์แล้วจะต้องบวชภายใน 7 วัน ไม่เช่นนั้นจะต้องตาย เพราะเพศนักบวชเหมาะสำหรับท่านมากที่สุด
         หวังว่าน้องคงเข้าใจมากขึ้นอีกครั้ง พี่นั้นบรรลุธรรมก็จริง แต่ไม่ใช่อรหันต์ พี่จึงสามารถอยู่ได้อย่างคนธรรมดา ไม่ต้องตายภายใน  วัน
          หากจะเกิดความสงสัยว่า เมื่อยังไม่ใช่อรหันต์แล้วเหตุใด จึงรู้ธรรมและมาทำ WEB ตอบธรรมเช่นนี้ ก็ขอตอบว่า ธรรมนั้นเข้าใจเมื่อละสังโยชน์ข้อวิจิกิจฉาได้แล้ว และสังโยชน์ข้อวิจิกิจฉานี้ละได้ตั้งแต่พระอริยะขั้นต้นอย่างโสดาบันแล้ว ผู้ที่ละสังโยชน์ข้อนี้ได้ผู้นั้นก็หมดความสงสัยในธรรมแล้ว เหตุที่หมดความสงสัยได้เพราะเข้าใจในธรรมแล้วว่าอะไรคืออะไร อริยะเจ้าต่างๆจะแตกต่างกันก็ตรงสังโยชน์ที่เหลืออยู่ คนส่วนใหญ่มีความเข้าใจว่าต้องพระอรหันต์เท่านั้นที่เข้าใจในธรรม ทั้งที่จริงแล้วอริยะขั้นต้นก็เข้าใจในธรรม แต่ยังมีกิเลสทีละไม่ได้อีก ก็ต้องทำการละกันอีกต่อไป จนถึงขั้นละสังโยชน์ข้ออวิชชาได้ ขั้นนี้ก็เป็นพระอรหันต์กันเลย ธรรมก็รู้ และรู้จนปล่อยวางได้หมด เพราะเห็นทุกอย่างมันก็เท่านั้น นี้พระอรหันต์ท่านสูงส่งอย่างนี้ แต่อริยะขั้นต่ำลงมา ยังเห็นความแตกต่างระหว่างของคู่อยู่ เห็นว่าโลกนี้มีสีขาวกับสีดำ แต่พระอรหันต์ท่านไม่เห็นว่ามันแตกต่างกัน และมันก็ไม่เหมือนกัน
          หวังว่าน้องคงเข้าใจมากขึ้น มีอะไรก็ mail มาถามพี่ได้นะครับ อยากให้เยาวชนเข้าใจในพุทธศาสนาอย่างถูกต้อง ส่วนคำถามที่เหลือพี่จะตอบให้ทีหลังนะครับ
ขอธรรมจงมีแด่น้อง

ปัญหาธรรมข้อที่33  
   อริยะเจ้านั้นมองเห็นจิตวิญญาณ,ผี ,เทพ ฯลฯ เป็นเรื่องปกติทุกท่านใช่หรือไม่
  คำกล่าวถึงบุคคลที่มีสัมผัสพิเศษ sixth sense .... คนที่เห็นในสิ่งที่คนอื่นไม่เห็น รู้ในสิ่ง ที่คนอื่นไม่รู้ คนที่ผู้อื่นมองว่าป่วยเป็นโรคทางจิต
          ขอถามด้วยความสงสัยเพราะไม่รู้ว่าคนเองเข้าใจผิดหรือถูก ในความเข้าใจของตนเองที่ว่า อริยะเจ้านั้นมองเห็นจิตวิญญาณ,ผี ,เทพ ฯลฯ เป็นเรื่องปกติทุกท่านใช่หรือไม่ ส่วนคนธรรมดาที่ไม่เคยฝึกสมาธิเลยนั้นไม่สามารถทำได้ใช่หรือไม่ ถ้าทำได้จะมีผลดี ผลเสียอย่างไร?
ตอบ  ไม่ใช่
          อริยะเจ้าไม่จำเป็นจะต้องเห็นอะไรไปทุกอย่าง อริยะที่ไม่เห็นอะไรเลยนั้นก็ถือว่าเป็นเรื่องปรกติ
          บุคคลธรรมดาที่ไม่เคยฝึกสมาธิเลยนั้นก็สามารถมองเห็นจิตวิญญาณ, ผี , เทพ , หรือบุคคลที่ไม่ได้อยู่บนโลกนี้ได้เหมือนกัน บุคคลพวกนี้เป็นบุคคลที่มีสัมผัสพิเศษเช่น สัมผัสที่หก sixth sense อะไรจำพวกนั้น  บุคคลจำพวกนี้ถ้าเข้าใจสมมุติของตนเองก็ถือว่าไม่เป็นปัญหาอะไร แต่ถ้าไม่เข้าใจสมมุติของตนเองแล้วละก็จะเป็นปัญหาอย่างมาก
         ปัญหาที่พบส่วนใหญ่คือปัญหาจากคนรอบข้างไม่เข้าใจ เนื่องด้วยบุคคลที่มีสัมผัสพิเศษนี้ได้รู้ ได้เห็นอะไรแล้วเล่าให้คนอื่นฟัง ก็จะไม่มีใครเชื่อ อาจถูกคนอื่นเข้าใจผิดได้ว่าเป็นโรคทางจิต มันจะเป็นปัญหาอย่างมากขึ้นไปอีก หากคนที่ใกล้ชิดเขามากที่สุด เช่นคนที่เลี้ยงเขามาอย่างพ่อและแม่ของเขาเองก็ไม่เชื่อเรื่องนี้และก็คิดว่าเขาป่วยเป็นโรคทางจิตเช่นกัน อย่างนี้ถือว่าเป็นปัญหามากที่สุดเพราะแม้แต่คนที่รักเขาก็ยังไม่เชื่อเขา จะทุกข์ใจมากเหมือนอยู่ในโลกนี้คนเดียว
        บุคคลพิเศษเหล่านี้จะไม่เหมือนกันทั้งหมด บางคนก็เห็นคนที่ตายไปแล้ว บางคนจะเห็นผี บางคนจะเห็นเทพ บางคนจะเห็นบุคคลที่ไม่ได้อยู่บนโลกนี้ บางคนจะเห็นเรื่องราวในอดีตหรืออนาคต เห็นสถานที่ต่าง เห็นสถานที่ที่ไม่มีใครรู้จัก
        บุคคลเหล่านี้น่าสงสารหากอยู่ไม่ถูกที่ ไม่ถูกเวลา เช่นในปัจจุบันนี้ ถ้าบุคคลเหล่านี้ไม่รู้สมมุติของตน ไปเล่าเรื่องเหล่านี้ให้คนที่ไม่เข้าใจฟัง ก็จะถูกเข้าใจผิดได้ว่าป่วยเป็นโรคทางจิต แม้แต่พ่อแม่ของตนก็จะคิดเช่นนั้นได้ หากท่านไม่เชื่อเรื่องเหล่านี้
        บุคคลที่เห็นเรื่องในอดีตหรืออนาคต อาจเอาชีวิตปัจจุบันของตนเข้าไปเกี่ยวข้อง ทำเช่นนี้จะทำให้สมมุติทางโลก ชีวิตปัจจุบันของตนเสียได้
        บุคคลที่เห็นผี บุคคลเหล่านี้จะอยู่ด้วยความกลัว
        บุคคลที่เห็นเทพ บุคคลเหล่านี้อาจจะหลงได้

        บุคคลที่เห็นบุคคลอื่นที่ไม่ได้ยู่บนโลกนี้ บุคคลเหล่านี้นับว่าน่าส่งสารมากเพราะอะไรนะหรือ เพราะจะหาคนคุยด้วยได้น้อยมาก แม้แต่ผู้ปฏิบัติธรรมหรือพระก็มีไม่กี่ท่านที่รู้เรื่องนี้ แม้แต่อริยะเจ้าก็ไม่ได้รู้เรื่องนี้ทุกท่าน ท่านก็รู้แต่การปฏิบัติของท่าน อะไรที่ไม่ทำให้พ้นทุกข์ท่านก็ไม่สนใจที่จะเอามัน ส่วนอริยะที่รู้ ท่านก็รู้เองด้วยบารมีของท่าน อริยะแต่ละท่านก็มีบารมีไม่เหมือนกัน
       บุคคลที่เห็นผีเห็นเทพ แค่นี้ก็ทุกข์มากแล้วหากพ่อแม่ไม่เชื่อ  แต่หากพ่อแม่เคยศึกษาเรื่องเหล่านี้มาบาง ก็อาจจะพาไปหาผู้ปฏิบัติธรรมหรือพระปฏิบัติเรื่องนี้ก็น่าจะแก้ไขได้ 
        แต่บุคคลที่เห็นบุคคลที่ไม่ได้อยู่บนโลกนี้ถึงพ่อแม่พาไปหาผู้ปฏิบัติธรรมหรือพระปฏิบัติ มันก็ไม่ได้หมายความว่าจะแก้ไขได้ มันขึ้นอยู่กับว่าผู้ปฏิบัติธรรมหรือพระท่านนั้นรู้เรื่องนี้หรือไม่ หากท่านไม่มีความรู้เรื่องนี้ ท่านอาจให้ความเห็นได้ว่าสิ่งที่เราเห็นนั้นมันไม่จริง
       มันเป็นเรื่องยุ่งยากมากหากบุคคลนั้นเป็นเด็กด้วยแล้วละก็ เพราะว่าคนที่เขาไว้ใจที่สุดคือพ่อและแม่ก็ยังไม่เชื่อเขา แต่กลับส่งเขาไปพบจิตแพทย์ และโชคร้ายเข้าไปอีกที่จิตแพทย์ไม่มีความรู้เรื่องจิตสมาธินี้เลยมีแต่ความรู้ในตำราที่ชาวตะวันตกสอน ซึ่งไม่มีความรู้เรื่องจิตสมาธินี้เลย จิตแพทย์ท่านนั้นก็จะลงความเห็นว่าเด็กคนนั้นเป็นโรคทางจิต
        เราจะโยนความผิดทั้งหมดให้จิตแพทย์ก็ไม่ถูกนัก เพราะบุคคลที่มีสัมผัสพิเศษนี้มีจำนวนหนึ่งในล้านเท่านั้น เป็นธรรมดาที่จิตแพทย์จะแยกไม่ออกระหว่างคนป่วยกับบุคคลที่มีสัมผัสพิเศษนี้
         สุดท้ายนี้ขอกล่าวฝากถึงบุคคลที่มีสัมผัสพิเศษซักเล็กน้อย
         ส่วนผู้ที่ไม่มีสัมผัสพิเศษหรือผู้ที่แวะเข้ามาอ่านขอให้ข้ามไป  เพราะหากท่านอ่านแล้ว ท่านอาจจะไม่เข้าใจ และการไม่เข้าใจนี้เองอาจทำให้ท่านมองข้าพเจ้า( webmaster )ผิดไป จึงขอแนะนำท่าน หากท่านจะอ่านต่อไปว่าเมื่ออ่านแล้วอย่าได้เอาความคิดของตนเข้าไปปรุงแต่งเรื่องต่อไปนี้กับพุทธศาสนาแต่อย่าใด

        ผู้ที่แน่ใจว่าตนไม่ได้ป่วยด้วยโรคทางจิต ข้าพเจ้าขอกล่าวคำว่า " สวัสดี " ท่านที่มีสัมผัสพิเศษทุกท่าน         
        ท่านที่มีสัมผัสพิเศษนี้ ตลอดจนท่านที่มีความสามารถในทางด้านจิตอื่นๆทุกท่าน ไม่ว่าท่านจะเป็นเด็ก เป็นวัยรุ่น หรือเป็นผู้ใหญ่   ไม่ว่าท่านจะเป็นบุคคลที่ เห็นผี เห็นเทพ เห็นบุคคลที่ไม่อยู่บนโลกนี้ ขอให้ท่านเข้าใจสมมุติที่ท่านเป็นอยู่ เมื่อเล่าแล้วไม่เคยมีใครเชื่อ ก็อย่าได้เล่าอีก เพราะเขาจะเหมาเอาว่าท่านป่วยเป็นโรคทางจิตได้ ข้าพเจ้ารู้ว่าตัวท่านเองรู้ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นกับท่านเป็นเรื่องจริง 
         ไม่ว่าความรู้ที่ท่านรู้ จะเป็นเรื่องในอดีต ปัจจุบัน อนาคต เรื่องเกี่ยวกับโลก  ดวงดาว สงคราม ดินแดนที่หากไกล (ท่านรู้ว่าข้าพเจ้าหมายถึงที่ใด) ไม่ว่าจะไกลออกไป  หรืออยู่ลึกจนยากที่ใครจะเข้าถึง ดินแดนที่เจริญด้วยวิทศาสตร์ หรือบุคคลสำคัญของท่าน ตลอดจนสถานที่ที่ท่านเรียกว่าบ้าน จิตคนรอบข้าง อารมณ์ ความสะอาดหรือสกปรก พลัง พลังงาน
          เรื่องเหล่านี้หากท่านจะเล่าให้ใครฟัง ขอให้ท่านดูสมมุติของตัวท่านเองด้วยว่าท่านเป็นใครมีหน้าที่อะไร  หากมีสมมุติของท่านเป็นเด็ก ก็จะถูกกล่าวหาว่าขี้โกหก เพ้อเจ้อ หากโตขึ้นก็อาจจะถูกกล่าวหาว่าป่วยเป็นโรคทางจิต ขอให้เข้าใจสมมุติของตน และอย่าได้โทษคนอื่นที่ไม่เข้าใจท่าน เพราะท่านเป็นจำนวนหนึ่งในล้านเท่านั้น พวกเขาแยกไม่ออกหรอกนะ ระหว่างท่านกับคนป่วยโรคทางจิต หากไม่รู้จะคุยกับใคร mail มาคุยกับข้าพเจ้าก็ได้ที่ areyatum@thaimail.com
   ขอธรรมจงมีแด่ท่าน

ปัญหาธรรมข้อที่34     ในสภาวธรรมหรือนิพพานนั้นเป็นสภาวะเช่นไรกันแน่
                   "ในสภาวะธรรมนั้นทุกสรรพสิ่งยังคงมีอยู่"  หรือว่า "ในสภาวธรรมนั้น
                    เป็นสภาวะที่ปราศจากทุกสิ่ง
ช่วยตอบด้วย
           ในสภาวะแห่งนิพพานหรือธรรมนั้นเป็นเช่นไรกันแน่ พยายามทำความเข้าใจในธรรมหรือนิพพานก็ยังไม่เข้าใจ ในสภาวะแห่งธรรมนั้นคือการมีอยู่ของทุกสรรพสิ่งหรือสภาวะที่ไม่มีสรรพสิ่งใดอยู่เลยกันแน่ เพราะจากความรู้เท่าที่หาได้บ้างก็ว่านิพพานหรือสภาวะแห่งธรรมนั้นเป็นสภาวะที่มีอยู่ของสรรพสิ่ง ฉะนั้นจึงไม่แปลกใจเลยว่าทุกสรรพสิ่งยังคงมีอยู่ ไม่ว่าจะเป็น ภูเขา ดวงดาว ดวงจันทร์ ต้นไม้ หรือดวงอาทิตย์ มันก็ยังคงมีอยู่ 
            แต่หากจะคิดในคำกล่าวที่ว่านิพพานหรือธรรมนั้นเป็นสภาวะที่ไม่มีอะไรให้ยึดติดเพราะตัวตนของเรานั้นที่แท้ก็ไม่มี เมื่อเราเองก็ไม่มีฉะนั้นไม่ว่าภูเขา ดวงดาว ดวงจันทร์ ต้นไม้ หรือดวงอาทิตย์มันก็ยอมไม่มี จึงสรุปได้ว่าแท้จริงแล้วในสภาวะแห่งธรรมนั้นไม่มีอะไรเลยใช่หรือไม่
ตอบ  
          ข้าพเจ้าจะไม่ขอกล่าวว่าแท้จริงแล้วในสภาวธรรมนั้นทุกสรรพสิ่งมีอยู่หรือไม่มีอยู่ ภูเขา ดวงจันทร์ ต้นไม้ หรือดวงอาทิตย์ แท้จริงมันมีอยู่หรือไม่มีอยู่จะไม่ขอกล่าว  
         ข้าพเจ้าขออธิบายด้วยการถามกลับว่า
1.     สมมุติให้กรอบสี่เหลี่ยมข้างล่างแทนขอบเขตของทุกสรรพสิ่งในจักวาลหรืออนันตจักรวาล
2.                                  (รูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าว่างเปล่า)


................................................................................
3.     และในจักวาลนี้ก็มีสรรพสิ่งต่างๆ เช่น  ดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ ภูเขา ต้นไม้ และคน
                 
 (รูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า ดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ ภูเขา ต้นไม้ และคน)

......................................................................................................
4.     และสมมุติให้คนในกรอบสี่เหลี่ยมคือตัวคุณ
ฉะนั้นเมื่อคุณเป็นคนในสี่เหลี่ยม เมื่อคุณยังคงมีตัวตนอยู่ก็เป็นธรรมดาที่คุณจะรับรู้ได้ว่า ภูเขามีอยู่ ต้นไม้มีอยู่ ดวงจันทร์มีอยู่ ดวงอาทิตย์มีอยู่ และจักรวาลมีอยู่
5.     และสมมุติต่อไปว่าเมื่อคุณ ( คนในสี่เหลี่ยม ) ปฏิบัติธรรมจนมีดวงตาเห็นธรรมบรรลุขั้นอรหัตคผล และได้ดับขันธ์นิพพาน
เมื่อคุณซึ่งเป็นอรหันต์ได้ดับขันธ์ไปแล้วก็แสดงว่าไม่มีเหลือความเป็นคุณอีกแล้ว ฉะนั้นในสี่เหลี่ยมจึงไม่มีคุณอยู่ในนั้นอีกต่อไป

                          (รูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า ดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ ภูเขา และต้นไม้)

6.     ขอถามว่าเมื่อคุณไม่อยู่แล้ว  คำถามและคำตอบที่ว่าทุกสิ่งทุกอย่างยังคงมีอยู่หรือไม่นั้นจะเป็นเช่นไร ?
คำถามและคำตอบที่ว่าดวงอาทิตย์มีอยู่หรือไม่ จะเป็นเช่นไร ?
คำถามและคำตอบที่ว่าดวงจันทร์ยังคงอยู่หรือไม่ จะเป็นเช่นไร ?
คำถามและคำตอบที่ว่าภูเขามีอยู่หรือไม่ จะเป็นเช่นไร ?
คำถามและคำตอบที่ว่าต้นมีอยู่หรือไม่ จะเป็นเช่นไร ?
* ขอให้คุณเขียนคำตอบลงในกระดาษก่อนที่จะคลิกดูเฉลย
เมื่อเขียนคำตอบเสร็จแล้วให้คลิกคำตอบที่ตรงกับคำตอบของคุณ A หรือ B
  A.ในสภาวะธรรมนั้นทุกสรรพสิ่งยังคงมีอยู่
  B..ในสภาวะธรรมนั้นเป็นสภาวะที่ปราศจากทุกสิ่ง


ปัญหาธรรมข้อที่35     เซ็น" มีวิธีการปฏิบัติตนเช่นไรเพื่อให้เข้าถึงธรรม  ตัวเองคิดว่ามันน่าจะมี concept อะไรซักอย่างที่เป็นหลักการหลักๆของเซ็นเพื่อให้เข้าถึงธรรม 
           ขอรบกวนถามปํญหาธรรมเพียงเล็กน้อยว่า "เซ็น" มีวิธีการปฏิบัติเช่นไรเพื่อให้เข้าถึงธรรม เพราะตนเองได้ศึกษาจากการอ่านมาพอสมควรก็ยังไม่เข้าใจว่าเซ็นนั้นเข้าถึงธรรมได้อย่างไร อ่านจากหนังสือเมื่อผู้อาจารย์สอนเซ็นให้แก่ศิษย์ก็ไม่เข้าใจ หนังสือบางเล่มก็มีการอธิบายแต่ตนเองก็ไม่เข้าใจว่ามันเป็นเช่นไร การอธิบายจากหนังสือแต่ละหัวข้อก็อธิบายแยกแต่ละเหตุการณ์ แต่ตัวเองคิดว่ามันน่าจะมีอะไรมากกว่านั้นเช่น concept อะไรซักอย่างที่เป็นหลักการหลักๆของเซ็นเพื่อให้เข้าถึงธรรม จึงอยากจะขอคำอธิบาย เพราะตนเองก็คิดอยู่นาน
         และอีกคำถามแต่มันก็ไม่ใช่คำถามเพียงอยากรู้ว่าท่านมีความเป็นอยู่เช่นไร เพราะไม่เห็นมีคำถามคำตอบอะไรใหม่ๆ

ตอบ
           ธรรมนั้นเป็นเรื่องเกิดที่กล่าวอ้าง สิ่งที่เซ็นทำอยู่นั้นละคือธรรม
           โลกนี้เป็นของคู่ทั้งสิ้น โลกในที่นี้หมายถึงวัฏสงสารการเวียนว่ายตายเกิด
           โลกเป็นของคู่มีสีขาวก็ต้องมีสีดำ มีสะอาดก็ต้องมีสกปรก มีดีก็ต้องมีเลว มีสวรรค์ก็ต้องมีนรก มีสูงก็ต้องมีต่ำ นี้โลกเป็นเช่นนี้ โลกเป็นของคู่เช่นนี้

           ธรรมนั้นคือการพ้นจากของคู่ ธรรมจะเป็นอะไรก็ช่างเซ็นไม่อธิบายอะไรให้มันยืดยาว รู้แต่ว่าโลกคือของคู่พ้นจากของคู่ก็พ้นจากโลก พ้นจากโลกจะเป็นอะไรก็ช่าง ไม่จำเป็นต้องมานั่งอธิบายว่าธรรมคืออะไร พ้นจากของคู่ได้ก็จะรู้เอง มันรู้ได้เฉพาะตน ใครพ้นของคู่ได้ก็จะเข้าใจ
           เซ็นให้ผู้ปฏิบัติเห็นของคู่และพ้นจากของคู่นี้ไป การอธิบายธรรมของพระอาจารย์เซ็นนั้นตรงไปตรงมาชัดเจนที่สุด เช่นหากศิษย์ผู้มาเรียนเซ็นถามว่า
++ “ท่านอาจารย์เหตุใด จีวรท่านจึงสะอาด
           อาจารย์เซ็นไม่พูดอะไรแต่ท่านใช้มือลูบไปบนพื้นดิน จากนั้นก็ใช้มือที่เปื้อนดินลูบไปบนจีวรของท่าน จีวรของท่านที่เคยสะอาดก็สกปรกขึ้นมาทันที่ และจากนั้นท่านก็พูดกับศิษย์ว่า
== ”นี้ไง
           ศิษย์ได้แต่งงไม่เข้าใจว่าอาจารย์ทำเช่นนั้นทำไม ศิษย์ถามดีๆ แต่อาจารย์กลับทำจีวรที่สะอาดให้สกปรก
           ศิษย์ได้แต่งง แต่ก็ยังมีความศรัทธาผู้เป็นอาจารย์ หากคนธรรมดามาถามและท่านอาจารย์เซ็นทำเช่นนี้ก็คงจะคิดว่าพระองค์นี้คงจะบ้าแน่ๆ
           ท่านอาจารย์เซ็นต้องการจะบอกว่ามันสะอาดเพราะมีความสกปรกมาเปรียบเทียบ ให้ศิษย์เห็นในของคู่ เพราะเมื่อเห็นของคู่ได้ก็จะได้นำความรู้สึกออกจากของคู่ได้ มันสำคัญในตรงนี้ตรงการเห็นของคู่นี้ คนส่วนใหญ่ไม่เคยคิดไปด้วยซ้ำว่าโลกเป็นของคู่ จึงไม่ได้สงสัยว่า เมื่อโลกเป็นของคู่ และไม่ได้สงสัยต่อไปว่าเมื่อพ้นจากของคู่คืออะไร
           การเห็นของคู่จึงเป็นการเริ่มต้นที่สำคัญมากในการบรรลุธรรม
           ท่านอาจารย์เซ็นไม่บอกว่าธรรมคืออะไร แต่สอนให้พ้นจากของคู่ ธรรมจะคืออะไรก็ช่างมัน ถ้าพ้นจากของคู่ได้ก็จะเข้าใจในธรรม
           ธรรมนั้นไม่มีการแบ่งแยกและก็ไม่มีกระทั้งความเหมือนเพราะพ้นจากของคู่ที่เป็นผู้รู้และผู้ถูกรู้ไปแล้ว
           อาจารย์เซ็นผู้เข้าถึงธรรมแล้วนั้นการอธิบายธรรมของท่านนั้นจะอธิบายธรรมแบบตรงไปตรงมา หากศิษย์เข้าใจก็จะเข้าถึงธรรมได้แบบฉับพลันได้ทันที ปล่อยวางได้ก็มีดวงตาเห็นธรรม เรียกว่าบรรลุธรรมโดยฉับพลันหรือภาษาเซ็นเรียกว่า ซาโตริหมายถึงการบรรลุธรรมโดยฉับพลัน
ถามเรื่องความสะอาด แต่ท่านตอบถึงสิ่งสกปรก
ถามเรื่องความสกปรก แต่ท่านตอบถึงความสะอาด
ถามเรื่องสวรรค์ แต่ท่านตอบเรื่องนรก
ถามถึงนรก ท่านตอบเรื่องสวรรค์
           การตอบหรือการกระทำอะไรที่ตรงข้ามกับคำถามนั้นก็เพื่อต้องการสอนให้รู้ว่ามันเป็นธรรมดาของโลก โลกมันก็มีของคู่เป็นธรรมดาอยู่เช่นนี้ ปล่อยวางจากของคู่นั้นซะอะไรจะเกิดขึ้นก็จะรู้เอง
           ถามถึงความไพเราะของเสียงกับอาจารย์เซ็นว่า
++ “ท่านอาจารย์ ท่านว่าเสียงพิณตัวนั้นทำไมจึงไพเราะมากนัก
           ถามเช่นนี้อาจารย์เซ็นอาจจะเอามือเคาะที่หูเราก็ได้ หรืออาจจะเอามือทุบที่อกที่หัวใจเรา หรืออาจจะทุบทั้งสองที่
           เคาะที่หูเบาๆหรือหนักๆก็แล้วแต่ท่านเคาะซักหนึ่งทีเพื่อให้ศิษย์ได้คิดว่าก็เพราะหูเป็นผู้รับเสียง ให้ดับที่หู เหตุเกิดที่หูก็ให้ดับที่หู
           เคาะที่อกหรือที่ใจ ก็ต้องการจะบอกว่าเพราะมีใจเป็นผู้เสพ ก็ให้ดับที่ใจนั้นซะ
           เคาะที่หูและที่ใจ ก็ให้รู้ว่าเพราะมันมีของคู่ระหว่างอายตนะภายนอกและภายใน อายตนะภายนอกก็คือหูเป็นผู้รับ อายตะภายในก็คือใจหรือที่เราเรียกว่าหทัยที่มันวางซ้อนอยู่ที่หัวใจเป็นผู้รับรู้เสียง ให้รู้จักของคู่ระหว่างนอกกับในและนำความรู้สึกไว้ระหว่างกลางในอายตนะทั้งสองนั้นซะ
           แม้ในการปฏิบัติกิจใดๆต่างๆก็ไม่ติดในของคู่ เมื่อนั่งลงก็รู้อะไรคือของคู่ รู้ถึงของคู่ที่เป็นอายตนะภายนอกและภายใน
           ความเป็นกลางนั้นไม่ได้หมายถึงระยะทาง แต่หมายถึงความรู้สึก
           ก้นกระทบพื้นเนื้อหนังผิวสัมผัสกับพื้นเป็นอายตนะภายนอกและใจหทัยมโนเธตุที่วางซ้อนกับหัวใจคืออายตนะภายใน
           เมื่อเห็นของคู่ระหว่างนอกและในได้ ก็นำความรู้สึกไปไว้กลางระหว่างอายตนะภายนอกและอายตนะภายใน
           หากนั่งแล้วรู้สึกปวดเจ็บก็ให้ใช้จุดที่เจ็บนั้นเป็นอายตนะภายนอกและให้ใจเป็นอายตนะภายใน
           เมื่อรู้ถึงของคู่ได้ก็ให้นำความรู้สึกไปวางไว้รกลางระหว่างของคู่นั้น หากความรู้สึกไปติดที่ภายนอก ก็ให้ดึงไปไว้ระหว่างกลาง การฝึกวิธีนี้แรกๆนั้นจะยากอยู่ซักหน่อยเพราะจิตของเราปรกตินั้นเคยติดในของคู่ข้างใดข้างหนึ่ง การที่จะให้จิตอยู่ระหว่างกลางนั้นแรกๆจึงยากอยู่บ้าง แต่ก็ให้ฝึกต่อไป หากความรู้สึกไปติดภายนอกก็ให้ดึงไว้ระหว่างกลาง หากติดภายในก็ให้ดึงไว้ระหว่างกลาง หากความรู้สึกอยู่ระหว่างกลางได้ไม่นาน คือนำไปไว้ระหว่างกลางได้แล้วก็กลับมาติดที่นอกหรือในอีกก็ให้ดึงความรู้สึกไปไว้ที่ตรงกลางอีก เมื่อเข้ามาที่กลางแล้วกลับมาติดที่นอกหรือในอีกก็ให้ตึงไปไว้ระหว่างกลางอีกทำเช่นนี้ตลอดเวลา ทำความเป็นกลางให้ได้ เมื่อความเป็นกลางได้แล้วจิตที่ไม่ติดนอกและในก็จะดีดออกจากของคู่ ก่อนที่จิตจะดีดออกนั้นใจมันจะหลอกเรามาก มันจะรู้สึกเหมือนจะตายอะไรทำนอกนั้น มันจะรู้สึกอึดอัดอยู่มาก ถึงตรงนี้ก็ให้เราทำความเป็นกลางต่อไป หากมันกลัวตายมากๆ ก็เอาความกลัวตายนั้นละเป็นอายตนะภายนอก อย่าได้โง่ให้ใจมันหลอกนะ มันหลอกเรามาหลายชาติแล้วว่าตายๆ ๆ ๆ ชาตินี้ขอให้เรากล้าที่จะตายดูซิว่าถ้าเราไม่ติดในของคู่มันจะตายจริงหรือเปล่า ถ้ากิเลสยังกลัวก็ให้คิดกลับกันว่าไอ้กิเลสกลัวตายนี้เราก็มี และไอ้กิเลสที่อยากรู้นี้เราก็มี เราอยากรู้จริงๆเลยว่าพ้นจากของคู่ไปแล้วมันคืออะไร มันคือความตายหรือคือธรรมกันแน่ หากเราเลิกกลางคันไอ้ความสงสัยนี้มันก็จะติดตัวเราไปตลอด แต่ถ้าเราสู่ต่อไปอยากน้อยก็ได้รู้ความจริงว่าพ้นจากของคู่คืออะไร ให้คิดไปอีกว่าเราทำเพื่อพ้นจากของคู่และไอ้ความตายที่เรากลัวอยู่ในขณะนี้มันก็เป็นของคู่เพราะเราสามรถหาของที่ตรงข้ามมันได้ สิ่งที่ตรงข้ามกับ 
ความตาย ก็คือความเป็น เมื่อคิดได้เช่นนี้ก็จะทำให้เราเกิดปัญญาเห็นว่าในขณะนี้เราปฏิบัติเพื่อให้พ้นจากของคู่ ไอ้ความตายที่เรากลัวอยู่นี้มันก็เป็นของคู่ นั้นก็แสดงว่าเพื่อเราพ้นของคู่ไปได้เราก็พ้นจากความตายได้ อย่างนี้เราจะกลัวความตายไปทำไม เมื่อเกิดปัญญาได้เช่นนี้ก็ขอให้เราดำรงความเป็นกลางต่อไปจะพบจะเจออะไรรู้สึกอยากไรอย่าไปติดมันให้ดำรงความเป็นกลางต่อไป จิตมันดีดออกเห็นแสงสว่างว๊าบขึ้นเราก็ยังคงดำรงความเป็นกลางต่อไป ก็เอาแสงนั้นละเป็นของคู่ภายนอกและใจเป็นของคู่ภายใน
           พระอาจารย์ท่านสอนไว้ว่าธรรมพ้นจากของคู่ไปแล้ว
ตารับภาพ ใจรับรู้ นี้คือของคู่
หูรับเสียง ใจรับรู้ นี้คือของคู่
จมูกรับกลิ่น ใจรับรู้ นี้คือของคู่
ลิ้นรับรส ใจรับรู้ นี้คือของคู่
กายสัมผัส ใจรับรู้ นี้คือของคู่
           หากเราติดในความคิดเรื่องราวในอดีตก็ให้เอาความคิดที่สมองเป็นของคู่ภายนอก ให้ใจเป็นของคู่ภายใน
           หากเราคิดในความนึกคิดเรื่องราวในอนาคตก็ให้บริเวณรอบๆหัวใจเป็นของคู่ภายนอก ให้ใจเป็นของคู่ภายใน
           หากเราต้องการบรรลุธรรมโดยฉับพลันแบบเซ็นก็ต้องมองโลกให้ออกว่าโลกหรือวัฏสงสารนี้เป็นของคู่ ฝึกให้มากๆ เมื่อเห็นของคู่ได้ก็ฝึกไม่ให้ไปติดในของคู่ ทำให้มากทุกอริยบทเมื่อนั่งก็ทำได้ นึกหรือคิดก็ทำได้ ได้ยินเสียงก็ทำได้ รับกลิ่นก็ทำได้ กายสัมผัสก็ทำได้ กำลังจะตายก็ทำได้ เห็นทุกอย่างเป็นของคู่แล้วไม่ติดในของคู่ เห็น 
ความตาย ก็เห็น ความเป็น ด้วย ไม่ติดทั้งความตายและความเป็น ทำอย่างนี้ได้ก็ถึงธรรมได้ตอนสุดท้ายของชีวิตได้เช่นกัน ตอนแข็งแรงก็ฝึกให้มากเพราะคนเราตายกันได้ทุกเมื่อ ถึงตอนจะตายจริงๆจะได้ปฏิบัติได้ง่ายเพราะเราเคยฝึกมาบ้าง เข้าใจในของคู่แล้วปล่อยมันให้ได้ ไม่ติดมัน ตายก็ไม่ติด เป็นก็ไม่ติด อย่างนี้เรียกว่าพ้นจากของคู่ แล้วมันจะเป็นอะไรก็ช่างมัน อย่างนี้ก็ต้องปล่อย
           ปล่อยจากของคู่แล้วจะเป็นอะไรก็ช่างมันไม่ต้องไปสนมัน ถ้าพูดตามภาษาชาวบ้านก็ต้องพูดว่า

เราปฏิบัติเพื่อให้พ้นจากของคู่ มันจะเป็นอะไรก็ช่างหัวมัน
           ไม่ไปสนว่ามันจะเป็นธรรมหรือไม่เป็นธรรม จะเป็นนรก-สวรรค์อะไรก็ช่างหัวมัน ไม่สนมัน เพราะถ้าไปคิดว่าพ้นจากของคู่แล้วจะได้ธรรม จิตมันก็จะมีกิเลสจิตมันจะไปรออยู่ที่อนาคต
           หากถึงเวลาที่เราจะต้องตายจริงๆ และยังไม่ได้ธรรมซักทีเราจะเลือกวิถีแห่งเซ็นนี้ก็ได้ ไม่ใยดีใน ความเป็น-ความตาย เพราะถูกฝึกมาในการเห็นทุกสรรพสิ่งเป็นของคู่ ตายก็ไม่ติด เป็นก็ไม่ติด

เราปฏิบัติเพื่อให้พ้นจากของคู่ มันจะเป็นอะไรก็ช่างหัวมัน จะได้ธรรมหรือไม่ได้ธรรมก็ช่างหัวมัน
           ผู้ที่ชอบอ้างว่าตนไม่มีเวลา เลิกอ้างได้แล้ว เพราะของคู่มีอยู่ทั่วไปหลับตาก็ยังเห็น
มืด  กับ   สว่าง
ผู้รู้(ใจ)  กับ   ผู้ถูกรู้(ความมืด) 
ส่วนคำถามที่ว่า   “มีความเป็นอยู่เช่นไร เพราะไม่เห็นมีคำถามคำตอบอะไรใหม่ขึ้น
ตอบ 
           ช่วงนี้ข้าพเจ้าไม่ค่อยจะเวลาว่าง มันเป็นเรื่องของสมมุติ ข้าพเจ้าก็อยู่อย่างเข้าใจ และต้องขออภัยด้วยที่ในช่วงเดือนนี้ (พฤศจิกายน2546) ข้อมูลในเว็ปบางส่วนเสียหาย ทำให้ไม่สามารถอ่านการตอบปัญหาธรรมได้ แต่ข้าพเจ้าก็ได้ทำการแก้ไขให้แล้วเสร็จ ถึงว่าจะใช้เวลานานอยู่บ้าง เนื่องจากหาเวลาว่างไม่ได้ คิดในทางกลับกันก็ถือว่าเป็นการดีเหมือนกัน เพราะทำให้ข้าพเจ้าได้มีโอกาสปรับปรุงเว็ปไปในตัว ปรับปรุงให้มันง่ายต่อการอ่าน เพราะการตอบคำถามของข้าพเจ้าสิ่งที่ข้าพเจ้าวิตกมากที่สุดก็คือตอบอย่างไรจะให้ผู้อ่านเข้าใจมากที่สุด เพราะถ้าตอบไปแล้วผู้อ่านไม่เข้าใจนั้นก็ถือว่าเป็นปัญหา ที่เป็นปัญหาก็คือหากไม่เข้าใจแล้วเฉยๆก็ไม่เป็นไร แต่ไม่เข้าใจแล้วตีความผิดนั้นจะทำให้เข้าใจธรรมผิดได้ หรือบางคนที่คิดว่าตนเข้าใจนั้นเข้าใจจริงหรือเปล่า(เข้าใจจริงหรือเข้าใจผิด เข้าใจผิดแล้วคิดว่าเข้าใจถูกอย่างนี้ก็ถือว่าเป็นปัญหา) คิดในมุมกลับเช่นนี้ก็เป็นการดีที่ได้มีโอกาสปรับปรุงเว็ป
                                                  ต้องขออภัยอีกครั้งไว้ ณ.ที่นี้ด้วย
                   ขอธรรมจงมีแด่ท่าน          

ปัญหาธรรมข้อที่36      ธรรมไม่ได้มีความแตกแยก ไม่มีสูงไม่มีต่ำ เสมอกันหมดถูกต้องหรือไม่?
                                - ธรรมที่กล่าวถึง มานะ "  สังโยชน์ กิเลสที่ละอยาก                                  
                              - " ผู้ที่กล่าวว่าตนได้ธรรม ผู้นั้นยังกล่าวไม่ถูกต้อง"

           ในความเข้าใจของตนเองที่ได้ศึกษาธรรมมาพอสมควร พอจะสรุปได้ว่าธรรมคือความเป็นหนึ่ง ไม่ว่าจะเป็นหมู หมา กา ไก่ มนุษย์ เทพ  พรหม วิญญาณในนรกหรือในที่ใดๆ ธรรมไม่มีความแตกแยก ไม่มีสูงไม่มีต่ำ เสมอกันหมดถูกต้องหรือไม่?
ตอบ ไม่ใช่
           อย่าได้ตกใจในคำตอบของข้าพเจ้า ขอให้ข้าพเจ้าอธิบายก่อน เหตุที่ข้าพเจ้าตอบว่าธรรมไม่ใช่ความเป็นหนึ่งและธรรมก็ไม่ใช่ความเสมอกัน  เพราะความเป็นหนึ่งหรือความเสมอกันนั้นยังไม่พ้นจากสังโยชน์ด้วยซ้ำ สังโยชน์ของการเปรียบเทียบ การเปรียบเทียบว่าตัวเราเองก็เป็นหนึ่งเดียวกับคนอื่นหรือตัวเราเองเป็นหนึ่งเดียวกับทุกสิ่ง การเปรียบเทียบว่าตนเสมอกับผู้อื่น ตนเสมอกับทุกสิ่งในจักรวาล
           สังโยชน์ข้อนี้มีแต่พระอรหันต์เท่านั้นที่ละได้  สังโยชน์ในการเปรียบเทียบตนเองกับผู้อื่น สังโยชน์ข้อนี้มีชื่อว่า "มานะ" 
           มานะ คือการสำคัญมั่นหมายว่าตนเป็นนั้นเป็นนี้ สำคัญว่าตนหรือผู้อื่น เป็นมนุษย์ เป็นสัตว์ เป็นเทพ สำคัญมันหมายว่า มีความแตกต่างกัน สำคัญมั่นหมายว่าทุกสิ่งเสมอกัน 
           พระอรหันต์เท่านั้นที่ละสังโยชน์ข้อ "มานะ" นี้ได้ 
           พระอรหันต์จึงไม่มีการเปรียบเทียบว่าตนต่ำว่าใคร เช่นไม่มีความรู้สึกว่า ถึงตนเองเป็นอรหันต์ แต่ตนก็ต่ำกว่าพระพุทธเจ้า อย่างนี้พระอรหันต์ท่านไม่คิด
          พระอรหันต์ไม่มีการเปรียบเทียบว่าตนเสมอเท่ากับผู้อื่น ไม่มีในความรู้สึกว่าทุกสิ่งหรือตนเสมอกับผู้อื่น ไม่รู้สึกว่าหมา หรือไก่นั้นเหมือนกัน ไม่รู้สึกว่าพระอรหันต์นั้นเสมอกับพระพุทธเจ้า ไม่รู้สึกว่าพระอรหันต์องค์นี้เสมอกับพระอรหันต์องค์นั้น
         พระอรหันต์ไม่มีเปรียบเทียบว่าตนสูงกว่าผู้อื่น ไม่มีการเปรียบเทียบว่าตนสูงกว่าสัตว์ สูงกว่าคน สูงกว่าเทพ สูงกว่าพระโสดาบัน สูงกว่าพระสกทาคามิ สูงกว่าพระอนาคามี การเปรียบเทียบว่าตนสูงกว่าผู้อื่นนั้นพระอรหันต์ไม่มี 
ธรรมไม่มีการเปรียบเทียบ
ไม่มีการเปรียบเทียบว่า ต่ำกว่า
......
ไม่มีการเปรียบเทียบว่า เสมอกัน
.....
ไม่มีการเปรียบเทียบว่า สูงกว่า
        แต่ที่เราๆ ท่านๆ เคยศึกษาธรรม เคยได้อ่าน เคยได้ยินว่าครูอาจารย์ พระต่างๆ ได้กล่าวไว้ว่าธรรมนั้นคือความเป็นหนึ่ง ธรรมคือความเสมอกันหมด การที่ท่านกล่าวเช่นนี้ขอให้ท่านเข้าใจว่ามีทั้งสองกรณี คือ
กรณีที่หนึ่ง  
          - กล่าวเพราะยังมีมานะ 
กรณีที่สอง 
          - กล่าวโดยไม่มีมานะ  แต่ที่กล่าวเช่นนั้นเพราะต้องอาศัยสมมุติของภาษาทางโลก เพราะถ้าเป็นธรรมจริงไม่ต้องกล่าวอะไร แต่ถ้าไม่กล่าวก็ไม่เข้าใจ เพื่อให้เข้าใจก็ต้องกล่าว กล่าวเพื่อสอน เมื่อกล่าวก็ต้องอาศัยสมมุติ
สภาวะแห่งธรรมนั้น
           ไม่มีคำกล่าวว่า ดวงจันทร์ต่างจากดวงอาทิตย์
           ไม่มีคำกล่าวว่า ดวงจันทร์เหมือนกับดวงอาทิตย์
           ไม่มีคำกล่าวว่าสิ่งใดต่างกับสิ่งใด
           ไม่คำกล่าวว่าสิ่งใดเหมือนกับสิ่งใด

ดังที่เคยกล่าวไว้ในข้างต้นว่า
         
มีแต่...ไม่มี        ไม่มี...แต่มี      
 :: อ่านแล้วก็อาจจะงง เพราะอ่านแล้วก็ไม่รู้ว่ามีหรือไม่มี
          ธรรมนั้นไม่มีอะไรเหมือนกับอะไร
          ธรรมนั้นไม่มีอะไรต่างจากอะไร

หากจะกล่าวถึงความเป็นหนึ่งแห่งธรรมควรกล่าวว่า
เหมือน...แต่ไม่เหมือน              ไม่เหมือน...แต่เหมือน
เป็นหนึ่ง...แต่ไม่เป็นหนึ่ง        ไม่เป็นหนึ่ง...แต่เป็นหนึ่ง

:: อ่านแล้วก็อาจจะงง เพราะอ่านแล้วก็ไม่เข้าใจว่าสรุปแล้วมันคืออะไร เนื่องจากในประโยคที่อธิบายธรรม "มีทั้งการยอมรับและปฏิเสธ มีทั้งการปฏิเสธและการยอมรับ" อยู่ในประโยคเดียวกัน จะอธิบายธรรมโดยใช้สมมุติอย่างไรก็แล้วแต่ แต่สุดท้ายของการอธิบายควรจะจบการอธิบายธรรมเช่นนี้ซึ่ง "มีทั้งการยอมรับและปฏิเสธ มีทั้งการปฏิเสธและการยอมรับ" อยู่ในประโยคเดียวกัน เพราะธรรมแท้เป็นเช่นนั้นจริงๆ
          เมื่อกล่าวถึง "มานะ"  ก็ให้คิดถึงพระอาจารย์ เพราะครั้งสุดท้ายที่ข้าพเจ้าได้ไปกราบท่านพระอาจารย์ ท่านพระอาจารย์ได้ให้โอวาทแต่ข้าพเจ้าและศิษย์คนอื่นว่า 
         "สุดท้ายนี้ก็ขอให้ทุกคนละมานะนี้ให้ได้"
          เหตุที่พระอาจารย์ให้โอวาทเรื่องมานะ เนื่องด้วยมีศิษย์บางท่านมีมานะแรง แม้แต่ครูอาจารย์ก็ถูกนำไปเปรียบเทียบเพื่อทำตนให้สูงกว่าครูอาจารย์ด้วยกิเกสของตน ท่านอาจารย์เห็นว่ามันไปในทางเป็นโทษ ท่านจึงได้เตือน
          ครั้งสุดท้ายที่ข้าพเจ้าได้ฟังโอวาทจากพระอาจารย์ ท่านก็เน้นเรื่องมานะนี้ เพราะมีศิษย์บางคนที่มีศรัทธาต่อพระอาจารย์อย่างแรงกล้า สุดท้ายก็เปลี่ยนไป เพราะตัว "มานะ" นี้เอง ศิษย์ของพระอาจารย์บางคนที่ข้าพเจ้าให้ความเคารพก็ยังถูกตัว "มานะ " รบกวน บางคนถึงกับเปลี่ยนศาสนาไปเลยก็มี บางคนก็ตั้งตนเป็นครูอาจารย์ซะเองก็มี เพราะตัว "มานะ" นี้เองมันทำให้คนดีๆกลายเป็นคนที่ไม่รู้จักบุญคุณของครูบาอาจารย์ก็มี
          นี้ มานะ ร้ายกาจอย่างนี้ มันละยากมาก ที่ยกตัวอย่างมานี้เพื่อให้เห็นโทษของมานะอย่างชัดเจน จะได้ระวังตัวไว้ว่าอย่าให้มานะทำให้เราหลงทางได้ 
         เราเป็นคนธรรมดาไม่ใช่พระอรหันต์เรายังละมานะไม่ได้ แต่ก็ขอให้รู้เท่าทันความคิดของตนเองในเรื่องมานะว่าเราทำเพื่อเพิ่มมานะหรือเปล่า ที่มีอย่างธรรมดามันก็ละยากอยู่แล้ว หากไปเพิ่มมันอีก มันจะทำให้เรากลายเป็นพระเทวทัตไปได้ ถึงขนาดตั้งตนเป็นครูอาจารย์ซะเอง
          การปฏิบัติธรรมแล้วทำให้เกิดมานะได้นั้นก็เนื่องจากปฏิบัติธรรมไปแล้วได้สภาวะอะไรขึ้นมา การได้สภาวะแล้วทำให้เรามี "มานะ " ขึ้นได้ เช่นรู้สึกว่าตนได้สภาวะอะไร บาง               อย่างที่เหนือกว่าผู้อื่น ตนสูงกว่าผู้อื่น อย่างนี้ก็ถือว่าเป็น "มานะ"  อย่างนี้ก็ถือได้ว่ากำลังผิดทาง กำลังทำให้ทางเดินแห่งธรรมเสียเวลาไปเปล่าๆ  ไม่เปล่าธรรมดาถือว่าเป็นโทษมากพอดู
          การปฏิบัติธรรมที่ถูกต้องนั้นผู้ปฏิบัติธรรมจะไม่รู้สึกว่าตนได้อะไรทั้งสิ้น ไม่ว่าจะอะไรต่ออะไร ไม่ว่าจะเป็นสมาธิขั้นสูง ไม่ว่าจะเป็นสภาวธรรม ขั้นใดก็แล้วแต่  ไม่ว่าจะได้ดวงตาเห็นธรรม ไม่ว่าจะสภาวะโสดา สภาวะสกทาคามิ สภาวะอนาคามี สภาวะอรหันต์ สภาวะเหล่านี้ไม่มีใครได้อะไรทั้งนั้น ทำไมถึงได้กล่าวเช่นนั้น ที่กล่าวเช่นนั้นเพราะว่าสภาวะเดิมของเราทุกคนเป็นจิตเดิมแท้อยู่แล้ว เราทุกคนมีความเป็นอรหันต์อยู่ในตัวอยู่แล้ว 
          เมื่อเรามีสภาวะเป็นอรหันต์ เราไม่ได้อะไรเพิ่มเติมจากที่เราเคยมีแม้แต่น้อย เพราะจิตเดิมแท้ของเราก็เป็นอรหันต์อยู่แล้ว เพียงแต่เรามี่อวิชชามาครอบงำเท่านั้น ฉะนั้นจึงกล่าวได้ว่าได้สภาวะสูงสุดเป็นอรหันต์เราก็ยังไม่ได้อะไรเลย ให้คิดเช่นนี้จะลดมานะได้ไม่มากก็น้อย
          ผู้ที่ปฏิบัติแล้วบอกว่าได้สิ่งนั้น สิ่งนี้ ได้สภาวะนั้น สภาวะนี้ อย่างนี้ไม่ถือว่าธรรม เพราะธรรมไม่มีใครได้อะไรเลย จะกล่าวว่าได้มาไม่ถูกต้อง มันมีอยู่ในทุกคนอยู่แล้ว แล้วเหตุใดจึงมากล่าวอ้างว่าตนได้สิ่งนั้นๆมา 
                    " ผู้ที่กล่าวว่าตนได้ธรรม ผู้นั้นยังกล่าวไม่ถูกต้อง "
                                    ขอธรรมจงมีแด่ท่าน     


ปัญหาธรรมข้อที่37       ดิฉันมีคำถามอยากจะทราบดังนี้
          1. ถ้าอยากบรรลุธรรมควรทำอย่างไร...ดิฉันมีศรัทธา..จึงพยายามสวดมนต์และทำบุญตามอัตภาพ..
          2.เวลานั่งสมาธิแล้วจะเจอพวกมารมารังควาน จริงหรือไม่ ถ้าจริงมีวิธีแก้ไขอย่างไร ดิฉันเลยไม่กล้านั่งสมาธิ พยายามกำหนดลมหายใจเข้า-ออก แต่จิตชอบฟุ้งซ่าน และไม่แน่ใจว่าเวลากำหนดอย่างที่ทำแล้วคนอื่นๆจะรู้สึกแบบเดียวกันมั๊ย
          3.ตนเองรู้สึกศรัทธาและมีความมุ่งมั่นที่จะไปสู่นิพพานให้ได้สักชาติหนึ่ง เพราะรู้ว่ากิเลศต่างๆคือทุกข์ และการดับทุกข์ก็คือนิพพานหยุดการเวียนว่ายตายเกิด จริงหรือไม่
          4.ดิฉันเข้าใจว่า จิตไม่ตาย และ ความตายไม่น่ากลัวอย่างที่คิด เพราะ ตายแล้วก็ต้องกลับมาเวียนว่ายตายเกิดอีกครั้ง และการที่คนเศร้าโศกเสียใจกับญาติมิตรที่ตายไปก็เพราะคิดว่าจะต้องจากกันชั่วนิรันดร  ซึ่งไม่จริงเสมอไปใช่ไหมคะเพราะ ผู้ที่มีกรรมต่อกัน..ไม่ว่ากรรมดีหรือกรรมชั่วก็จะต้องกลับมาพบกันอีก แต่จะต่างสถานะกันเท่านั้น
           ขอบคุณที่ตอบคะ
ตอบ
          ก่อนอื่นข้าพเจ้าต้องขออภัยเป็นอย่างมากที่ตอบ mail ช้ามากเหตุเนื่องจากปัจจุบันนี้ข้าพเจ้าได้พักการเรียนไว้เพราะตัวข้าพเจ้าเองต้องหาเงินใช้เองและส่งให้ที่บ้านด้วย งานที่ข้าพเจ้าทำในช่วงที่ผ่านมาข้าพเจ้าจะใช้ชีวิตอยู่บนรถยนต์เป็นส่วนใหญ่  ต้องเดินทางอยู่ทุกวัน ไม่ค่อยได้มีโอกาสได้เล่น internet  แต่ตอนนี้ข้าพเจ้าพอมีเวลาได้เปิด e-mail  ข้าพเจ้าจะกลับมาตอบ e-mail เหมือนเดิม   ต้องขออภัยอีกครั้งหนึ่ง
         และต้องขออภัยหากมี e-mail ฉบับใดที่ข้าพเจ้ายังมิได้ตอบซึ่งอาจเกิดจากมีปัญหาขัดข้องทาง e-mail ขอให้ส่งคำถามมาอีกครั้งหนึ่งข้าพเจ้าจะรีบตอบให้โดยเร็ว
คำถามที่ 1
  ถ้าอยากบรรลุธรรมควรทำอย่างไร...ดิฉันมีศรัทธา..จึงพยายามสวดมนต์และทำบุญตามอัตตภาพ
ตอบ
          สิ่งที่คุณทำมาถูกต้องแล้วครับ การทำบุญจะช่วยให้เรามีจิตใจที่เป็นกุศล ไม่เศร้าหมอง การที่คุณมีศรัทธาจะทำให้คุณเข้าใจธรรมได้ง่ายขึ้นหากได้ฟังธรรม(หรือความรู้ทางธรรม จากธรรมที่เป็นธรรมแท้) อีกอย่างที่คุณควรมีก็คือศีล อย่างน้อยก็ควรมีศีลห้า  เพราะจะได้ช่วยเป็นเกราะให้คุณดำรงจิตใจที่เป็นบุญกุศลนั้นไว้   การที่จะบรรลุธรรมนั้นมีอยู่อย่างเดียวก็การปล่อยวางมันให้ได้   แต่การที่จะปล่อยมันได้นั้นมีหลายหนทาง  บางครูบาร์อาจารย์ท่านก็สอนให้ปล่อยเลยทันที ฝึกปล่อยไปให้เป็นปกติแล้วในที่สุดก็จะปล่อยวางได้จริง บางครูบาร์อาจารย์ก็สอนให้เห็นทุกข์จนปล่อยวางได้  บางท่านก็สอนให้ทำสมาธิอาศัยกำลังสมาธิแล้วเจริญวิปัสสนา   บางครูบาร์อาจารย์ไม่ให้ทำอะไรเลย ให้ทำตัวปรกติและก็ฟังธรรมจากท่านเพียงอย่างเดียวจนเกิดปัญญาและสามารถปล่อยวางได้
        แต่ทางที่พระพุทธเจ้าทรงรับรองด้วยตัวของพระองค์เองว่าหากผู้ได้ต้องการบรรลุธรรมให้ปฎิบัติทางนี้ภายใน 7 วัน  หรือ  7 สัปดาห์ หรือ 7 เดือน  หรือ  7  ปี รับรองว่าจะต้องบรรลุธรรมอย่างแน่นอน  ทางอันเอกนี้ได้ชื่อว่า "มหาสติปัฏฐานสี่" ตัวข้าพเจ้าเคยสนทนาธรรมกับคุณยายท่านหนึ่ง  ท่านได้เล่าให้ฟังว่า ท่านไปปฏิบัติธรรมที่วัดบริเวณละแวกบ้านของท่าน และก็มีพระมาสอนการเจริญสติให้ท่าน  พระท่านสอนอะไรคุณยายท่านก็ทำตาม ท่านบอกว่าท่านมีความศรัทธาในองค์พระพุทธเจ้า  ท่านเชื่อว่าอะไรก็แล้วแต่ที่พระพุทธเจ้าสอนท่านว่าดีทั้งนั้น และนี้พระท่านก็เอาสิ่งที่พระพุทธเจ้ารับรองว่าดีอย่างทางมหาสติปัฏฐานสี่มาสอน ท่านก็คิดว่ามันต้องดีแน่นอน ท่านจึงดีใจที่มีคนมาสอนให้ ท่านบอกว่าไม่คิดว่าจะมีพระมาสอนให้ เพราะวัดละแวกบ้านของท่านก็เป็นวัดธรรมดา  เมื่อมีคนมาสอนให้ท่าน ท่านจึงเอามัน  พระสอนยายก็ทำตาม  กลับมาบ้านก็ยังทำ ทำกับข้าวยกมือก็กำหนดรู้  เดินยายก็กำหนดรู้  จะกินจะทำอะไรยายก็กำหนดรู้   ท่านเล่าว่าพอท่านทำไปได้ประมาณ  15  วัน  ในขณะที่ยายกำลังถางหญ้าในสวนยายก็กำหนดรู้ จะยกจอบยายก็กำหนดรู้ ขณะที่ยกจอบถางหญ้าอยู่นั้นจิตแก่ก็ว๊าบขึ้น  แล้วก็เข้าใจในอะไรบางอย่าง  
       เมื่อเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ยายก็เอาเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นไปเล่าให้พระที่สอนให้ยายฟัง  พระองค์นั้นก็ตอบแก่ไม่ได้ว่ามันคืออะไร   ไปถามใครก็ไม่มีใครตอบแกได้ จนวันเวลาผ่านมาได้ 20 ปี  ข้าพเจ้าได้มีโอกาสพบกับยายเป็นครั้งแรก ข้าพเจ้าเจอแก ข้าพเจ้าก็เห็นแกเป็นตากับยายคู่หนึ่งที่ชอบไปวัด ตกเย็นก็สวดมนต์ก่อนนอนเป็นเรื่องธรรมดา เพราะคนแก่ส่วนใหญ่ก็ทำอย่างนี้กันทั้งนั้น   ข้าพเจ้าไม่เคยสนทนาธรรมอะไรกับแก  ไปหาแกก็ไปรบกวนแกอยู่เป็นประจำ ไปขอผลไม้แกกินเป็นประจำ  จะไปหาแกปีละสองสามครั้งเพื่อไปขอผลละไม้แกกิน  ทั้งที่จริงแล้วข้าพเจ้าจะไปหาแกทุกวันก็ได้เพราะบ้านแกอยู่หากประมาณห้ากิโลเท่านั้น  แต่ข้าพเจ้าจะไปหาแกเฉพาะหน้าผลไม้เท่านั้น แกก็ใจดี ขึ้นไปปีนเก็บผลให้จนเอากลับไปบ้านไม่ไหว
         และก็อยู่มาวันหนึ่งข้าพเจ้าก็ไปหาแกโดยมีคนใช้ให้เอาของไปให้แก  แกก็ถามข้าพเจ้าว่าหายไปไหนมาต้องนาน    ข้าพเจ้าบอกแกว่าไปบวชมา ยาย   แกแค่ได้ยินข้าพเจ้าพูดว่าไปบวชมาเท่านั้นละ แกก็ยกมือท่วมหัวสาธุใหญ่เลย  แก่ก็ถามว่าแล้วเป็นอย่างไรบางละ  ข้าพเจ้าก็เล่าให้แกฟัง   ข้าพเจ้าเล่าถึงธรรมชาติของจิตที่หลงผิดเป็นตัวเป็นตนขึ้นมา    แกก็ดีใจที่ได้ฟัง ยกมือสาธุ  และจากนั้นแกก็เล่าเรื่องของแก่ใหข้าพเจ้าฟัง(เรื่องที่ข้าพเจ้าได้เขียนไว้ข้างบน)  พอข้าพเจ้าได้ฟังถึงตอนที่แกเจริญสติขณะใช้จอบถางหญ้าแล้วจิตว๊าบขึ้น    ข้าพเจ้าก็ยกมือสาธุ     "ดีแล้วแม่" (ผมเรียกแกว่าแม่)   แกเห็นผมสาธุแกก็ดีใจ     แกบอกดีใจที่ได้คุยกันในวันนี้เพราะแกหาคำตอบมา 20 กว่าปีก็ไม่มีใครตอบแกได้ พึ่งมาเข้าใจวันนี้  ครูอาจารย์ที่สอนแกก็ตอบแกไม่ได้  ข้าพเจ้าบอกแกว่า แกมาเกินที่ครูบาร์อาจารย์ของแกจะเข้าตอบได้  ในตอนนั้นข้าพเจ้ารู้แล้วว่าแกบรรลุธรรมแต่ข้าพเจ้าไม่ได้บอกแก บอกแกแต่ว่าให้ไปถามกับอาจารย์ของข้าพเจ้า  แต่ดูเหมือนแกจะได้คำตอบจากที่แกสนทนาธรรมกับข้าพเจ้าแล้ว
           ถึงผมจะไม่ได้บอกแกว่าสิ่งที่เกิดขึ้นกับแก่นั้นละคือมรรคคือธรรมก็ตาม และแก่เล่าให้ผมฝังต่อว่าแกพึ่งละอารมณ์หยาบได้เมื่อสองปีก่อนปัจจุบันใครว่าอะไรแก่ไม่รู้สึกโกรธ  จากวันที่ผมได้สนทนาธรรมกับแกครั้งนั้นเพียงครั้งเดียวผ่านไปได้หนึ่งเดือนแกก็เสียชีวิต  ผมยังนึกเสียดายที่ได้สนทนาธรรมกับแกเพียงครั้งเดียว งานศพแกผมก็ได้ไป ลูกแกก็เสียใจ คนไปงานศพอวยพรให้แกไปดี  ผมยังคิดในใจเลยว่า ไม่รู้ว่าใครควรจะให้พรใครกันแน่ ยายควรจะให้พรพวกเรามากกว่า  ลูกแกเอาศพของยายไว้ที่บ้าน ตอนนั้นสมาธิของยังพอมีอยู่บ้างมองไปที่บ้านแกสว่างเห็นแต่ใกล้  เทวดาเต็มบ้านแกไปหมด   
        ผมอยากจะแนะนำให้ไปหาหนังสือซักเล่มหนึ่งอ่าน เป็นหนังสือของบุคคลท่านหนึ่ง ท่านเคยเป็นครูแล้วต้องมาพิการ ร่างกายจากไหล่ลงมาเคลื่อนไหวไม่ได้เป็นเช่นนั้นอยู่เป็นนับสิบปีพอของเขาเอาหนังสือธรรมมาให้อ่าน เขาก็ทำตามโดยได้รับคำชีแนะจากพระรูปหนึ่งสอนให้กำหนดรู้  เนื่องจากเขาพิการแต่ก็พยายาม เขาทำได้แค่ยกนิ้วขึ้นและกำหนดรู้ ยกนิ้วลงก็กำหนดรู้ เขาก็ทำของเขาได้แค่ยกนิ้วยกมือแค่นั้นโดยกำหนดรู้ เข้าก็ปฏิบัติธรรมเพื่อความพ้นทุกได้ หนังสือของเขาผมพึ่งซื้อมาเมื่อคืน(22มิ.ย.47) ยังไม่ได้อ่านเลย แต่ที่รู้เพราะเคยเห็นเขาออก T.V.ช่อง 5 รายการเจาะใจ เมื่อหลายเดือนก่อน เขาก็เล่าให้ฟังในรายการว่าทุกข์เพราะพิการนับสิบปี สุดท้ายก็พบทางพ้นทุกข์ด้วยการกระดิกนิ้ว  หนังสือเล่มนี้มีชื่อว่า “จิตสนใส แม้ใจพิการ”  ปัจจุบันท่านผู้นี้ช่วยสอนธรรมให้แก่บุคคลผู้สนใจปฏิบัติ ผมคิดว่าหากผู้สนใจธรรมน่าจะไปหาหนังสือเล่มนี้มาอ่านนะครับ เพื่อเป็นกำลังใจให้ตัวเองด้วย จะได้มีกำลังใจว่าเราร่างกายปรกติก็น่าจะทำได้
คำถามที่ 2
          เวลานั่งสมาธิแล้วจะเจอพวกมารมารังควาน จริงหรือไม่ ถ้าจริงมีวิธีแก้ไขอย่างไร..ดิฉันเลยไม่กล้านั่งสมาธิ..พยายามกำหนดลมหายใจเข้า-ออก..แต่จิตชอบฟุ้งซ่าน..และไม่แน่ใจว่าเวลากำหนดอย่างที่ทำแล้วคนอื่นๆจะรู้สึกแบบเดียวกันมั๊ย
ตอบ
          สิ่งที่เรากลัวส่วนใหญ่เราสร้างขึ้นเอง ข้าพเจ้าก็เคยเป็นตอนเด็กๆ ข้าพเจ้านั่งสมาธิจนจิตเข้าไปสู่ระดับหนึ่ง ข้าพเจ้านำเรื่องดังกล่าวไปเล่าให้เพื่อนฟัง  เพื่อนก็นำไปเล่าให้แก่แม่ของเขาฟัง วันต่อก็มาเขาก็มาบอกข้าพเจ้าว่า “แม่กูบอกว่าอย่าไปนั่งสมาธินะโว้ยมันจะมีมารมารังควาน”  จากวันนั้นมาข้าพเจ้าก็นั่งสมาธิไม่ได้เลย  นั่งแล้วก็คิดไปว่ามารจะมา  นี้ถ้าผมไม่เล่าให้เพื่อนฟังก็คงจะนั่งสมาธิได้อย่างสบาย  คำบอกของแม่เพื่อนทำให้เราสร้างอะไรขึ้นมาให้กลัวไปต่างๆนาๆ เช่นนั่งแล้วรู้สึกว่ามีคนเดินอยู่รอบๆบ้างละ ได้ยินแสงอะไรบ้างละ สร้างขึ้นเองทั้งนั้น  ทั้งที่จริงแล้วส่วนใหญ่หากมีคนนั่งสมาธิจะมีเทวดาลงมาคุ้มครอง เพราะเทวดาบางพวกทำหน้าที่รักษาคนปฏิบัติธรรม  นี้เรื่องจริงมันเป็นอย่างนี้ ให้เราคิดอะไรไปในเชิงบวกบ้าง   ไม่ต้องไปกลัวอะไร ยิงถ้าเราสวดมนต์ก่อนทำสมาธิทุกครั้งเทพเทวดาท่านก็ได้ยิน เห็นว่าเราเป็นคนดีเขายอมมาคุ้มครอง ไม่ต้องกลัวนะ “ธรรมย่อมรักษาผู้ปฏิบัติธรรม”  
คำถามที่ 3
          ตนเองรู้สึกศรัทธาและมีความมุ่งมั่นที่จะไปสู่นิพพานให้ได้สักชาติหนึ่งเพราะรู้ว่ากิเลศต่างๆคือทุกข์ และการดับทุกข์ก็คือนิพพานหยุดการเวียนว่ายตายเกิด จริงหรือไม่
ตอบ 
          นิพานคือสภาวะที่ไม่มีตัวเราไม่มีจิตเราแล้ว  จึงไม่มีอะไรที่จะเป็นเราหลงเหลืออยู่ เราจึงไม่มีอะไรให้สืบเนื่องกลับมาเกิดอีก เพราะความเป็นเรานั้นไม่มีแล้ว
คำถามที่ 4
          ดิฉันเข้าใจว่า จิตไม่ตาย และ ความตายไม่น่ากลัวอย่างที่คิด เพราะตายแล้วก็ต้องกลับมาเวียนว่ายตายเกิดอีกครั้ง และการที่คนเศร้าโสกเสียใจกับญาติมิตรที่ตายไปก็เพราะคิดว่าจะต้องจากกันชั่วนิรันดร์ ซึ่งไม่จริงเสมอไปใช่ไหมคะ  เพราะ ผู้ที่มีกรรมต่อกัน ไม่ว่ากรรมดีหรือกรรมชั่วก็จะต้องกลับมาพบกันอีก แต่จะต่างสถานะกันเท่านั้น
ตอบ
          ครับเป็นอย่างที่คุณเข้าใจถูกแล้วครับ
คำถามที่ 5
        พรหมลิขิต..เกิดจากตัวเราเองเป็นผู้ลิขิตชะตาชีวิตของ
ตนเองใช่หรือไม่...ลิขิตที่จะทำกรรมดี หรือทำกรรมชั่ว..ซึ่งกรรมนี้ก็จะส่งผลต่อชะตาชีวิตของตนเองทั้งในชาตินี้หรือชาติหน้า...
ตอบ
          ครับ  ถูกต้องครับ  มันอยู่ที่กรรมดี กรรมไม่ดี และกรรมที่เราทำผูกพันไว้กับผู้อื่น ผู้อื่นอาจเป็นตนหรือไม่ใช่คนก็ได้ที่มีการกระทำรวมกันมา รวมกันทั้งกรรมใหม่และกรรมเก่า
         ขอขอบคุณสำหรับคำถาม   
            ขอธรรมจงมีแด่ท่าน          

ปัญหาธรรมข้อที่38    สงสัยว่าเป็นไปได้ด้วยหรือที่ผู้บรรลุธรรม แต่ไม่รู้ว่าตนบรรลุธรรม
          จากปัญหาธรรมข้อที่37 ได้อ่านแล้วรู้สึกเป็นกำลังใจในการปฏิบัติธรรมเป็นอย่างมาก  อยากให้คุณนำเรื่องอย่างนี้มาลงใน web อีก คิดว่าคุณน่าจะได้พบผู้มีดวงตาเห็นธรรมหลายคนและท่านเหล่านั้นคงมีประสบการณ์การเข้าถึงธรรมที่แตกต่างกัน อยากให้คุณนำประสบการณ์ของท่านเหล่านั้นมาเขียนลง web เพื่อเป็นกรณีศึกษา
          จากปัญหาธรรมข้อที่37 ได้อ่านแล้วก็ยังสงสัยว่าเป็นไปได้ด้วยหรือคะที่ผู้บรรลุธรรมเมื่อบรรลุธรรมแล้วไม่รู้ว่าตนบรรลุธรรม ต้องขออภัยนะคะไม่ได้มีเจตนาจะล่วงเกินแต่ที่สงสัยเพราะตนเองมีความรู้เรื่องธรรมน้อยนิด
ตอบ
          การที่บุคคลตนหนึ่งบรรลุธรรมแล้วไม่ทราบว่าตนบรรลุธรรมนั้นเป็นไปได้หรือไม่ ก่อนอื่นต้องขอกล่าวก่อนว่าในขณะเมื่อบรรลุธรรมนั้น บุคคลผู้นั้นย่อมทราบดีว่าตนบรรลุธรรมชาติเดิมแท้ของธรรมชาติ  ทราบ...ย่อมทราบแน่ว่าตนบรรลุธรรม แต่ที่ไม่ทราบนั้นคือไม่ทราบว่าตนเป็นอริยบุคคล เพราะในขณะบรรลุธรรมนั้นไม่มีอะไรมาบอกว่า “นี้คุณ_คุณรู้ไหมว่าคุณเป็นพระโสดาบันแล้ว” อย่างนี้ไม่มี  ไม่มีเครื่องหมายใดหรือเสียงใดมาบอกกล่าวว่าตนเป็นอริยบุคคล  ตัวอย่างเช่นบุคคลนั้นบรรลุธรรมเป็นพระโสดาบันก็ไม่มีเครื่องหมายใดหรือเสียงใดที่ก้องมาบอกว่าบุคคลนั้นเป็นโสดาบันถือว่าเป็นเรื่องปรกติธรรมดา แต่หากผู้ใดบอกว่าปฏิบัติธรรมแล้วบอกว่าตนบรรลุเป็นอริยบุคคลเป็นพระโสดาบันอย่างนี้ถือว่าแปลก และแปลกมากๆด้วย ถ้าพบแบบนี้อย่าพึ่งไปเชื่อว่าเขาเป็นอริยบุคคล เพราะอาจจะปฏิบัติผิดทางที่เข้าไปเห็นธรรม เข้าไปเห็นนิพพาน เข้าไปรับรู้ว่าตนเป็นอริยบุคคล อย่างนี้ถือว่าปฏิบัติผิด
          แม้แต่พระอรหันต์เมื่อท่านละกิเลสทำลายอวิขชาให้สิ้นไปได้ก็ไม่มีเครื่องหมายใดและก็ไม่มีเสียงที่ก้องมาจากที่ใดที่บอกให้ท่านรู้ว่าท่านเป็นพระอรหันต์แล้ว
        - แล้วพระอรหันต์ขณะบรรลุอรหันต์ทราบอะไรบ้างละ?
          * สิ่งที่ท่านทราบในขณะบรรลุอรหันต์มีเพียงสิ่งเดียวนั้นคือท่านทราบว่า “กิจเสร็จสิ้นแล้ว กิจอื่นที่ควรทำต่อจากนี้ไม่มีอีกแล้ว” นี้_นี้สิ่งที่เกิดขึ้นกับท่านเป็นเช่นนี้ สำหรับท่านมันเป็นอย่างนี้เท่านั้น และท่านก็ไม่ได้ใส่ใจว่าตัวท่านเองจะเป็นอรหันต์หรือไม่เป็นอรหันต์ ท่านไม่ใส่ใจ ไม่สนใจว่าใครจะยอมรับท่านหรือเรียกท่านว่าเป็นอรหันต์หรือไม่ก็ตาม ท่านไม่ใส่ใจ เพราะกิจของท่านสิ้นสุดแล้ว กิจอื่นต่อจากนี้ก็ไม่มีแล้ว
        - อ้าวแล้วอย่างนี้คำว่าอรหันต์เกิดขึ้นได้อย่างไร ?
     * คำว่า “อรหันต์” ใช้เรียกบุคคลที่ทำกิจของตนให้เสร็จสิ้นได้แล้ว กิจอื่นของตนไม่มีอีกแล้ว ......ถ้าบุคคลใดทำอย่างนี้ได้เราเรียกว่า  “อรหันต์
          ในสภาวธรรมนั้นไม่มีใครบรรลุอรหันต์ทั้งนั้น ให้เข้าใจเสียใหม่ว่าในโลกนี้หรือในสามภพนี้ ในอนันตจักรวาลนี้ ไม่มีใครเป็นอรหันต์และก็ไม่มีพระพุทธเจ้าและพระสาวกองค์ใดเป็นอรหันต์ มีแต่พระพุทธเจ้าและพระสาวกที่ทำกิจของตนเสร็จสิ้นได้เท่านั้น และเราใช้คำว่า “อรหันต์” คำที่เป็นสมมุติใช้เรียกสมมุติแก่ผู้ที่ทำกิจของตนให้สิ้นได้ว่าบรรลุอรหันต์
          เฉกเช่นเดียวกัน อริยะขั้นต่ำลงไปท่านทราบว่าธรรมชาติเดิมแท้คืออะไร แต่ไม่มีเครื่องหมายใดและเสียงใดก้องมาบอกท่านว่าท่านเป็นอริยบุคคล 
          ตัวอย่างเช่นคุณยายในปัญหาธรรมข้อที่37 ในขณะที่คุณยายจิตหลุดออกจากขันธ์ห้ามีดวงตาเห็นธรรมก็ไม่มีเครื่องหมายใดหรือเสียงใดก้องมาบอกว่า “นี้คุณยาย คุณยายบรรลุโสดาบันแล้วนะ” ...อย่างนี้ก็ไม่มี
      - แล้วคุณยายทราบอะไรบ้างละ
* สิ่งที่คุณยายทราบก็คือ
    1.ทราบว่าธรรมชาติเดิมแท้ของคุณยายคืออะไร
    2.ทราบว่าธรรมคืออะไร
    3.ทราบว่าปฏิบัติเช่นไรจึงจะถูกต้อง จึงจะพ้นทุกข์
          นี้คุณยายทราบเท่านี้ แต่ไม่ทราบว่าตนเป็นโสดาบัน ไม่ทราบว่าตนจะกลับมาเกิดอย่างมากเพียง 7 ชาติ อันนี้คุณยายไม่ทราบ
   - หากจะถามว่า_ข้าพเจ้าทราบได้อย่างไรว่าคุณยายเป็นอริยบุคคลแล้ว?
   * ทราบเพราะ 3 ข้อที่คุณยายละได้นั้นมันก็คือสังโยชน์ 3 นั้นเอง
     1.   คุณยายทราบว่าธรรมชาติเดิมแท้ของคุณยายคืออะไรนั้นคือคุณยายละสังโยชน์   “สักกายทิฏฐิ” (ความเห็นว่าเป็นตัวเป็นตน เช่นเห็นรูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ว่าเป็นตัว เป็นตนลงได้
2.  คุณยายทราบว่าธรรมคืออะไร นั้นคือคุณยายละสังโยชน์  “วิจิตกิจฉา(ความสงสัย ความลังเล ไม่แน่ใจ ว่าอะไรคือธรรม อะไรคือสิ่งที่เป็นจริง) ลงได้
3.   คุณยายทราบว่าปฏิบัติเช่นไรจึงจะถูกต้อง จึงจะพ้นทุกข์  นั้นคือคุณยายละสังโยชน์ “สีลัพพตปรามาส” (ความถือมั่นในศีลพรต ในข้อปฏิบัติ โดยสักแต่ว่าทำตามกันมาอย่างงมงาย หรือโดยนิยมว่าขลังหรือศักดิ์สิทธิ์) ลงได้
          นี้_มันเป็นอย่างนี้ และพระพุทธเจ้าทรงเรียกบุคคลที่ละสังโยชน์ 3 ข้อนี้ได้ว่า “โสดาบัน” (โสดาบันหมายถึงผู้แรกเห็น)
          ที่ข้าพเจ้าทราบว่าคุณยายมีดวงตาเห็นธรรมเพราะการที่คุณยายละสังโยชน์ได้ หากจะสงสัยต่อไปว่าแล้วทำไมตัวคุณยายถึงไม่รู้ว่าตนเองเป็นอริยบุคคล อันนี้ก็พอจะตอบได้เพราะว่าคุณยายไม่รู้เรื่องสังโยชน์ อย่างตัวข้าพเจ้าถึงศึกษาธรรมมาก่อนบวช(เท่าที่หาอ่านได้ถึงแปดปี) ก็ยังไม่รู้ว่าบรรลุธรรมคืออะไร อะไรเรียกว่าอริยบุคคล ข้าพเจ้าได้อ่านเรื่องสังโยชน์ก่อนบวชเพียง 2 เดือนเท่านั้น  .....อย่างคนทั่วๆไปก็คงไม่เคยได้ยินไม่เคยได้รู้ด้วยซ้ำกับคำว่า "สังโยชน์" ... สำหรับกรณีคุณยายจึงไม่แปลกอะไรเลย  ที่ไม่รู้ตัวว่าตนเป็นอริยบุคคล ข้าพเจ้ารู้ได้ก็จากสังโยชน์ แต่ข้าพเจ้าก็ไม่ได้บอกคุณยายว่าท่านเป็นอริยบุคคล แต่ได้แนะนำให้ไปถามกับพระอาจารย์ของข้าพเจ้าว่าสิ่งนั้นมันคืออะไร แต่คุณยายก็ไม่มีโอกาส คุณยายเสียไปซะก่อน แต่ถึงไม่มีคนบอกท่าน ท่านก็ทราบดีว่าสภาวธรรมคืออะไร ไม่จำเป็นต้องมีอะไรไปรับรอง ถึงจะไม่มีอะไรรับรอง ธรรมก็ได้แก่ตัวท่านแล้ว
          ผู้ที่เป็นอริยบุคคลถึงแม้จะไม่รู้ว่าตนเป็นอริยบุคคลแล้วก็ตาม แต่ธรรมที่เข้าใจนั้นเป็นของจริงจึงทราบแล้วว่าอะไรคืออะไร ใครหรือครูบาร์อาจารย์ที่ไหนมาสอนหากเอาของไม่จริงมาสอน อริยบุคคลผู้นั้นก็จะทราบว่าเป็นของไม่จริง เพราะว่าตนนั้นเข้าถึงของจริงแล้ว
          อริยะเป็นเช่นนี้ คำว่าอริยะเจ้า” ใช้เรียกผู้ที่ละกิเลสได้ และกิเลสทั้ง 10 ตัว หากละได้ 3 ตัวแรกก็เป็นพระโสดาบันเป็นอริยบุคคลขั้นต้นเป็นผู้แรกเห็น เป็นผู้มีดวงตาเห็นธรรม
          หากละกิเลสทั้ง 10 ตัวได้ ทำให้สิ้นสังโยชน์ 10 ลงได้ถือว่า “กิจเสร็จสิ้นแล้ว กิจอื่นที่ควรทำไม่มีอีกแล้ว” ทำได้เช่นนี้มีสมมุติเรียกว่า “อรหันต์
     “ไม่มีผู้ใดเป็นอรหันต์  มีแต่ผู้ที่ทำกิจให้เสร็จสิ้นได้เท่านั้น
ในสภาวธรรมไม่มีใครทำกิจให้เสร็จสิ้น เพราะเดิมมันไม่มีใคร จะกล่าวว่ามีแต่ธรรมชาติก็ไม่ได้ จะปฏิเสธว่ามีธรรมชาติก็ไม่ได้..เป็นเพียง.........(เป็นสภาวะที่อธิบายไม่ได้ แต่ทุกคนสามารถเข้าถึงได้)"

ขอธรรมจงมีแด่ท่าน................
ปัญหาธรรมข้อ 39    อาสาฬหบูชา15 ค่ำ เดือน 8  วันแห่งปฐมเทศนา
                                "ธัมมจักรกัปปวัตตนสูตร"
   
          สวัสดีครับ ผมเคยmailมาขอคำแนะนำคุณแล้วครั้งหนึ่ง คุณได้แนะนำเรื่อง จิตหมุน ผมได้ลองปฏิบัติไม่นานก็ต้องเลิก ความสงสัยมีมากไม่พบในคำสอนของพระพุทธเจ้า ผมได้ปฏิบัติดูจิตเรื่อยมา ส่วนใหญ่จะหลงลืมสติและเพลินไปกับกิเลสซะมากกว่า แต่ก็เริ่มจะเห็นทุกข์ที่เกิดจากความคิดมากว่าตอนเริ่มใหม่ๆ พอจะเห็นทางลางๆ อยากจะขอความเห็นและแนะนำเพิ่มเติมจากคุณ เชื่อว่าคุณต้องเป็นกัลยาณมิตรที่ดี ดูจากที่คุณกล้าบอกว่าตัวเองบรรลุธรรมและการตอบปัญหาธรรมที่ผมไม่รู้สึกขัดแย้งในคำตอบ ความอยากที่จะบรรลุธรรมเร็วๆทำให้ผมmailหาคุณ
ตอบ
          ยินดีที่ได้สนนาธรรมกันอีกครั้ง จิตหมุนนั้นมีอยู่ในพระไตรปิฎก พระพุทธเจ้าทรงตรัสไว้ด้วยตนเอง เป็นพระสูตรแรก เป็นปฐมสูตรที่พระพุทธเจ้าทรงเทศโปรดปัญจวัคคีย์ทั้งห้าอันได้แก่ ท่านอัญญาโกณฑัญญะ  ท่านวัปปะ  ท่านภัททิยะ  ท่านมหานาม  ท่านอัสสชิ ในวันอาสาฬหบูชาขึ้น 15 ค่ำ เดือน 8    พระพุทธองค์ทรงสอนว่า บรรพชิตไม่เสพสิ่งสุดโต่งสองส่วน”  พระพุทธเจ้าทรงตรัสไว้สั้นๆเพียงเท่านี้  สั้นแค่นี้ สั้นซะยากเกิดจะเข้าใจ หากเราอ่านในพระไตรปิกฎเราก็จะเห็นว่าประโยคที่พระพุทธองค์ทรงตรัสมีเพียงเท่านี้ แต่ได้มีผู้อธิบายต่อกันแบบยืดยาว ยาวจนอ่านแล้วลืม คืออ่านวรรคแรกจบพอมาอ่านวรรคที่สองก็ลืมวรรคแรกซะแล้ว เขาอธิบายยาวมากเกิดไป อธิบายซะสวยงามเกินไป หากคุณได้ไปอ่านพระสูตรนี้ ธัมมจักรกัปปวัตตนสูตร  เขาจะอธิบายว่าสองส่วนนั้นคือกามและก็อะไรต่ออะไรยาวมาก อ่านแล้วก็วกไปวนมา เขาเขียนให้มาก เขียนสวยงามมากเกิดไป ยากที่ใครอ่านแล้วจะสรุปเอาได้ว่าท่านอัญญาโกณฑัญญะมีดวงตาเห็นธรรมได้อย่างไร และแบบที่เขียนขยายความสั้นๆก็มีแต่อ่านแล้วก็ยังไม่เข้าใจ อย่างเช่นหนังสื่อเล่มหนึ่งเขียนเอาไว้ว่า “พระพุทธเจ้าทรงสอนให้ปฏิเสธสิ่งที่คนคือนักบวชสมัยนั้นนิยมทำกัน คือเรื่องทรมานตนให้ลำลาก และการปล่อยชีวิตให้ไปตามความใคร่ ทรงปฏิเสธว่าทั้งสองทางนั้นพระองค์เคยทรงผ่านมาแล้ว ไม่ใช่ทางตรัสรู้เลย แล้วทรงแนะนำทางสายกลางที่เรียกกันว่า ‘มัชฌิมาปฏิปทา’ คือปฏิบัติดีปฏิบัติชอบตามมรรค 8 ที่กล่าวโดยย่อคือ ศีล สมาธิ และปัญญา”  นี้เป็นตัวอย่างแบบสั้นๆเขาก็อธิบายดีแต่อ่านแล้วก็ยังไม่ใจ และยังอ้างไปถึงสิ่งอื่นเช่นมัชฌิมาปฏิปทามรรค8 อย่างนี้ก็ยิ่งมึนเข้าไปใหญ่ อ่านแล้วไม่จบในครั้งเดียวยังต้องไปหาอีกว่า มรรคแปดแท้จริงคืออะไร ศีลจริงๆคืออะไร สมาธิก็ต้องไปหัดอีก ปัญญาละจะไปเอามาจากที่ไหน นี้มันสั้นอย่างนี้อ่านจบแล้วก็ยังตันหาทางออกให้ตนเองไม่ได้
          ข้าพเจ้าจะขออธิบายดังนี้ เมื่อพระพุทธเจ้าทรงแสดงพระธรรมเทศนาธัมมจักกัปปวัตตนสูตร   ให้แก่ปัญจวัคคีย์ด้วยใจความสั้นๆว่า   
บรรพชิตไม่เสพสิ่งสุดโต่งสองส่วน                                                                                    เนื่องจากท่านอัญญาโกณฑัญญะเคยอยู่รับใช้พระพุทธเจ้า ท่านจึงทราบดีว่าสิ่งที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสถึงสิ่งสุดโต่งสองส่วนนั้นคืออะไร    คือ
        1. พระพุทธเจ้าเคยฝึกจิตอับฤาษีสองตน(คืออาฬารดาบส กาลามโคตร และ อุทกดาบส ราม  บุตร)จนได้จิตสูงสุดตามวิธีของฤาษีสองตนแต่พระองค์ก็ยังไม่บรรลุธรรม เพราะไปเสพความสุขเนื่องจากใจเป็นสมาธิ
        2. พระพุทธองค์ทรงทรมานตนก็ไม่บรรลุธรรม เพราะไปเสพความทุกข์ทางกาย
            เมื่อท่านอัญญาโกณฑัญญะ ได้ฟังว่า 
บรรพชิตไม่เสพสิ่งสุดโต่งสองส่วน”  ท่านอัญญาโกณฑัญญะ ก็เข้าใจว่าสองส่วนที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสนั้นหมายถึงอายตนะภายนอก(กาย(หู ตา จมูก ลิ้น กายผิวสัมผัส) และอายตนะภายใน(ใจ) 
           เมื่อท่านอัญญาโกณฑัญญะ เข้าใจว่าอายตนะภายนอกและภายในคือสิ่งใดแล้ว ท่านก็ไม่ติดภายนอกและใน
          เมื่อไม่ติดนอกติดใน ท่านก็เห็นการหมุนวนของอายตนะภายนอกและภายใน
          เห็นว่าเมื่อแสงกระทบที่ตา            ก็ส่งไปรู้ที่ใจ
         เห็นว่าเมื่อเสียงกระทบที่หู              ก็ส่งไปรู้ที่ใจ
         เห็นว่าเมื่อกลิ่นกระทบที่จมูก          ก็ส่งไปรู้ที่ใจ
         เห็นว่าเมื่อลิ้นรับรส                        ก็ส่งไปรู้ที่ใจ
          ท่านอัญญาโกณฑัญญะเห็นการกระทบนอกและกระทบใน เห็นนอกส่งไปหาใน ..นอกส่งไปใน ...นอกรับ-ส่งไปใน(ใจ)รับรู้ เห็นหมุนวนเช่นนี้ เมื่อท่านอัญญาโกณฑัญญะ เห็นว่าธรรมชาติเดิมมันก็เป็น เมื่อรู้เช่นนี้ท่านอัญญาโกณฑัญญะ ท่านก็ปล่อยการหมุนวน เมื่อจิตไม่ติดนอก ติดในระหว่างผู้รู้และผู้ถูกรู้ จิตก็เป็นอิสระ เป็นจิตเดิมแท้มีดวงตาเห็นธรรม
          ปฐมเทศนาจึงได้ซื่อว่าธัมมจักรกัปปวัตตนสูตร เพราะปฐมสาวกเห็นธรรมเพราะเห็น
ธรรมชาติการหมุนวนของธรรมเป็นจักรที่หมุนวนเช่นนี้นี๊เอง
          อย่างรูปหน้าของเวปนี้ ข้าพเจ้าก็เลือกรูปที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงธรรมจักรเพราะเห็นว่าวันที่พระพุทธเจ้าทรงเผยแผ่ศาสนาครั้งแรกนั้นพระองค์ทรงแสดง ธัมมจักรกัปปวัตตนสูตร

                                         (รูปพระพุทธรูป และ รูปโปรดปัญจวัตคีย์)

     ในรูปจะเห็นว่าพระพุทธเจ้าทรงแสดงธรรมโดยใช้นิ้วมีกระทบกัน อย่างในรูปนี้ใช้นิ้วโป้งและนิ้วชี้กระทบกัน เมื่อนิ้วกระทบกัน ผิวสัมผัสกันก็คืออายตนะภายนอกถูกกระทบ  เมื่ออายตนะภายนอกถูกกระทบแล้วก็จะส่งไปยังอายตนะภายใน เมื่ออายตนะภายนอกถูกกระทบอีกก็จะส่งไปยังอายตนะภายในอีก หมุนวนเช่นนี้ไม่รู้จักจบสิ้น ธรรมชาติมันเป็นเช่นนี้ ให้ปล่อยวางมันซะแล้วจะพ้นทุกข์ ปล่อยในสิ่งสุดโต่งสองส่วนคือนอกกับในแล้วจะพ้นทุกข์
          ตัวผมเองเคยเกิดปัญหาเช่นนี้เหมือนกัน คือเมื่อสมัยยังเยาว์ผมก็อยากจะบรรลุธรรมเพราะอ่านประวัติของพระพุทธเจ้าและพระสาวก ผมก็พยายามหาหนังสือมาอ่าน ตอนนั้นคิดว่าพระสาวกได้ฟังธรรมแล้วบรรลุธรรม และหากผมได้ฟังธรรมอันเดียวกับพระสาวกผมก็น่าจะบรรลุธรรมได้เหมือนกัน คิดได้เช่นนั้นผมก็ไปหาหนังสือมาอ่าน ตัวอย่างเช่น ในปฐมเทศนาว่าธัมมจักกัปปวัตตนสูตร พระพุทธเจ้าตรัสว่า บรรพชิตไม่เสพสิ่งสุดโต่งสองส่วน ผมอ่านแล้วก็ไม่รู้ว่าสองส่วนนั้นคืออะไร แต่ก็มีคำขยายความจากผู้อื่นที่ไม่ใช่พระพุทธเจ้าว่าอย่างนั้นอย่างนี้  อะไรต่ออะไรยาวเป็นหางว่าง สรุปแล้วอ่านอย่างไรก็ไม่เข้าใจ ไม่เข้าใจทั้งที่พระพุทธเจ้าตรัส และก็ไม่เข้าใจเพราะจับใจความที่เขาเอามาขยายไม่ได้ ก็เลยมึน...งงเข้าไปใหญ่ว่าทำไมเราไม่บรรลุธรรมทั้งๆที่เราก็ได้ฟัง(ได้อ่าน)ในพระสูตรเดียวกับพระสาวก  สรุปอ่านกี่พระสูตรก็ไม่เข้า
          แต่เมื่อตนเองมีดวงตาเห็นธรรมกลับไปอ่านจึงเข้าใจในธรรมนั้นๆ จึงทำให้เกิดฉงนคิดขึ้นว่าอย่างนี้มันก็กลับกันนะซิ  บรรลุธรรมแล้วอ่านธรรมจึงเข้าใจ มันไม่ควรกลับกันเช่นนี้ ควรจะเป็นแบบว่า อ่านแล้วเข้าใจจึงบรรลุธรรม ไม่ใช้กลับกันเป็นบรรลุธรรมแล้วจึงอ่านธรรมเข้าใจ ให้คิดว่าปัญหามันเกิดจากอะไร เกิดจากตัวเราเองก็ส่วนหนึ่งและอีกส่วนหนี่งก็เกิดจากสารเพราะสารที่ขยายความยาวเกิดไป สมองเราปัญญาของเราจำได้ไม่หมด อ่านได้หน้าแล้วก็ลืมหลัง อย่างเช่นธัมมจักรกัปปวัตตนสูตรถ้าขยายความดีๆ ถึงคนอ่านจะไม่บรรลุธรรมก็น่าจะเข้าใจธรรมมากขึ้น แต่ที่เป็นอยู่คืออ่านแล้วก็ไม่เข้าใจ ไม่เข้าใจก็ไปตีความกันอีก ตีความถูกบ้างผิดบ้าง
          ตัวอย่างเช่นธัมมจักรกัปปวัตตนสูตรจะมีการขยายความยืดยาวอย่างไรก็ช่างแต่สุดท้ายควรจะมีสรุปเนื้อๆเน้นว่า บรรพชิตไม่เสพสิ่งสุดโต่งสองส่วน”  สองส่วนที่ว่านั้นคืออายตนะภายนอกและภายใน อย่าได้ไปติดในอายตนะภายนอกและใน ให้ปล่อยวางสองสิ่งนี้แล้วจะพ้นทุกข์มีดวงตาเห็นธรรมนิพพานในที่สุด อายตนะภายนอกคือ(หูรับเสียง  ตารับภาพ จมูกรับกลิ่น กายสัมผัส ลิ้นรับรส ) อายตนะภายในคือ(ใจผู้เป็นตัวรู้)  ข้าพเจ้าคิดว่าถ้ามีเขียนสรุปท้ายเช่นนี้คงจะดี  แต่ที่ของเดิมเขียนเอาไว้ก็ดีนะข้าพเจ้าไม่ปฏิเสธว่าไม่ดี ถือว่าดีละเอียดดี สมัยนั้นที่ครูบาร์อาจารย์ท่านเขียนขยายความเอาไว้ สมัยนั้นภาษามันคงไม่สับสนเหมือนสมัยนี้ คนสมัยนั้นคงเข้าใจอะไรตรงไปตรงมาได้ง่ายกว่าสมัยนี้ สมัยนี้กิเลสมันมาก ปัญญาทางโลกมากเกิดไป จึงเข้าใจธรรมได้อยาก เรื่องนี้จริงนะ สนทนาธรรมกับชาวบ้านธรรมดาๆเขาจะเข้าใจธรรมได้ง่ายกว่าผู้มีปัญญาทางโลกมาก ผู้มีปัญญาทางโลกมากมีแต่ความสงสัย สงสัยว่าเป็นอย่างไร ไอ้นั้นเป็นอย่างไร ไอ้นี้เป็นอย่างไร ธรรมเป็นอย่างไร ผู้มีปัญญาทางโลกมากชอบไปให้สมมุติกับสิ่งนั้นสิ่งนี้ ไปให้สมมุติมันมาก ตัวอย่างเช่นธรรมที่พระอาจารย์เทศเรื่องจิตและจักรวาลที่ทำให้ข้าพเจ้ามีดวงตาเห็นธรรม  ผู้ฟังหรือผู้อ่านเมื่อได้อ่านวรรคที่ว่า
           “จักรวาลมีของอยู่สองสิ่งคือธาตุหนักและธาตุเบา ธาตุหนักก็ดึงดูดซึ่งกันและกัน จนใหญ่เข้า ใหญ่เข้า ..... ส่วนธาตุเบาลอยอยู่ข้างนอก
          บ้างคนฟังแล้วไม่ฟังเปล่า ฟังแล้วไปให้สมมุติมันอีกว่า ไอ้ธาตุหนักนี้มันหน้าตาเป็นอย่างไร ไอ้ธาตุเบามันเป็นอย่างไร ฟังแล้วสงสัย แล้วเอาความสงสัยไปให้สมมุติมันอย่างนี้ยิ่งมากเข้าไปใหญ่ เรียกว่าไม่ได้ศึกษาธรรมเพื่อปล่อย แต่ศึกษาธรรมเพื่อยึด ยิ่งยึดก็ยิ่งยุ่ง ยุ่งแล้วก็แกะไม่ออก
          ในขณะที่ผมฟังธรรมเรื่องจิตจักรวาล ผมก็ไม่ได้สงสัยว่าไอ้ธาตุหนักมันเป็นอย่าง มันหนัก หนักแค่ไหนก็ไม่ได้สงสัย ไอ้ธาตุเบา เบาแค่ไหนก็ไม่เคยสงสัย เบาและหนักเทียบจากอะไรเอาอะไรเป็นมาตรฐานก็ไม่สงสัย ผมฟังก็ฟังธรรมดาๆ ไม่ได้สงสัยอะไรมัน พอพิจารณาก็ไม่สงสัย เพียงแต่นึกถึงว่าพระอาจารย์ท่านกล่าวว่าอย่างไรบ้าง ไม่ไปสงสัย ไม่ไปให้สมมุติมัน สุดท้ายมันก็ทราบว่าเพราะ “สิ่งนี้มี สิ่งนี้จึงมี” จิตมันก็เลยปล่อยของมันเอง ไม่ได้ไปทำอะไรมัน ไม่ได้บังคับให้มันปล่อย พอมันรู้ว่าเพราะสิ่งนี้มี สิ่งนี้จึงมี ปัญญามันเกิดมันก็ปล่อยของมันเอง เห็นว่าเพราะเราไปหลงยึดว่าเป็นเรา จึงมีสิ่งต่างๆตามมา นี้ผมได้ตรงนี้  พอจิตถูกแสงกระทบก็หลงผิดว่าเราเป็นผู้เห็น ก็เลยมีสิ่งต่างๆตามมา เป็นชาติเป็นภพ นี้ปัญญามันรู้อย่างนี้มันก็ปล่อยเลย พอปล่อยก็........(มันเป็นสภาวธรรมไม่สามารถอธิบายได้)
          อย่าเที่ยวไปให้สมมุติอะไรมันมากมาย
                “ธรรมนั้นปฏิบัติเพื่อปล่อย  ไม่ใช่ปฏิบัติเพื่อยึด
ขอธรรมจงมีแต่ท่าน................................

ปัญหาธรรมข้อที่40    ความ "ว่าง" คำที่ทำให้เกิดความเข้าใจผิดในธรรม
                                      "มโนธาตุ" ธรรมชาติที่จำเป็นที่มนุษย์ควรรู้
          มีปัญหาในการปฏิบัติธรรมที่อยากจะรบกวนช่วยตอบให้ด้วย พยายามนั่งสมาธิแต่อย่างไรก็ไม่สามารถทำให้ใจว่างได้ อยากถามว่าจะทำเช่นไรเพื่อให้เข้าถึงความว่าง
ตอบ
อ่านคำถามแล้วรู้สึกตกใจมาก ที่รู้สึกตกใจเพราะทำให้รู้สึกว่าชาวพุทธเข้าใจธรรมผิดไปจากความเป็นจริงมาก แต่ก็ไม่รู้สึกประหลาดใจเท่าใดนัก เพราะชาวพุทธในปัจจุบันนั้นได้รับความรู้จากสื่อต่างๆที่เป็นความรู้ผิดๆกันมาก สำหรับคำว่า ว่าง นี้   เป็นคำที่ทำให้เกิดความสับสนกันมาก เพราะใช้กันมากและก็สื่อความหรือขยายความไม่ชัดเจน เหตุเพราะครูบาร์อาจารย์ที่สอนยังเข้าไม่ถึง “ปฏิจจสมุปบาท”  หรือหากอาจารย์ผู้นั้นเข้าถึงธรรมแล้วแต่เป็นเพราะความเข้าใจผิดของศิษย์เนื่องจากศิษย์นั้นยังไม่เข้าถึงธรรม เมื่อยังไม่เข้าถึง ธรรมหากได้ฟังผู้เป็นอาจารย์พูดคำว่าว่างก็เข้าใจผิดได้
              ตัวอย่างเช่นครั้งหนึ่งข้าพเจ้าเคยสนทนากับน้องผู้ปฏิบัติธรรมว่า
 “ความว่างนั้นไม่ใช่ธรรม และธรรมก็ไม่ใช่ความว่าง
น้องผู้นั้นก็มีโอกาสได้ไปปฏิบัติธรรมกับท่านพระอาจารย์อีกครั้ง และได้ฟังพระอาจารย์เทศก็เกิดสับสน เพราะว่าข้าพเจ้าเคยบอกกับเขาว่าธรรมไม่ใช่ความว่างและความว่างไม่ใช่ธรรม แต่ได้ไปฟังธรรมกับพระอาจารย์ก็สับสนขึ้นได้ เนื่องจากท่านพระอาจารย์กล่าวว่า
      “เราไม่ต้องสอนโลกก็ได้ เราอยู่ของเราในป่าในดอย เราก็ทำให้มันว่างๆ  เมื่อถึงวันที่หมดอายุขัยของเรา เราก็ไปของเรา เราไม่ได้ติดอะไร แต่ที่มาสอนเพราะมันมีหน้าที่ติดมาด้วย  กินข้าวเขาแล้วก็ต้องทำอะไรให้เข้าบ้าง แต่ถ้าเราทำตัวว่างๆ ไม่ไปติดอะไร  เราก็ไปได้เลย
              ข้าพเจ้าก็ต้องทำการอธิบายใหม่เพื่อให้น้องเข้าใจว่าตั้งแต่ข้าพเจ้าปฏิบัติธรรมกับพระอาจารย์มานี้เป็นครั้งแรกที่พระอาจารย์กล่าวคำว่าว่าง แต่ไม่ใช่ความหมายว่าว่างอย่างที่น้องเข้าใจแน่ ว่างของพระอาจารย์ว่างของอริยะเจ้านั้นไม่ได้หมายความให้เอาตัวเองไปติดในความว่าง แต่หมายความว่าไม่ติดไปข้างใดข้างหนึ่ง  ไม่ติดในของคู่ ไม่ติดในความว่างและความไม่ว่าง เพราะความว่างนั้นก็ยังมีความไม่ว่างเป็นของคู่อยู่ ว่างจากผู้รู้และผู้ถูกรู้ แต่ถ้าเป็นความว่างที่มีตัวเราเข้าไปรับรู้ว่ามีความว่างอยู่ ถ้าเป็นเช่นนั้นไม่ใช่ธรรม เพราะมีตัวเราเป็นผู้เสพความว่างนั้น ยังถือว่ามีของคู่ คือมีผู้รู้(ตัวเรา) และมีผู้ถูกรู้(ความว่าง)
               ปกติแล้วอริยะเจ้าจะไม่ใช่คำนี้เพราะถ้าใช้แล้วมันจะทำให้เข้าใจผิดได้ 
              สิ่งที่พระอาจารย์ได้กล่าวข้าพเจ้าก็ได้อธิบายแล้วและต่อแต่นี้ไปจะขออธิบายความว่างที่เข้าใจกันผิดๆบ้างว่า มันเป็นอย่างไร  อยากจะเขียนมานานแล้วเกี่ยวกับคำคำนี้ คำว่าว่างนี้ข้าพเจ้าหลีกเลี่ยงในการใช้มาตลอดเพราะเห็นว่าอาจจะทำให้เข้าใจผิดได้ เพราะก่อนที่ข้าพเจ้าจะเข้าใจธรรม ข้าพเจ้าก็ได้อ่านมามากพอสมควรเกี่ยวกับคำว่าว่างนี้ อ่านแล้วก็เข้าใจผิดๆอย่างเช่นสื่อหรือคนเขียนต้องการสื่อ ส่วนใหญ่แล้วจะเป็นหนังสือ “เซน” เป็นส่วนใหญ่ที่ผู้เขียนหรือแปลมาจากภาษีต่างประเทศ อ่านแล้วทำให้เข้าใจว่าธรรมนั้นคือความว่าง เพราะหนังสือที่เขียนส่วนใหญ่อะไรๆก็ว่าง มีคนถามชื่อก็ตอบว่า “จะรู้ไปใย เพราะทุกสิ่งมันคือความว่าง” นี้เป็นถึงขนานนี้ แปลผิดกันได้ถึงขนาดนี้  ไอ้ตัวเราก็ไม่มีความรู้ภาษาต่างประเทศมากนัก อยากจะไปหาต้นฉบับภาษาจีนภาษาญี่ปุ่นมาอ่าน ถึงได้มาก็อ่านไม่ออก นี้เป็นกันซะอย่างนี้ตัวเองยังไม่เข้าถึงธรรมแต่อยากจะให้คนอื่นรู้ธรรมมันก็เลยเป็นอย่างนี้ เจตนาดี แต่ผลออกมาเป็นอันตรายต่อผู้รับสื่อมาก
 ต่อไปจะขออธิบายสมาธิกับความว่างบ้างว่า สมาธิกับความว่างมันไม่ใช่ธรรมตรงไหน
              ธรรมนั้นเป็นอะไร เราไม่รู้  ถึงเข้าใจมันก็ตอบไม่ได้เพราะมันอยู่เหนือสมมุติ เมื่อธรรมอธิบายไม่ได้แล้วจะอธิบายธรรมได้อย่างไร อธิบายได้โดยอธิบายที่โลก คือให้เรารู้ก่อนว่าโลกคืออะไร โลกนั้นคือของคู่ มีขาวก็ต้องมีดำ มีสุขก็ต้องมีทุกข์  มีพบก็ต้องมีจาก มีใหม่ก็ต้องมีเก่า มีไหมที่ใครได้ของใหม่มาโดยไม่ได้ของเก่ามาด้วย ซื้อเสื่อใหม่มา เราก็ต้องได้ความเก่ามาด้วย หรือว่าไม่จริง  เสื่อใหม่นานๆไปมันก็ต้องเก่า  ได้คนรักมา  เราก็ได้การเสียคนรักไปด้วย มีใครหรือไม่ที่ได้คนรักมาแล้วไม่เสียเขาไป อย่างไรก็ต้องตายจากกัน นี้แหละคือโลก พ้นจากโลกจึงเป็นธรรม และอย่างได้ไปสงสัยต่อนะว่า แล้วธรรมคืออะไร จะคืออะไรก็ช่างหัวมัน ไม่จำเป็นต้องไปรู้มัน เอาแค่ทำตัวเองพ้นจากโลกนี้ไปให้ได้ก็พอ พ้นไปแล้วจะเป็นอย่างไรไม่ต้องไปคิดมัน
               สมาธิที่ไม่ใช่วิปัสสนา หมายถึงสมาธิที่มุ่งไปที่ความสงบนิ่งหรือที่เราเรียกกันว่าสมถสมาธินั้นทำให้ผู้ปฏิบัติหลงทางเข้าไปยึดเข้าไปติดในพลังงาน เข้าไปยึดไปติดในพลังงานอย่างไรนะหรือ อยากจะอธิบายให้เข้าใจว่าเมื่อเราทำสมาธิให้สงบที่ใดที่หนึ่ง จิตของเราหรือความรู้สึกของเราจะไปติดอยู่ตรงนั้น เช่นตั้งไว้ที่หัวใจหรือที่ท้อง จิตไปนิ่งที่จุดนั้น จากจิตที่ไม่เคยนิ่ง ก็ทำให้นิ่งอยู่ตรงจุดของร่างกายเข้าไปถึงนิวเคลียสจุดที่เล็กที่สุด เมื่อนิ่งได้บริเวณที่จิตเข้าไปสัมผัสพลังงานรอบนอกนิวเคลียส ก็ทำให้เกิดความสุขขึ้น ทำให้เกิดความปิติขึ้น หรือที่เข้าเรียกกันว่าได้ดำรงขั้นต้น นี้มันเป็นอย่างนี้การได้สมาธิหรือได้ดำรงก็คือการที่จิตเข้าไปสัมผัสนิวเคลียส เข้าไปสัมผัสวงรอบนอกๆก็ทำให้เกิดความสุข ความปิติได้ และหากทำสมาธิให้ละเอียดเข้าไปอีกจิตก็จะเข้าไปสัมผัสวงในของนิวเคลียส  เข้าไปอีกก็จะได้รับพลังจากนิวเคลียสละเอียดขึ้น เช่นเข้าไปสัมผัสพลังงานวงที่สามนับจากนอก จิตก็ไปสัมผัสกับความสว่าง เมื่อได้สัมผัสกับความสว่างหากจิตติดอะไรนึกคิดอะไรก็เปรียบเหมือนแผ่นฟิล์ม เมื่อเกิดแผ่นฟิล์มและเกิดแสงขึ้น เช่น คิดอยากจะเห็นพระพุทธเจ้าก็ได้เห็นเพราะจิตไปสร้างแผ่นฟิล์มขึ้นมาแล้วเอาไปฉายกับแสงสว่างนั้นก็เกิดเป็นพระพุทธเจ้าขึ้นมา  ตรงนี้ ตรงจุดนี้ผู้ปฏิบัติจะไปติดกันมากเพราะมันละเอียดมากหากปัญญาตามไม่ทันก็หลงไปยึดมันได้ อยากจะเห็นพระพุทธเจ้าก็ได้เห็น อยากจะเห็นนิพพานก็ได้เห็น จึงทำให้หลงยึดไปว่าตนได้ธรรมแล้ว เมื่อเข้าใจผิดว่าตนเข้าถึงธรรมก็นำไปสอนคนอื่นให้หลงตาม
                นี้มันเป็นเช่นนี้ การที่จิตไปติดในพลังงานของนิวเคลียสหากมีปัญญาไม่พอก็จะทำให้หลงไปได้ว่าตนเห็นธรรม เห็นพระพุทธเจ้า เห็นเมืองนิพพาน เห็นนรก เห็นสวรรค์  พลังงานของนิวเคลียสนี้จะมีความละเอียดขึ้นไปตามชั้นที่เข้าใกล้นิวเคลียส เข้าไปลึกอีกก็จะเห็น ความสว่าง สะอาด สงบ ความบริสุทธิ์ จนเข้าไปลึกสุดถึงใจกลางของนิวเคลียส ตรงกลางนิวเคลียสนี้เองคือความว่าง ตรงนี้แหละที่ทำให้เข้าใจผิดกันว่าที่สุดแล้วคือความว่างจึงเข้าใจว่าธรรมหรือนิพพานคือความว่าง เพราะเข้าไปถึงที่สุดของมันแล้ว   นี้มันเป็นอย่างนี้  ที่ข้าพเจ้ากล่าวว่าธรรมไม่ใช่ความว่าง และความว่างไม่ใช่ธรรมก็ด้วยเหตุนี้
              การเข้าไปหลงติดในสมาธิในดำรงพระอาจารย์ได้อธิบายไว้เช่นนี้แต่ด้วยภูมิธรรมที่ต่ำต้อยของข้าพเจ้าสามารถอธิบายได้เพียงเท่านี้  ข้าพเจ้าไม่สามารถอธิบายให้ละเอียดลึกซึ่งได้กว่านี้เพราะข้าพเจ้าก็จดจำจากพระอาจารย์มาอีกที่หนึ่ง ตัวข้าพเจ้าด้านสมาธินั้นไม่ต้องพูดถึง คือไม่ได้เรื่องเลย เพราะหากจะกล่าวถึงธรรมข้าพเจ้าก็จะกล่าวเกี่ยวกับปัญญาเท่านั้น และก็กล่าวได้เพียงเล็กๆน้อย กล่าวได้เพียงของคู่เท่านั้น นอกจากของคู่ก็กล่าวไม่เป็นแล้ว เพราะธรรมที่ข้าพเจ้าได้นั้นก็ได้จากเรื่องของของคู่นี้
              สำหรับผู้ที่ถามคำถามนี้ข้าพเจ้าไม่ขอแนะนำให้ทำสมาธิเพื่อความสงบนิ่ง เพราะมันไม่เกิดประโยชน์อะไรในโลกปัจจุบันนี้  เพราะในสภาวะปัจจุบันนี้สภาวธรรมชาติไม่เหมือนสมัยก่อน ปัจจุบันธรรมชาติถูกทำลายไปมาก ทั้งที่เรามองเป็นและที่มองไปเห็นอย่างมโนธาตุต่างๆก็ไม่เหมือนแต่ก่อน โลกสกปรกมากแม้แต่มโนธาตุก็เช่นเดียวกัน สกปรกมากๆ การที่เราทำสมาธิเพื่อความสงบนั้นจะทำให้มโนธาตุที่เสียไหลเข้าตัวเรา  จะทำให้เราป่วยได้  สภาวธรรมชาติปัจจุบันไม่เหมือนแต่ก่อนคือเมื่อก่อนหากใครนั่งสมาธิเราก็จะได้รับธาตุที่ดีเข้าร่างกาย ธาตุต่างๆที่ดีจะทำให้เราสุขภาพดี สามารถรักษาโลกได้ แต่ปัจจุบันไม่ใช่เช่นนั้นธาตุในร่างกายของเราถูกของเสียกินอยู่ทุกวัน เราถึงได้ป่วยกันเช่นนี้ อย่างเช่นพระที่ชอบความสงบ ความความเมตตา หรืออะไรต่างๆในสายที่เน้นความสงบ พระเหล่านั้นก็จะป่วยและตายในที่สุดหากยังคงทำเช่นนั้นอยู่  ต่อไปเราจะเห็นพระเกจุต่างๆเสียชีวิตมากขึ้นเพราะมโนธาตุของท่านถูกแทนที่ด้วยของเสีย ของเสียมันจะค่อยกินท่าน หากไม่หยุดทำจิตในวิธีดังกล่าวกายละเอียดก็ไม่สามารถเชื่อมกับกายหยาบได้ก็คือตายนั้นเอง  ธาตุเสียนี้ก็มาจากการกระทำของมนุษย์นั้นเองที่ทำลายธรรมชาติและปล่อยของเสียต่าง คนธรรมดาก็เหมือนกัน จะป่วยตายมากขึ้น ร่างกายจะไม่แข็งแรง ระบบภูมิคุ้มกันจะน้อยลงมาก ระบบเส้นเลือดจะมีปัญหามาก น่ากลัวเหมือนกันนะ อยู่ดีๆ เส้นเลือกก็มีปัญหา อาจจะตายโดยไม่ได้ลาใคร
           มนุษย์นั้นรู้เรื่องธรรมชาติและพลังงานน้อยมาก อย่างมโนธาตุนั้นมนุษย์ไม่มีความรู้เอาเสียเคย ไม่รู้ด้วยว่ามนุษย์ต้องอาศัยมโนธาตุในการดำรงชีวิต  ปัจจุบันเราจึงไม่ต่างอะไรกับปลาที่อาศัยอยู่ในน้ำเนา เพราะอากาศรอบตัวเรามีแต่มโนธาตุเสียๆเต็มไปหมด  กรรมทำให้ปลาตายในน้ำเนา วันนี้เราก็ได้อยู่ในบรรยากาศเน่าๆของโลก ถึงแม้ว่าเราจะรู้หรือไม่รู้ก็ตากมันก็เป็นไปแล้ว อย่าแปลกใจหากต่อไปคนที่คุณรู้จักอยู่ดีๆก็ป่วยแล้วตายจากไป ก็ให้เข้าซะว่าปลาที่อาศัยอยู่ในน้ำเนาจะทนอยู่ได้นานซักเท่าไร  อย่าได้แปลกใจหากมีภัยธรรมชาติเกิดขึ้นบ่อยครั้ง ไม่ว่าจะเป็นภัยแล้ง น้ำท่วมหลัก พายุ ภูเขาไฟระเบิด แผ่นดินไหว ฯลฯ สิ่งเหล่านี้ได้เกิดขึ้นและจะมากขึ้น มากขึ้น เกิดขึ้นทุกที่ แม้แต่ประเทศไทยที่เคยอยู่กันอย่างสงบ ก็จะมีแผ่นดินไหวเกิดขึ้น ข้าพเจ้ากล่าวเช่นนี้ดูเหมือนว่าเกินจริงไปมาก ไม่ควรจะกล่าวให้คนไทยกลัว แต่ความเป็นจริงมันเป็นเช่นนี้ เพราะเมื่อกล่าวแล้วข้าพเจ้าก็อยากจะกล่าวให้มันรู้เรื่องเพื่ออยากจะบอกให้ผู้ปฎิบัติธรรมทราบว่าหากท่านรู้สึกว่าเกิดมาเพื่อปฏิบัติธรรมและธรรมเป็นเหตุผลเดียวที่ทำให้ท่านลงมาเกิดเป็นมนุษย์ก็ขอให้ท่านเร่งแสวงหาธรรมได้แล้วเพราะดูเหมือนว่าเวลาในกาลนี้มันจะเหลือน้อยเต็มทีเพราะเราไม่รู้ว่าเราจะตายเมื่อไร
           การที่ความสมดุลของธรรมชาติเปลี่ยนไป ก็ทำให้ภูมิต้านทานของร่างกายของคนลดลง ตลอดจนทำให้อารมณ์คนเปลี่ยนไป คนเราจะควบคุมอารมณ์ได้น้อยลง อยู่ดีๆก็โกรธ เรียกว่าจิตสำนึกน้อยลง ฆ่ากันได้ง่ายๆ คนจะชอบคิดอะไรไปทางลบ หากมีใครจะทำอะไรซักอย่าง สิ่งแรกที่คนอื่นคิดก็คือจะคิดไปในทางลบ เรียกว่าทำดีไม่มีใครสนใจ ไม่สนใจไม่ว่าแต่ยังมองไปในด้านลบซะอีก นี้จิตคนในยุคธรรมชาติไม่สมดุลจะเป็นเช่นนี้ รู้อย่างนี้ก็อย่าได้แปลกใจว่าทำไมเดี๋ยวนี้คนรอบข้างเราถึงได้เห็นแก่ตัวกันมากนัก  รู้ไว้จะได้ระวังตัวไว้ ระวังอย่าได้ไปทำให้ใครโกรธเพราะคนสมัยนี้มันฆ่ากันได้ง่าย เรื่องอารมณ์นี้เป็นเรื่องใหญ่เป็นพลังงานที่มีผลต่อโลกมาก คนเราอยู่ภายได้กฎธรรมชาติ ธรรมชาติเปลี่ยนเราก็เปลี่ยน ยกตัวอย่างง่ายๆ สภาวะผู้หญิงปกติ กับผู้หญิงที่มีรอบเดือนนั้นอารมณ์ต่างกัน อารมณ์ของคนปกติกับคนที่อดข้าวมาสามวันนั้นก็ต่างกัน นี้แค่ยกตัวอย่างแบบง่ายๆน่าจะเห็นได้ชัดว่าแค่ฮอร์โมนในร่างกายเปลี่ยนไปอารมณ์ก็เปลี่ยนไป ถ้าจะให้ชัดต้องนึกไปถึงพวกติดยา อย่างยาบ้า อันนี้ก็ทำให้ฮอร์โมนเปลี่ยนไปมากถึงขนาดฆ่าคนได้ง่ายๆ
           มนุษย์เป็นผู้ทำลายธรรมชาติและต่อไปธรรมชาติก็จะย้อนกลับมาทำลายมนุษย์ นี้เป็นกฎธรรมชาติ ที่จะย้อยกลับสู่แห่งกำเนิดของมัน กฎการสะท้อนกลับนี้เองที่เรียกกันว่ากฎแห่งกรรม พลังงานนั้นมันสมดุลของมันโดยธรรมชาติ เมื่อจุดหนึ่งเปลี่ยนไปก็ย่อมทำให้จุดหนึ่งเปลี่ยนไปด้วย ใครสร้างพลังงานใดไว้(สร้างกรรม) พลังงานนั้นไม่ได้หายไปไหนมันยังคงอยู่แล้วมันก็จะสะท้อนกลับและส่งผลเช่นเดียวกับที่เราได้กระทำไว้
              ขออธิบายเพียงเท่านี้ก่อนนะครับ
                                                                         ขอธรรมจงมีแด่ท่าน..
...     


ปัญหาธรรมข้อ 41    

          ได้ติดตามเวปพุทธแท้มานานแล้วเพราะชอบการอธิบายธรรมด้วยภาษาธรรมดาอ่านแล้วพอเข้าใจได้บ้าง ยอมรับว่าทำให้เข้าใจพุทธศาสนามากขึ้นถึงจะยังเข้าใจเนื้อหาในเวปนี้ไม่ทั้งหมด ช่วงนี้เห็นเวปพุทธแท้เงียบๆไป เข้ามาหลายครั้งก็ไม่มีเนื้อหาอะไรใหม่ๆ ตัวเองอยากได้ความรู้ใหม่ๆบ้าง จึงเริ่มอ่านเวปพุทธแท้ตั้งแต่ต้นก็พบว่าตนเองเคยอ่านแล้วข้ามไปบางช่วงเพราะอ่านแล้วไม่เข้าใจ แต่ก็ไม่ได้สงสัยอะไรเพราะเห็นว่ามันเข้าใจยากและคิดว่าบารมีของตนคงไม่เข้าใจจึงอ่านแล้วข้ามไป แต่วันนี้อยากรู้จึง mail มาถาม ถ้าอธิบายไม่ได้ก็ไม่เป็นไร เพราะเข้าใจว่าธรรมนั้นรู้ได้เฉพาะตน แต่ถ้ากรุณาก็จะเป็นเพราะคุณมาก เป็นข้อความที่อยู่ในหัวข้อ "ข้าพเจ้าบรรลุธรรมได้อย่างไร" ที่อยากให้อธิบายข้อความที่ว่า

"ตัวเรามี     แต่ไม่มี"            "ตัวเราไม่มี     แต่มี"
"ต้นไม้มี    แต่ไม่มี"             "ต้นไม้ไม่มี   แต่มี"
"ภูเขามี    แต่ไม่มี"             "ภูเขาไม่มี   แต่มี"
"หมามี   แต่ไม่มี"             "หมาไม่มี   แต่มี"
"พระอาจารย์มี    แต่ไม่มี"             "พระอาจารย์ไม่มี     แต่มี"
"พระพุทธเจ้ามี    แต่ไม่มี"             "พระพุทธเจ้าไม่มี    แต่มี"
     "ความตายมี    แต่ไม่มี"             "ความตายไม่มี   แต่มี"               
ตอบ
           ก่อนอื่นต้องขอกล่าวก่อนว่าคำที่จะอธิบายต่อไปนี้ขอให้ผู้อ่าน อ่านไปที่ละลำดับ อย่าได้อ่านข้ามช่วงใดช่วงหนึ่ง เพราะจะทำให้ไม่เข้าใจหากอ่านไม่ต่อเนื่อง และก็ขออธิบายเพื่อทำความเข้าใจก่อนว่าในสภาวะธรรมชาติเดิมแท้นั้นไม่มีเรา มีแต่ธรรมชาติล้วนๆ แล้วต่อมาก็มีเราเกิดขึ้น จิตของเราได้ถือกำเนินขึ้นจากความหลงผิดคิดว่าอวิชาเป็นตัวเรา เดิมที่นั้นในจักรวาลไม่มีจิตของใคร จิตของเรายังไม่มี หมายถึงจิตจอมปลอม หมายถึงจิตที่มีอวิชา จิตที่หลงผิดว่าเป็นเรายังไม่มี แต่สิ่งที่มี  มีแต่จิตเดิมแท้  จิตเดิมแท้มีอยู่ทุกที่ในจักรวาล  ไม่มีอะไรที่ไม่เกี่ยวเนื่องด้วยจิตเดิมแท้  จิตเดิมแท้ไม่ใช่จิตของใครทั้งนั้น ไม่มีใครเป็นเจ้าของ เพราะจิตเดิมแท้มีอยู่แล้วตามธรรมชาติ  เราจะเกิดมาหรือไม่เกิดมา จิต(จิตเดิมแท้)มันก็มีของมันอยู่แล้ว
          และต่อมาจิตถูกแสงกระทบจึงเกิดการหลงผิดว่าตนเป็นผู้เห็นแสง จึงเกิดเป็นดวงจิตขึ้นมา เป็นจิตที่มีอวิชา ไม่ใช่จิตเดิมแท้อีกต่อไป  จิตใหม่ถูกพลังงานกระทบ กระทบแล้วปล่อยไม่ได้  ไม่ว่าจะเป็น แสง สี เสียง กระทบก็ปล่อยไม่ได้ เพราะจิตไปยึดติดกับแรงดึงที่ดึงให้ติดอยู่กับของคู่ แรงดึงนี้พุทธศาสนาเรียกว่าตัณหา ตัณหาหรือแรงดึงนี้เป็นแรงดึงตามธรรมชาติ 
           ซึ่งจริงๆแล้วเราก็เคยได้ยินได้ฟังคำว่าตัณหากันมาบ้างแล้ว แต่ไม่รู้ว่ามันคืออะไร บางคนก็ใช้เป็นคำต่อว่าเช่น "พวกนี้ตัณหาจัดหรือ "พวกนี้มีแรงตัณหามากและประโยคเหล่านี้เข้าใจได้ว่าเป็นผู้หมกมุ่นในเรื่องของเพศมาก เป็นพวกมีความอยากสูง เราก็รู้กันแค่นี้ แต่ไม่รู้ว่าความอยากนี้มันมาจากอะไร พระพุทธเจ้าเป็นผู้ค้นพบแรงดึงตามธรรมชาตินี้เป็นคนแรก ค้นพบก่อนนักวิทยาศาสตร์ที่ชื่อนิวตันเสียอีก ค้นพบมาก่อนสองพันกว่าปี นิวตันรู้แต่แรงดึงดูดของโลกเท่านั้น แต่พระพุทธเจ้ารู้ลึกลงไปถึงแรงดึงของอายตนะภายนอกและภายใน รู้ลึกลงไปถึงแรงดึงของ "ของคู่"   แรงดึงเป็นกฎของธรรมชาติมีอยู่ตามธรรมชาติ เราไม่สามารถปฏิเสธมันได้ เพราะธรรมชาติมันเป็นของมันเช่นนั้น โลกมีแรงดึงดูดดวงจันทร์  ดวงอาทิตย์ดึงดูดโลก หลุมดำดึงดูดดวงอาทิตย์และดึงดูดทุกสิ่งทุกอย่าง ทุกสิ่งทุกอย่างก็อยู่ภายใต้แรงดึงของหลุมดำด้วย ตัวเราอยู่บนโลกก็อยู่ภายได้แรงดึงนี้ 
           ลึกลงไปภายในจิตก็มีแรงดึงเช่นกัน แรงดึงระหว่างอายตนะ แรงดึงให้จิตอยู่กับของคู่ ให้เป็นดวงจิตเช่นนี้ ดวงจิตก็ถูกดึงจากโลกเช่นกัน โลกก็ถูกดวงอาทิตย์ดึง  ดวงอาทิตย์ก็ถูกหลุมดำดึง จะเห็นว่าท้ายที่สุดทุกสิ่งทุกอย่างก็อยู่ภายใต้แรงดึงที่ใหญ่ที่สุดจากหลุมดำ
           แรงดึงนี้แม้แต่พระอรหันต์ก็ทำลายมันไม่ได้ แต่ที่ท่านพ้นมันไปได้ คือท่านไม่ไปยึดมัน ปล่อยให้มันเป็นไปตามธรรมชาติ
           หากท่านอ่านมาถึงตรงนี้ท่านก็น่าจะพอเข้าใจได้ว่าเราหรือจิตของเรา จิตจอมปลอมของเรานี้เป็นแค่ธรรมชาติ ธรรมชาติหนึ่งเท่านั้น เพราะแม้แต่จิตก็ยังมีแรงดึง และจิตก็อยู่ภายใต้แรงดึงของธรรมชาติ แรงดึงที่มีอยู่ในจักรวาล ขอให้เข้าใจว่าดวงจิตของเราหรือจิตจอมปลอมนี้ก็เป็นสิ่งหนึ่งที่อยู่ในจักรวาล
          ขออธิบายเพียงเท่านี้พอเป็นสังเขปว่าเดิมนั้น ในจักรวาลหรือในอนันต์จักรวาลนี้ยังไม่มีเรา แต่ต่อมาจิต(จิตเดิมแท้)ถูกกระทบแล้วยึด จึงเกิดของคู่ขึ้นทันที่ ของคู่นั้นก็คือผู้รู้และผู้ถูกรู้  ผู้รู้ก็คือเรา ผู้ถูกรู้ก็คือสิ่งต่างๆที่เราไปรับรู้ว่ามันมีอยู่ ไม่ว่าจะเป็นแสง สี เสียง ภูเขา ทะเล (เดิมสิ่งต่างๆมันก็มีของมันอยู่แล้วไม่ว่าจิตเราจะเกิดขึ้นมารับรู้หรือไม่รับรู้มันก็เป็นของมันอย่างนั้น)
           จากที่ได้อธิบายมาทั้งหมดหากเข้าใจก็จะสามารถเข้าใจข้อความต่างๆได้ ขอให้อ่านและลองทำความเข้าใจอีกครั้งก่อนที่จะอ่านคำอธิบาย..... ลองดูนะครับ
"ตัวเรามี     แต่ไม่มี"            "ตัวเราไม่มี     แต่มี"
"ต้นไม้มี    แต่ไม่มี"             "ต้นไม้ไม่มี   แต่มี
"ภูเขามี    แต่ไม่มี"             "ภูเขาไม่มี   แต่มี
"หมามี   แต่ไม่มี"             "หมาไม่มี   แต่มี"
"พระอาจารย์มี    แต่ไม่มี"             "พระอาจารย์ไม่มี     แต่มี"
"พระพุทธเจ้ามี    แต่ไม่มี"             "พระพุทธเจ้าไม่มี    แต่มี"
"ความตายมี    แต่ไม่มี"             "ความตายไม่มี   แต่มี"
...........................................................................................................................
     เมื่อทุกคนได้ลองใช้ความคิดดูแล้ว ต่อไปนี้ก็ขออธิบาย
"ตัวเรามี     แต่ไม่มี"         "ตัวเราไม่มี     แต่มี
"ตัวเรามี   แต่ไม่มี"    
    หมายถึง    ตัวเรามีอยู่    ตอนนี้มันมีเราอยู่แล้ว  มันมีเราที่ได้มานั่งอ่านเนื้อหาในเวบเช่นนี้  
 นี่แหละคือเรา เราที่มานั่ง งง สงสัย อยู่เช่นนี้ นี้ก็แสดงว่าเรามีอยู่
 ในความหมายนี้ ตัวเราจึงมี   
    แต่จริงแล้วเราก็ถือกำเนินจากสภาวะที่ไม่มี เพราะก่อนที่จิตจะถูกกระทบด้วยแสงนั้นไม่เคยมีเรา แล้วอยู่ดีๆ เราก็เกิดขึ้นมา เกิดมาจากสภาวะที่ไม่เคยมีเรา เดิมในจักรวาลนั้นไม่มีเรา
 ในความหมายนี้ตัวเราจึงไม่มี
"ตัวเราไม่มี     แต่มี"  
ในธรรมชาติเดิมแท้ไม่มีเรา ในความหมายนี้ ตัวเราจึงไม่มี 
 แต่เกิดอวิชชาขึ้น จึงหลงผิดคิดว่าเป็นเรา ตัวเราจึงมีขึ้น ในความหมายนี้ ตัวเราจึงมี

อ่านมาถึงตรงนี้อาจจะยังไม่เข้าใจ เพราะวนไปวนมา ลองอีกครั้งนะครับ
           "ตัวเรามี      ...ปัจจุบันมีเราเกิดขึ้นมาแล้ว ตัวเราจึงมี
        แต่ไม่มี"     ...แต่เดิมทีนั้นในธรรมชาติไม่เรา เราจึงไม่มี
      "ตัวเราไม่มี   ...เดิมที่นั้นไม่มีเรา มีแต่สภาวะธรรมชาติล้วนๆ ในความหมายนี้ ตัว   เราจึงไม่มี
           
 แต่มี"      ...แต่ตอนนี้มันมี คือมันมีเรามารับ มารู้ว่าธรรมชาติเดิมแท้ไม่เคยมีเรา แต่ตอนนี้มีเราเป็นผู้รับรู้ว่ามันไม่เคยมีเรา  จึงมีเราเกิดขึ้นเราจึงมี ในความหมาย นี้เราจึงมี
                                                              มันจึง...............
"มี      แต่ไม่มี"         "ไม่มี    แต่มี"
...........................................................................................................................
"ต้นไม้มี    แต่ไม่มี"             "ต้นไม้ไม่มี   แต่มี
  "ต้นไม้มี      ...ต้นไม้ที่เราเห็นอยู่มันมีของมันอยู่แล้ว ในความหมายนี้ ต้นไม้จึงมี
   แต่ไม่มี"     ...แต่ถ้าตัวเราไม่ได้ถือกำเนิดขึ้นมา ไม่ได้ไปเห็นมัน ไม่ได้ไปรับ ไปรู้มัน มันก็เหมือนไม่
                         มี
 ในความหมายนี้ มันจึงไม่มี
"ต้นไม้ไม่มี    ...ถ้าเราไม่ได้ถือกำเนิดขึ้นมา ไม่ได้มารับมารู้ว่ามีต้นไม้อยู่ ต้นไม้มันก็เหมือนไม่มี
                        ในความหมายนี้ ต้นไม้จึงไม่มี
   แต่มี"       ...แต่จริงๆแล้วมันก็มีของมันอยู่แล้วไม่ว่าเราจะถือกำเนินมาเห็นมันหรือไม่ถือกำเนิดมา
                     มันก็ยังคงมีอยู่ของมันเช่นนั้น
 ในความหมายนี้ มันจึงมี
                                                          มันจึง............... 
"มี      แต่ไม่มี"         "ไม่    มีแต่มี"
           ...........................................................................................................................
.
                    "ภูเขามี    แต่ไม่มี"             "ภูเขาไม่มี   แต่มี
"ภูเขามี      ...ภูเขาที่เราเห็นอยู่นั้นมันก็มีอยู่แล้วของมันตามธรรมชาติ ในความหมายนี้ มันจึงมี
  
แต่ไม่มี"     ...แต่ถ้าตัวเราไม่ได้ถือกำเนิดขึ้นมา ไม่ได้มาเห็นมา ไม่ได้มารับมารู้มัน มันก็เหมือน
                   ไม่มี
 ในความหมายนี้มันก็เหมือน  ไม่มี
"ภูเขาไม่มี    ...ถ้าเราไม่ได้ถือกำเนินขึ้นไม่ได้มารับ มารู้มัน มันก็เหมือนไม่มี ในความหมายนี้
                       มันจึงเหมือน
 ไม่มี
   แต่มี"   ...แต่จริงๆแล้ว เราจะถือกำเนิดขึ้นมาหรือไม่ถือกำเนินขึ้นมา เราจะเห็นมันหรือไม่เห็น
                 มัน มันก็มีของมันอยู่ตามธรรมชาติเช่นนั้นอยู่แล้ว
 ในความหมายนี้มันจึงเหมือน ไม่มี
                                                      มันจึง...............
                                      "มี      แต่ไม่มี"         "ไม่    มีแต่มี"  
...........................................................................................................................                         หมามี   แต่ไม่มี"             "หมาไม่มี   แต่มี"
"หมามี   ... ที่เราเห็นว่ามันเป็นหมาเพราะมันเกิดมาแล้ว ในความหมายนี้ หมาจึงมี
แต่ไม่มี"   ... แต่จริงๆแล้วหมาก็ถือกำเนิดจากสภาวะที่ไปมีดวงจิตใดรวมทั้งดวงจิตหมานี้ด้วย
                  
 ในความหมายนี้หมาจึงไม่มี
"หมาไม่มี    ...ในธรรมชาติเดิมแท้ไม่เคยมีดวงจิตใดแม้แต่ดวงจิตของหมา 
                    
ในความหมายนี้หมาจึงเหมือน ไม่มี
แต่มี"    ... แต่เพราะมีดวงจิตเกิดขึ้นมาแล้วและต่อมาก็มาเกิดเป็นหมาในความหมายนี้หมาจึงมี
   หมาจึง............... 
"มี      แต่ไม่มี"         "ไม่    มีแต่มี"
...........................................................................................................................
                     "พระอาจารย์มี    แต่ไม่มี"             "พระอาจารย์ไม่มี     แต่มี"

"พระอาจารย์มี   ....ในเวลานี้ท่านพระอาจารย์ท่านก็มีอยู่แล้ว ท่านถือกำเนินมาแล้ว
                              ในที่นี้พระอาจารย์  จึงมี
   แต่ไม่มี"       ... แต่หากเราไม่ได้ถือกำเนิดขึ้นมา ก็ไม่มีเรามารับมารู้ว่าพระอาจารย์มีหรือไม่มี  
                         ท่านพระอาจารย์จึงไม่มี
  ในความหมายนี้พระอาจารย์จึงไม่มี
"พระอาจารย์ไม่มี    ...ในธรรมชาติเดิมแท้ไม่เคยมีดวงจิตของเรา ไม่มีเรา จึงไม่มีเรามารับมา
                         รู้ว่ามีพระอาจารย์อยู่
 ในความหมายนี้พระอาจารย์จึง ไม่มี
แต่มี"    ... แต่เพราะมีดวงจิตของเราเกิดขึ้นมาแล้วและได้มารับมารู้ว่าพระอาจารย์มีอยู่ และได้มาเป็นศิษย์ท่าน ในความหมายนี้พระอาจารย์จึงมี
     พระอาจารย์จึง...............
"มี      แต่ไม่มี"         "ไม่    มีแต่มี"  
...........................................................................................................................
"พระพุทธเจ้ามี   แต่ไม่มี"
             "พระพุทธเจ้าไม่มี   แต่มี"
"พระพุทธเจ้ามี     ...พระพุทธเจ้าเกิดขึ้นมาแล้ว เกิดมาจากความหลงผิดของอวิชาเหมือนกับ
                              ดวงจิตอื่น แล้วในที่สุดดวงจิตดวงนั้นก็ได้เกิดมาเป็นคนและได้มาตรัสรู้

                               ในความหมายนี้พระพุทธเจ้า จึงมี
 แต่ไม่มี"   ... แต่จริงๆแล้วพระพุทธเจ้าก็ถือกำเนินจากสภาวะที่ไปเคยมีดวงจิตของพระพุทธเจ้า 
                        ในความหมายนี้พระพุทธเจ้าจึงไม่มี
"พระพุทธเจ้าไม่มี    ...ในธรรมชาติเดิมแท้ไม่เคยมีดวงจิตใดแม้แต่ดวงจิตของพระพุทธเจ้า 
                      
   ในความหมายนี้พระพุทธเจ้าจึงไม่มี
    แต่มี"     ... แต่เพราะมีดวงจิตเกิดขึ้นมาแล้วและต่อมาก็มาเกิดเป็นพระพุทธเจ้า
                           ใน ความหมายนี้พระพุทธเจ้าจึงมี
 พระพุทธเจ้าจึง...............
"มี      แต่ไม่มี"         "ไม่    มีแต่มี"  
...........................................................................................................................
"ความตายมี   แต่ไม่มี"             "ความตายไม่มี   แต่มี"
"ความตายมี    ...ปัจจุบันเมื่อเราเกิดมาแล้วเราก็ต้องตาย เมื่อมีเราแล้วความตายจึงมี
                        
 ในความหมายนี้ความตาย จึงมี
แต่ไม่มี"      ... แต่จริงๆแล้วตัวเราก็ไม่มีในธรรมชาติ เดิมแท้นั้นไม่มีเรา เมื่อไม่มีเราแล้วความตาย
                       ของเราจะมีได้อย่างไร
 ในความหมายนี้ความตายจึงไม่มี
  "ความตายไม่มี   ...ความตายในธรรมชาตินั้นไม่มี เพราะในธรรมชาติเดิมนั้นไม่มีใครเกิด
                               มีแต่อวิชชาททำให้เราหลงผิด เมื่อไม่มีใครเกิดจึงไม่มีใครตาย

                               ในความหมายนี้ความตายจึง ไม่มี
แต่มี"     ... แต่เพราะตัวเรานั้นได้เกิดขึ้นมาแล้ว เมื่อมีความเกิดขึ้น ความตายจึงมีตามมา
                           
 ในความหมายความตายจึง มี
ความตายจึง...............
"มี      แต่ไม่มี"         "ไม่    มีแต่มี"  
...........................................................................................................................                                                 
                                     "ตัวเรามี     แต่ไม่มี"            
"ตัวเราไม่มี     แต่มี
"ตัวเรามี   แต่ไม่มี"
หมายถึง    ตัวเรามีอยู่    ตอนนี้มันมีเราอยู่แล้ว  มันมีเราที่ได้มานั่งอ่านเนื้อหาในเวบเช่นนี้  นี้แหละคือเรา เราที่มานั่ง งง สงสัย อยู่เช่นนี้ นี้ก็แสดงว่าเรามีอยู่ ในความหมายนี้ ตัวเราจึงมี
แต่จริงแล้วเราก็ถือกำเนินจากสภาวะที่ไม่มี เพราะก่อนที่จิตจะถูกกระทบด้วยแสงนั้นไม่เคยมีเรา แล้วอยู่ดีๆ เราก็เกิดขึ้นมา เกิดมาจากสภาวะที่ไม่เคยมีเรา เดิมในจักรวาลนั้นไม่มีเรา ในความหมายนี้ตัวเราจึงไม่มี
"ตัวเราไม่มี     แต่มี"    ในธรรมชาติเดิมแท้ไม่มีเรา ในความหมายนี้ ตัวเราจึงไม่มี 
                    แต่เกิดอวิชชาขึ้น จึงหลงผิดคิดว่าเป็นเรา ตัวเราจึงมีขึ้น ในความหมายนี้ ตัวเราจึงมี
               อ่านมาถึงตรงนี้อาจจะยังไม่เข้าใจ เพราะวนไปวนมา ลองอีกครั้งนะครับ
"ตัวเรามี     ...ปัจจุบันมีเราเกิดขึ้นมาแล้ว ตัวเราจึงมี
 แต่ไม่มี     ...แต่เดิมทีนั้นในธรรมชาติไม่เรา เราจึงไม่มี
 "ตัวเราไม่มี     ...เดิมที่นั้นไม่มีเรา มีแต่สภาวะธรรมชาติล้วนๆ ในความหมายนี้ ตัวเราจึงไม่มี
แต่มี"     ...แต่ตอนนี้มันมี คือมันมีเรามารับ มารู้ว่าธรรมชาติเดิมแท้ไม่เคยมีเรา แต่ตอนนี้มีเราเป็นผู้รับรู้ว่ามัน ไม่เคยมีเรา  จึงมีเราเกิดขึ้นเราจึงมี ในความหมาย นี้เราจึงมี
                                                             มันจึง...............
                                          "มี      แต่ไม่มี"         "ไม่    มีแต่มี"
...........................................................................................................................
"ต้นไม้มี    แต่ไม่มี"
             "ต้นไม้ไม่มี   แต่มี" 
"ต้นไม้มี      ...ต้นไม้ที่เราเห็นอยู่มันมีของมันอยู่แล้ว ในความหมายนี้ ต้นไม้จึงมี
แต่ไม่มี"     ...แต่ถ้าตัวเราไม่ได้ถือกำเนิดขึ้นมา ไม่ได้ไปเห็นมัน ไม่ได้ไปรับ ไปรู้มัน มันก็เหมือนไม่มี ในความหมายนี้ มันจึงไม่มี
    "ต้นไม้ไม่มี     ...ถ้าเราไม่ได้ถือกำเนิดขึ้นมา ไม่ได้มารับมารู้ว่ามีต้นไม้อยู่ ต้นไม้มันก็เหมือนไม่มี ในความหมายนี้ ต้นไม้จึงไม่มี
   แต่มี" ...แต่จริงๆแล้วมันก็มีของมันอยู่แล้วไม่ว่าเราจะถือกำเนินมาเห็นมันหรือไม่ถือกำเนินมามันก็ยังคงมีอยู่ของมันเช่นนั้น ในความหมายนี้ มันจึงมี
      มันจึง............... 
"มี      แต่ไม่มี"         "ไม่    มีแต่มี"
...........................................................................................................................

"ภูเขามี    แต่ไม่มี"
             "ภูเขาไม่มี   แต่มี
"ภูเขามี     ...ภูเขาที่เราเห็นอยู่นั้นมันก็มีอยู่แล้วของมันตามธรรมชาติ ในความหมายนี้ มันจึงมี
แต่ไม่มี"   ...แต่ถ้าตัวเราไม่ได้ถือกำเนิดขึ้นมา ไม่ได้มาเห็นมา ไม่ได้มารับมารู้มัน มันก็เหมือนไม่มี ในความหมายนี้มันก็เหมือน  ไม่มี
    "ภูเขาไม่มี     ...ถ้าเราไม่ได้ถือกำเนินขึ้นไม่ได้มารับ มารู้มัน มันก็เหมือนไม่มี ในความหมายนี้มันจึงเหมือน ไม่มี
แต่มี"                ...แต่จริงๆแล้ว เราจะถือกำเนิดขึ้นมาหรือไม่ถือกำเนินขึ้นมา เราจะเห็นมันหรือไม่เห็นมัน มันก็มีของมันอยู่ตามธรรมชาติเช่นนั้นอยู่แล้ว ในความหมายนี้มันจึงเหมือน  ไม่มี
       มันจึง..............
มี
      แต่ไม่มี"         "ไม่    มีแต่มี"
...........................................................................................................................
"หมามี   แต่ไม่มี"            
"หมาไม่มี   แต่มี"
"หมามี       ... ที่เราเห็นว่ามันเป็นหมาเพราะมันเกิดมาแล้ว ในความหมายนี้ หมาจึงมี
แต่ไม่มี"      ... แต่จริงๆแล้วหมาก็ถือกำเนิดจากสภาวะที่ไปมีดวงจิตใดรวมทั้งดวงจิตหมานี้ด้วย ในความหมายนี้หมาจึงไม่มี
    "หมาไม่มี   ...ในธรรมชาติเดิมแท้ไม่เคยมีดวงจิตใดแม้แต่ดวงจิตของหมา ในความหมายนี้หมาจึงเหมือน ไม่มี
 แต่มี"     ... แต่เพราะมีดวงจิตเกิดขึ้นมาแล้วและต่อมาก็มาเกิดเป็นหมาในความหมายนี้หมาจึงมี
        หมาจึง............... 
"มี      แต่ไม่มี"         "ไม่    มีแต่มี"  
...........................................................................................................................
"พระอาจารย์มี    แต่ไม่มี"      "พระอาจารย์ไม่มี   แต่มี"         
"พระอาจารย์มี     ....ในเวลานี้ท่านพระอาจารย์ท่านก็มีอยู่แล้ว ท่านถือกำเนินมาแล้ว ในที่นี้พระอาจารย์  จึงมี
  แต่ไม่มี"   ... แต่หากเราไม่ได้ถือกำเนิดขึ้นมา ก็ไม่มีเรามารับมารู้ว่าพระอาจารย์มีหรือไม่มี  ท่านพระอาจารย์จึงไม่มี  ในความหมายนี้พระอาจารย์จึงไม่มี
 "พระอาจารย์ไม่มี    ...ในธรรมชาติเดิมแท้ไม่เคยมีดวงจิตของเรา ไม่มีเรา จึงไม่มีเรามารับมารู้ว่ามีพระอาจารย์อยู่ ในความหมายนี้พระอาจารย์จึง ไม่มี
แต่มี"       ... แต่เพราะมีดวงจิตของเราเกิดขึ้นมาแล้วและได้มารับมารู้ว่าพระอาจารย์มีอยู่ และได้มาเป็นศิษย์ท่าน ในความหมายนี้พระอาจารย์จึงมี
     พระอาจารย์จึง............... 
"มี      แต่ไม่มี"         "ไม่    มีแต่มี"  
...........................................................................................................................
"พระพุทธเจ้ามี   แต่ไม่มี"
             "พระพุทธเจ้าไม่มี   แต่มี"
"พระพุทธเจ้ามี      ...พระพุทธเจ้าเกิดขึ้นมาแล้ว เกิดมาจากความหลงผิดของอวิชาเหมือนกับดวงจิตอื่น แล้วในที่สุดดวงจิตดวงนั้นก็ได้เกิดมาเป็นคนและได้มาตรัสรู้ ในความหมายนี้พระพุทธเจ้า จึงมี
แต่ไม่มี"    ... แต่จริงๆแล้วพระพุทธเจ้าก็ถือกำเนินจากสภาวะที่ไปเคยมีดวงจิตของพระพุทธเจ้า ในความหมายนี้พระพุทธเจ้าจึงไม่มี
    "พระพุทธเจ้าไม่มี  ..ในธรรมชาติเดิมแท้ไม่เคยมีดวงจิตใดแม้แต่ดวงจิตของพระพุทธเจ้า ในความหมายนี้พระพุทธเจ้าจึงไม่มี
แต่มี"    ... แต่เพราะมีดวงจิตเกิดขึ้นมาแล้วและต่อมาก็มาเกิดเป็นพระพุทธเจ้าในความหมายนี้พระพุทธเจ้าจึงมี
            พระพุทธเจ้าจึง............... 
"มี      แต่ไม่มี"         "ไม่    มีแต่มี"  
...........................................................................................................................
"ความตายมี   แต่ไม่มี"             "ความตายไม่มี   แต่มี"
"ความตายมี       ...ปัจจุบันเมื่อเราเกิดมาแล้วเราก็ต้องตาย เมื่อมีเราแล้วความตายจึงมี ในความหมายนี้ความตาย จึงมี
แต่ไม่มี"        ... แต่จริงๆแล้วตัวเราก็ไม่มีในธรรมชาติ เดิมแท้นั้นไม่มีเรา เมื่อไม่มีเราแล้วความตายของเราจะมีได้อย่างไร ในความหมายนี้ความตายจึงไม่มี
"ความตายไม่มี    ...ความตายในธรรมชาตินั้นไม่มี เพราะในธรรมชาติเดิมนั้นไม่มีใครเกิด มีแต่อวิชาททำให้เราหลงผิด เมื่อไม่มีใครเกิดจึงไม่มีใครตาย ในความหมายนี้ความตายจึง ไม่มี
แต่มี"   ... แต่เพราะตัวเรานั้นได้เกิดขึ้นมาแล้ว เมื่อมีความเกิดขึ้น ความตายจึงมีตามมา ในความหมายความตายจึง มี
ความตายจึง............... 
"มี      แต่ไม่มี"         "ไม่    มีแต่มี"  
...........................................................................................................................
          
เพราะความเกิดขึ้นของเรานี้เองทุกอย่างจึงมีแก่เรา ซึ่งจริงๆแล้วถ้าจิตเราไม่ถือกำเนิดขึ้นสิ่งต่างๆจะมีหรือไม่มี ก็เรื่องของมันเพราะไม่มีใครไปรับไปรู้ว่ามันมีหรือไม่มี
          ในสภาวะขณะที่ข้าพเจ้ามีดวงตาเห็นธรรมนั้น จิตได้ถามและตอบซึ่งมีอะไรมากกว่าที่เขียนเอาไว้ แต่ที่ข้าพเจ้าข้ามไปหรืองดที่จะเขียนลงในเวปเพราะเห็นว่ามันยากที่จะเข้าใจ มันยากที่จะตีความ เมื่อยากที่จะตีความก็อาจจะทำให้ตีความผิดได้ หากข้าพเจ้าเขียนทุกอย่างลงไปผู้ที่เข้ามาอ่านเวบ อ่านแค่หน้าต้นๆก็คงจะไม่กลับมาอ่านอีก หรืออาจจะมีอคติกับข้าพเจ้าไปเลยก็ได้ เช่นประโยคที่ถือว่ารุ่นแรงที่สุดสำหรับชาวพุทธหากข้าพเจ้าเขียนลงไปว่า
"ไม่มีความแตกต่างระหว่างพุทธเจ้ากับหมาขี้เรื้อน"
          แค่ประโยคนี้ก็ถือว่าหนักเอาการ เพราะถือว่าเป็นคนเลวทรามมากๆที่กล่าวเช่นนี้ เพราะเอาพระพุทธเจ้าที่เป็นสิ่งสูงมาเปรียบกับหมาขี้เรื้อนที่ต่ำมากๆ  คนที่กล่าวเช่นนี้ต้องแย่มากๆ
          ประโยคที่ว่า "ไม่มีความแตกต่างระหว่างพุทธเจ้ากับหมาขี้เรื้อนเป็นเช่นนั้นจริงๆ เพราะจิตเดิมแท้นั้นมีสภาวะเดียวไม่มีความเหมือนและไม่แตกต่าง อวิชชาทำให้เกิดจิตไม่แท้ขึ้นมา แล้วจิตนั้น...ไม่ว่าจะเป็นจิตของพระพุทธเจ้า จิตของมด จิตหนู จิตแมลง จิตของหมาขี้เรื้อนก็เกิดมาจากสภาวะเดียวกันไม่แตกต่างกันเลย
          แต่ขอเตือนผู้อ่านก่อนนะครับว่าประโยคที่ว่า  "ไม่มีความแตกต่างระหว่างพุทธเจ้ากับหมาขี้เรื้อนอย่าได้เอาประโยคนี้ไปพูดให้ใครฟังนะครับ เพราะคุณอาจจะถูกมองเป็นคนเลวทันที
          แม้แต่ข้าพเจ้าก็ยังงดเขียนประโยคนี้ลงเวป เพราะเห็นว่ามันยากที่ใครจะเข้าใจ 
          อริยเจ้าถึงแม้ท่านจะเห็นธรรมแล้ว ท่านจะทำอะไรท่านก็ยังเคารพสมมุติ กล่าวถึงตรงนี้ก็ทำให้คิดถึงท่านพระอาจารย์ มีอยู่วันหนึ่งในขณะที่ฉันอาหารเพลในสำนักปฎิบัติของพระอาจารย์  ซึ่งเป็นธรรมดาของทุกวันเมื่อฉันอาหารเสร็จ ก่อนจะลุกจากไปท่านพระอาจารย์ก็กราบพระพุทธรูปเหมือนทุกวัน แต่วันนั้นเมื่อพระอาจารย์กราบพระเสร็จ ท่านพระอาจารย์ก็หันมาพูดกับศิษย์ว่า
 "กราบแล้วรู้สึกโกหกตัวเอง เพราะเรารู้อยู่ว่าพระพุทธเจ้าไม่ใช่สิ่งนี้"
          แล้วพระอาจารย์ก็ลุกจากไป ...แต่จนถึงทุกวันนี้ท่านพระอาจารย์ก็ยังคงกราบพระพุทธรูป ยังคงสวดมนต์ ยังคงกราบพระพุทธรูป เพราะท่านพระอาจารย์เคารพสมมุติของโลกและก็สอนให้ลูกศิษย์เคารพในสมมุติ ครองตนด้วยการไม่ขัดสมมุติของโลก
...........................................................................................................................
          สำหรับเหตุผลที่ว่าทำไมเวปพุทธแท้เงียบๆไปไม่มีการถามตอบใหม่ๆก็เนื่องจากช่วงที่ผ่านมาข้าพเจ้าไม่ค่อยจะมีเวลาว่างแต่วันคืนนี้(24 พ.ย.47) ข้าพเจ้าพอมีเวลาอยู่บ้างจึงได้ update  เวป  และตอบ e-mail บ้างบางส่วน แต่อย่างไรก็จะทยอยตอบให้แล้วเสร็จภายใน 7 วันนับจากวันนี้  
          ในช่วงที่ผ่านมาข้าพเจ้าได้พบเจออะไรมากมายและมีบ้างเรื่องได้เปลี่ยนความคิดข้าพเจ้าไปเลยก็มีอย่างเช่น มีงานหนึ่งที่ข้าพเจ้าได้รับมอบหมายให้ไปควบคุมการก่อสร้าง วันแรกข้าพเจ้าสั่งหยุดงานผู้รับเหมาเนื่องจากเห็นว่าไม่ปลอดภัย ผู้รับเหมาก็โวยวายไม่พอใจบอกว่าจะไม่รับงานนี้แล้ว จะกลับและจะขนเครื่องมือกลับ ข้าพเจ้าก็ยังยืนยันว่าไม่ให้ทำเพราะเห็นว่าไม่ปลอดภัย ผู้รับเหมาก็ยืนโวยวายพูดอะไรต้องมากมาย เพราะผู้รับเหมารายนี้เป็นผู้รับเหมาที่มีเส้นสายในวงใน ข้าพเจ้าก็ไม่ยอมให้ทำ บอกว่าไม่ได้ทำตามขั้นตอนที่ตกลงกัน  ที่ตกลงกันไว้ไม่ใช่แบบนี้   เข้าก็อ้างถึงหัวหน้าของข้าพเจ้าว่าตกลงกันแล้วว่าให้ทำแบบนี้ได้  สุดท้ายหัวหน้าของข้าพเจ้ามาและเจรจากันอยู่พักเพื่อหาวิธีทำที่ปลอดภัย สรุปก็มีแนวทางใหม่ในการทำงาน ส่วนข้าพเจ้าก็ไม่ได้คัดค้านอะไรเพราะเห็นว่าหัวหน้าของข้าพเจ้าซึ่งเป็นเพื่อนกับข้าพเจ้าเป็นผู้เจรจาเองก็น่าจะไม่มีปัญหาอะไรเพราะวิศวกรน่าจะรู้อะไรมากกว่าข้าพเจ้า สรุปวันแรกก็ทำงานต่ออีกหนึ่งชั่วโมงแล้วก็เย็นทุกคนก็เลิกงาน วันที่สองก็มีปัญหาเกิดขึ้น เกิดอุบัติเหตุมีคนงานตายหนึ่งคน ทุกคนทำอะไรไม่ถูก ทุกคนเสียใจ หัวหน้าของข้าพเจ้าก็เสียใจ ความรู้สึกแย่ก็เกินขึ้นกับทุกคน ข้าพเจ้าก็ยืนคุมงานอยู่ตรงนั้นเห็นเหตุการณ์ทุกอย่าง มันรวดเร็วมาก ทุกคนพยามจะเอาคนเจ็บออกจากที่เกิดเหตุ บางคนก็ร้องไห บางคนก็ทำอะไรไม่ถูก ผ่านไป 10 นาที จึงสามารถเอาคนเจ็บออกจากจุดเกิดเหตุได้ ข้าพเจ้าตามไปที่โรงพยาบาล ไปคุยกับหมอ หมอบอกว่าเขาตายก่อนมาถึงโรงพยาบาล 
           เพื่อนข้าพเจ้าซึ่งเป็นวิศวกรรมช๊อคกับเหตุการณ์นี้มากเพราะเขาเป็นผู้มีอำนาจสูงสุดในการตัดสินใจในงาน ส่วนข้าพเจ้ารู้สึกสงสารผู้ตาย เพราะแกเป็นคุณลุงแก่ๆคนหนึ่งอายุ 54 ปี ทำงานก่อสร้างห้าเลี้ยงครอบครัวและเมื่อวานข้าพเจ้าก็ยังคุยเล่นหยอกล้ออยู่กับแกอยู่  วันนี้แกมาตายเสียแล้ว 
          เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทำให้ข้าพเจ้าได้คิดอะไรหลายอย่าง ว่าทำไมข้าพเจ้าถึงไม่ยอมคัดค้าน ข้าพเจ้าน่าจะคิดอะไรต่อ ไม่น่าจะเพิกเฉย ไม่น่าจะคิดว่าเมื่อวิศวกรตัดสินแล้วก็ไม่น่าจะเป็นอะไร ข้าพเจ้าไม่น่าคิดเช่นนั้น  เพราะเมื่อมาคุยกันตอนหลังหัวหน้าซึ่งเป็นเพื่อนกับข้าพเจ้าบอกว่าเขาไม่ได้คิดถึงตรงนั้นเลย เขามองในแงดี ไม่ได้มองในแงลบ ไม่ได้คิดว่ามันจะมีอะไร เพราะผู้รับเหมาก็เคยทำงานนี้มายี่สิบกว่าปี 
          ทำให้ข้าพเจ้าเห็นว่าผู้ไม่รู้ นั้นเขาไม่รู้จริงๆ อย่างคนงานก่อสร้างนั้นเขาไม่รู้ว่างานนั้นมีอันตราย เขามองไม่เห็น เมื่อเจ้านายสั่งให้เขาทำ เขาก็ทำ ไม่คิดเลยว่าเป็นจะมีอันตราย เพราะเคยทำกันมาบ่อยแล้ว ทำให้ข้าพเจ้าคิดได้ว่าคนที่รู้ คนที่มีความรู้จะต้องบอกเข้า ถ้าไม่บอกเขา เขาก็ไม่รู้ เห็นถึงผู้มีอำนาจ ผู้มีความรู้ ควรจะปกป้องคนที่เข้าไม่มีความรู้  คนที่มีปัญญามากกว่าควรจะปกป้องคนที่ด้อยกว่า เห็นถึงองค์รวมต่างๆ เช่นเห็นว่าผู้มีอำนาจในที่ต่างๆ ในบ้านในเมือง เป็นผู้ที่มีความรู้ควรจะใช้ความรู้นั้นให้เต็มที่ ไม่ควรจะเฉยเมยต่อสิ่งที่เห็นว่าไม่ดี ควรจะบอกสิ่งที่ตนรู้แก่ผู้ที่ไม่รู้ เพื่อให้เขาเหล่านั้นไม่อยู่ในอันตราย ไม่อยู่ในทุกข์มากเกินไป 
          ในวันที่ข้าพเจ้ามีดวงตาเห็นธรรม ข้าพเจ้าเข้าใจพระพุทธเจ้าว่าเหตุใดพระองค์จึงคิดที่จะไม่สอนธรรมในตอนแรก เหตุเพราะธรรมนั้นมันลึกซึ้งเกินไปที่ใครจะเข้าได้  แต่มาวันนี้ข้าพเจ้าเข้าใจแล้วว่าเหตุใดพระพุทธเจ้าจึงยอมสอนธรรมในเวลาต่อมา  เพราะพระองค์เห็นว่า เพราะคนเขาไม่รู้ เขาจึงเป็นเช่นนั้น แต่พระองค์นั้น  พระองค์รู้แล้ว เมื่อรู้แล้วพระองค์ต้องบอกเขา บอกให้เขารู้ว่าอะไรมันคืออะไร พระองค์จะเฉยเมยไม่ได้ มันเป็นสิ่งที่ควรทำสำหรับผู้รู้ ผู้ที่รู้แล้วต้องบอก ต้องสอนให้คนที่ไม่รู้ได้รู้ถึงทุกข์ที่เขาอยู่กับมัน
          และมันก็ย้อนกับมาที่ข้าพเจ้าว่าในทางธรรมก็เช่นเดียวกัน ข้าพเจ้าต้องบอกในสิ่งที่ข้าพเจ้ารู้ทั้งหมด ธรรมที่ได้จากสภาวธรรม ความรู้ธรรมที่ได้จากพระอาจารย์  ข้าพเจ้าต้องเอามาสอนคนอื่น ข้าพเจ้าจะสอนแค่นิดๆหน่อยไม่ได้อีกแล้ว ข้าพเจ้าจะไม่สอนไม่บอกบางอย่าง เพราะมัวแต่กลัวคนอื่นเข้าใจข้าพเจ้าผิดไม่ได้อีกแล้ว ต่อไปนี้ข้าพเจ้าจะต้องพูดทุกอย่างโดยไม่สนใจว่าใครจะเข้าใจผิด เพราะถือว่าเป็นความจริง ต่อไปนี้ข้าพเจ้าจะกล้าที่จะบอกตรงๆว่า อะไรที่ไม่ใช้ธรรม โดยไม่สนใจว่าจะทำให้ใครไม่พอใจอันเนื่องมาจากธรรมที่สอนผิดเหล่านั้นมาจากครูอาจารย์ของใครบางกลุ่ม ต่อไปนี้จะกล้าที่จะชนกับธรรมจอมปลอม เนื่องด้วยข้าพเจ้าเห็นว่าผู้ที่รู้แล้วควรบอกให้ผู้ไม่รู้ได้รู้ในสิ่งที่ถูกต้อง เพราะที่ผ่านมาข้าพเจ้าเกรงใจที่จะกล่าวตรงๆว่าธรรมของใครผิด เพราะเห็นว่าจะทำให้ผู้คนที่นับถือพระที่สอนผิดนั้นไม่พอได้ แต่ต่อนี้ไป ธรรมใดที่เป็นธรรมข้าพเจ้าก็จะกล่าวตรงๆ สิ่งใดที่ทำให้พุทธศาสนาผิดเพี้ยน สิ่งใดที่ทำให้ธรรมของพระพุทธองค์ผิดเพี้ยน ข้าพเจ้าก็ต้องทำหน้าที่เป็นผู้กล่าวแทนผู้เป็นอริยะทั้งหลาย เพราะถือว่าข้าพเจ้าได้มีโอกาสทำในจุดนี้แล้วก็ต้องทำให้ดีที่สุด เพราะอริยะท่านอื่นท่านไม่สะดวก บางก็เป็นพระ บางก็ไม่อยากจะทำให้สมมุติของตนยุ่งยาก  บางก็ไม่มีความรู้เรื่องอินเตอร์เน็ต แต่ข้าพเจ้าไม่ใช้พระจึงไม่ขัดกับสมมุติใดๆ และข้าพเจ้าก็มีความรู้เรื่องอินเตอร์เน็ตเรื่องเทคโนโลยีมากพอที่จะใช้มันถ่ายถอดความรู้ได้  และก็ไม่ต้องกลัวความยุ่งยากใดๆ เพราะข้าพเจ้าไม่ได้เปิดเผยตัว จึงไม่ต้องระวังตัวว่าจะมีใครมีคิดร้ายอะไร จะกินอะไรก็ไม่ต้องกลัวว่าจะมีใครมาใส่ยาพิษในอาหาร
                  ขอธรรมจงมีแต่ท่าน.........
 

ปัญหาธรรมข้อ 42   ธรรมหรือจิตนั้นหรือนิพพานนั้นเหตุใดจึงอยู่เหนือสมมุติ 
          
แผ่นดินไหว และคลื่นยักษ์ซึนามิ(Tsunami) เกิดจากมนุษย์ และจะเกิดขึ้นอีก จะหนักกว่าครั้งนี้(26 ธ.ค.47)
          ธรรมหรือจิตนั้น หรือนิพพานนั้นเหตุใดจึงอยู่เหนือสมมุติ เหตุใดเราจึงไม่สามารถกล่าวถึงมันได้ อริยะเจ้านั้นคงหมดความสงสัยในนิพพาน แต่คนธรรมดานั้นอย่างไรก็ยังไม่เข้าใจว่าจิตหรือนิพพานคืออะไร เข้าใจว่าท่านกล่าวว่า "อย่าพยายามให้ความหมายของนิพพานเพราะอย่างไรมันก็ไม่ถูกต้อง เพราะนิพานนั้นอยู่เหนือสมมุตติ ใช้สมมุตติเช่นไรก็ไม่ถูกต้อง" นิพพานนั้นพระอาจารย์ของท่านกล่าวว่าเล็กจนมองไม่เห็น แต่จักรวาลที่กว้างใหญ่ไพศาลอันหาขอบเขตไม่ได้ ก็อยู่ในจิต จิตจึงใหญ่เท่ากับจักรวาล   เมื่อผมได้อ่านแล้วจึงให้สงสัยว่าจิตหรือนิพพานนั้นมีการเพิ่มขึ้นและลดลงหรืออย่างไร ช่วยอธิบายให้ด้วย
          หากไม่ตอบก็ไม่เป็นไรเพราะรู้สึกเสียมารยาทเช่นกัน ที่ถามคำถามที่ท่านพยายามกล่าวว่า อย่าไปให้ความหมายของนิพพาน
          ด้วยความเคารพในธรรมของท่าน

ตอบ
          ก่อนอื่นข้าพเจ้าต้องขอกล่าวขออภัยแก่ผู้ติดตามอ่านเนื้อหาใน web และต้องกล่าวขออภัยสำหรับทุกท่านที่ส่งคำถามเข้ามา และข้าพเจ้าก็ยังไม่ได้ตอบคำถามของท่าน แต่อย่างไรก็ดีข้าพเจ้าจะตอบ คำถามจาก e- mail  ทุกฉบับ
          ต้องขออภัยด้วยจริงๆครับ เพราะหลังจากปรับปรุงข้อมูลและตอบคำถามปัญหาธรรมข้อที่40 และ ปัญหาธรรมข้อที่41 ( เมื่อวันที่ 24 พฤศจิกายน2547)  ข้าพเจ้าก็ไม่มีโอกาสได้เปิด internet เนื่องด้วยการเรียนและการงานต่างๆ .....ต้องขออภัยอีกครั้งครับ แต่วันนี้(31 .. 47)พอมีเวลาอยู่บ้างจึงรีบตอบให้
ขอตอบคำถามที่ถามมานะครับ
          เราคงได้ยินได้ฟังกับคำเหล่านี้มาบ้าง
          "อย่ายึดมันถือมันว่างจากของคู่สรรพสิ่งไม่มีอะไรแตกต่างกันธรรมไม่มีการแบ่งแยก,ทุกสิ่งเป็นหนึ่งเดี่ยว"
          คำเหล่านี้ที่เราเคยได้ยินจากครูบาร์อาจารย์ต่างๆที่ท่านสอน ครูบาร์อาจารย์เหล่านั้นถึงแม้ว่าท่านจะเข้าถึงธรรมแล้ว แต่ธรรมที่ท่านแสดงบ้างครั้งท่านก็ยังต้องอาศัยสมมุติ แต่จริงๆแล้วท่านก็รู้อยู่แก่ตัวท่านเองว่าธรรมนั้นไม่มีอะไรจะกล่าวได้ ท่านจะกล่าวว่าธรรมนั้นเป็นหนึ่งเดียว ท่านกล่าว..ท่านก็เข้าใจในตัวของท่านดีว่า ไอ้คำว่าหนึ่งเดียวนั้นหมายความว่าอย่างไร ท่านจะกล่าวว่าธรรมไม่มีการแบ่งแยก ท่านกล่าว..ท่านก็เข้าใจแก่ตัวท่านดีว่าหมายความว่าอย่างไร และคำสอนต่างๆที่ท่านสอน ท่านก็รู้อยู่ว่าธรรมที่ท่านสอนหมายความว่าอย่างไร
          ถึงแม้ว่าธรรมนั้นไม่มีสมมุติใดเลยที่จะกล่าว แต่ถ้าไม่กล่าวอะไรเลย ก็ไม่มีคำสอนอะไรเลยให้ศึกษา เมื่อไม่มีคำสอน ศาสนาพุทธก็จะหมดไป เพื่อให้ธรรมดำรงอยู่ จึงต้องอาศัยสมมุติในการแสดงธรรม ไม่ว่าจะเป็นสมมุติทางภาษาพูดหรือสมมุติทางภาษากายก็ดี     
          ที่เราได้ยิน ได้ฟัง ได้เห็น ครูอาจารย์ผู้เข้าถึงธรรมแล้วแสดงธรรมนั้น ท่านใช้สมมุติสอนเรา แต่ถ้าหากท่านไม่ให้สมมุติสอนเราแล้วจริงๆจะเป็นเช่นไร              
         นิพพานนั้นอยู่เหนือสมมุติจริงๆ ถึงอริยะเจ้าเข้าถึงธรรมแล้ว และได้รู้ว่านิพพานคืออะไร ถึงรู้ก็ไม่สามารถกล่าวได้ว่ามันคืออะไร เพราะหากกล่าวไปแล้วความหมายของมันจะคลาดเคลื่อนทันที่ เหตุใดข้าพเจ้าจึงกล่าวเช่นนั้น ที่กล่าวเช่นนั้นเพราะมันเป็นเช่นนั้นจริงๆ ยกตัวอย่างเช่น 
          "ผู้เข้าถึงธรรมเป็นอริยะเจ้านั้นแล้ว ได้รู้ว่าธรรมนั้นไม่มีความแตกต่าง แต่ท่านก็ไม่กล่าวว่าธรรมนั้นเป็นหนึ่งเดียว" 
          เหตุที่ไม่กล่าวว่ามันเป็นหนึ่งเดียว เพราะหากท่านกล่าวว่าธรรมเป็นหนึ่งเดียว ธรรมนั้นก็จะคลาดเคลื่อนไปทันที่ เพราะมันจะกลายเป็นความไม่หนึ่งเดียวขึ้นทันที่
 เมื่อกล่าวแล้วมันไม่เป็นหนึ่งเดียวเช่นไร
ขออธิบายดังนี้ว่า เมื่อกล่าวเช่นนั้นก็มีความแตกแยกขึ้นทันที่ คือมีผู้กล่าวเกิดขึ้นมา เมื่อมีผู้กล่าวเกิดขึ้นมา ธรรมที่กล่าวว่าเป็นหนึ่งก็ไม่ใช่ทันที ความเป็นหนึ่งมันจะเป็นไปได้อย่างไรเพราะมันกลายเป็นสองไปเสียแล้ว คือหนึ่งนั้นก็คือธรรมที่กล่าวถึง และสองนั้นก็คือตัวผู้กล่าว เมื่อเป็นเช่นนั้นจึงไม่ใช่ธรรม จึงไม่ใช่นิพพาน จึงไม่ใช่จิตเดิมแท้อีกต่อไป นี้มันเป็นเช่นนี้อริยะเจ้าจึงไม่กล่าวว่าธรรมนั้นเป็นหนึ่งเดียว ถึงแม้ว่าธรรมนั้นจะเป็นหนึ่งหรือไม่เป็นหนึ่ง ถึงเข้าใจก็กล่าวไม่ได้

(คำว่าจิต จิตเดิมแท้ สิ่งนั้น ตถาตา มรรค และนิพพาน คำเหล่านี้หมายถึงสิ่งเดียวกัน)
รูปวงกลมเขียว

ขออธิบายด้วยภาพดังนี้
          จากภาพที่1 วงกลมที่เราเห็น ขอสมมุตติให้แทนจักรวาลทั้งจักรวาล แทนทุกสิ่งทุกอย่าง เมื่อทุกสิ่งทุกอย่างไม่มีความแตกแยกจึงแทนด้วยวงกลมและเนื่องด้วยทุกสิ่งทุกอย่างไม่มีอะไรที่แตกต่างกันจึงเป็นวงกลมเดียว...และเมื่อ ...."ผู้เข้าถึงธรรมเป็นอริยะเจ้านั้นแล้ว ได้รู้ว่าธรรมนั้นไม่มีความแตกต่าง แต่ท่านก็ไม่กล่าวว่าธรรมนั้นเป็นหนึ่งเดียว"  เพราะถ้ากล่าวว่าธรรมเป็นหนึ่งเดียวธรรมก็จะไม่เป็นหนึ่งเดียว ดังภาพที่2
รูปวงกลมเขียว จุดขาว
เมื่อกล่าวว่าธรรมเป็นหนึ่งเดียวก็จะเกิดเป็นสองขึ้นทันที่  คือเกิดผู้กล่าวแยกออกมา 
จากภาพที่2 จุดที่เกิดขึ้นมาใหม่ก็คือตัวผู้กล่าวนั้นเอง จากภาพจึงเห็นว่าธรรมนั้นกล่าวแทนด้วยสมมุติไม่ได้ เพราะเมื่อเข้าถึงธรรมเห็นธรรมไม่มีความแบ่งแยกดังภาพที่1  แต่ถ้ากล่าว ก็จะเกิดเป็นเราแยกออกมาดังภาพที่2 จะเกิดวงกลมเล็กขึ้นมาคือตัวผู้กล่าว
เมื่อกล่าวก็จะเกิดของคู่ขึ้นทันที่ เกิดผู้รู้ และผู้ถูกรู้ ผู้รู้ก็คือผู้รู้ว่าธรรมไม่แบ่งแยกหรือก็คือผู้กล่าวนั้นเอง(วงกลมเล็ก)  ผู้ถูกรู้ก็คือธรรม(วงกลมใหญ่)
(รูปวงกลมนั้นข้าพเจ้าสมมุติขึ้นมา อ่านเนื้อหาแล้วอย่าไปติดในรูปวงกลมนะครับ อ่านแล้วให้ผ่านๆไป อย่าเอาวงกลมไปเปรียบกับธรรมหรือสิ่งอื่นๆ )
          "เมื่ออริยะเจ้าเข้าถึงธรรมแล้ว เห็นว่าสรรพสิ่งไม่มีการแบ่งแยก   อริยะเจ้าก็ไม่กล่าวว่าของสิ่งนั้นเหมือนกับของสิ่งนี้" 
          เพราะถ้ากล่าวเช่นนั้นมันก็กลายเป็นการแบ่งแยก คือของถูกแยกออกมาเป็นสองสิ่ง และเอาของทั้งสองสิ่งมาเปรียบเทียบกัน เมื่อเทียบแล้วจึงรู้ว่าทั้งสองเหมือนกัน 
          "เมื่ออริยะเจ้าเข้าถึงธรรมแล้ว เห็นว่าธรรมมีความเป็นเช่นนั้นเอง  อริยะเจ้าก็ไม่กล่าวว่าธรรมคือความเป็นเช่นนั้นเอง"
          เพราะถ้ากล่าวเช่นนั้น"ความเป็นเช่นนั้นเองก็หมดไปในทันที่ เพราะมีผู้กล่าวเป็นผู้กำหนดมัน เพราะหากมันมีความเป็นเช่นนั้นเองแล้วไม่ต้องไปกำหนดมัน ถ้ากำหนดมัน มันก็จะไม่เป็นเช่นนั้นเอง มันมีเราเข้าไปเกี่ยวข้อง  
          "นิพพานอยู่เหนือสมมุติ ไม่มีสมมุติใดเลยที่กล่าวอ้างนิพพานได้ นิพพานคงที่ ไม่ว่าจะมีใครเกิดขึ้นหรือตายจากไป ไม่ว่าดวงจิตจะเกิดขึ้นใหม่หรือว่าจะมีดวงจิตเก่าจะบรรลุอรหันต์ ก็ไม่ทำให้นิพพานเปลี่ยนไป นิพพานไม่เพิ่มขึ้นหรือลดลง  จำนวนดวงดาวจะเกิดเพิ่มขึ้น จำนวนดาวจะดับลดน้อยลง  อะไรจะเกิดขึ้นหรือลดลงนิพพานก็คงเดิม จะมีผู้บรรลุธรรมหรือไม่มี จะมีพระพุทธเจ้าเกิดขึ้นหรือไม่เกิดขึ้น นิพพานก็ยังคงอยู่ จะมีคนรับรู้หรือไม่รับรู้นิพพานก็ยังคงเป็นเช่นนั้น นิพพานมีอยู่ทุกที่ไม่ขึ้นต่อกาละเวลา"
 แผ่นดินไหวและสึนาม
          เมื่อกล่าวมาถึงตรงนี้ อยากจะขอกล่าวเรื่องพลังงาน เรื่องความสมดุลของพลังงาน เรื่องแผ่นดินไหว เรื่องสึนามิ(Tsunami)คลื่นยักษ์ที่เกิดขึ้น อยากจะบอกให้รู้ว่ามันเกิดขึ้นเพราะมนุษย์เป็นผู้กระทำ และจะเกิดขึ้นอีก และจะหนักกว่านี้หลายเท่า และจะมีภัยธรรมชาติ และโรคร้าย อีกหลายอย่างที่ตามมา 
          ในวันที่ 26 ธันวาคม 2547  มีคนโทรมาบอกว่าเกิดแผนดินไหวและเกิดคลื่นยักษ์ที่ภาคใต้ของประเทศไทยและมีคนตาย เนื่องด้วยข้าพเจ้าเคยบอกเพื่อนเมื่อหลายปีก่อนว่าพระอาจารย์บอกว่าจะมีการเกิดแผ่นดินไหวและคลื่นยักษ์ขึ้นทั่วโลก รวมทั้งประเทศไทยด้วย ขณะที่เพื่อนโทรมาบอกข้าพเจ้าคิดว่าเป็นแค่แผ่นดินไหวเล็กๆและก็น่าจะไม่มีอะไรมาก แต่เมื่อกลับมาดูข่าวจาก TV. ที่บ้านก็รู้ว่ามันเกิดผลเสียหายมากมายเหลือเกิน อย่างเช่นยอดสรุปในวันนี้(31 ธค.47) พบศพผู้เสียชีวิตในประเทศไทยถึงสี่พันกว่าคน ผู้บาดเจ็บเก้าพันกว่ากัน และมีผู้สูญหายหกพันกว่าคน และยอดรวมของศพผู้เสียชีวิตในเอเซียมีมากถึงแสนกว่าศพ ซึ่งถือว่าเป็นภัยพิบัติทางธรรมชาติที่ทำให้เกิดความเสียหายต่อชีวิตมนุษย์มากที่สุดในประวัติศาสตร์ของมนุษย์ที่เคยบันไว้ 
          แผ่นดินไหวเป็นต้นเหตุให้เกิดคลื่นยักษ์สึนามิ
 และแผ่นดินไหวเกิดขึ้นได้อย่างไร ?
 แผ่นดินไหวเกิดจากความไม่สมดุลของพลังงานที่แกนโลก
และความไม่สมดุลเกิดขึ้นได้อย่างไร ?
ความไม่สมดุลเกิดขึ้นจากมนุษย์กระทำขึ้นเอง ทำลายธรรมชาติทั้งบนพื้นดิน ในอากาศ ใต้ดิน สรุปมนุษย์ทำลายทุกอย่างที่เป็นความสมดุลของโลก
          ธรรมชาติเก็บพลังงานไว้ในรูปของความเย็น เก็บเป็นก๊าซ เป็นน้ำมัน เป็นฐานหิน ฯลฯ เก็บไว้ใต้ดิน แต่ด้วยความอวดดีคิดว่าตนฉลาด มนุษย์ได้ขุดมันขึ้นมาจากใต้ดินแล้วนำมาใช้งานโดยเปลี่ยนให้มันกลายเป็นพลังงานความร้อน เอามาเผา ไม่ว่าจะเป็นผลิตไฟฟ้า เอามาเผาในเครื่องยนต์ของรถยนต์ ช่างไม่รู้อะไรเสียเลย ธรรมชาตินั้นเก็บไว้ในรูปของความเย็นแต่มนุษย์เปลี่ยนให้เป็นความร้อน มันก็เกิดปัญหาขึ้นนะซิ ทำความสมดุลของโลกเปลี่ยนไปทันที ชั้นโอโซนเสียไปจนไม่มีโอโซนที่ช่วยเป็นเกาะกั้นบังรังสีจากนอกโลก เราจึงเป็นโรคต่างๆมากขึ้น โลกร้อนเพราะปรากฏการเรือนกระจก สนามแม่เหล็กโลก  แกนโลกขาดความสมดุล พลังงานในแกนโลกขาดความสมดุลเพราะมนุษย์ทำให้มันเป็นเช่นนั้น เมื่อส่วนใดของโลกขาดความสมดุลโลกก็จะปรับตัวของมันเองเพื่อให้เกิดความสมดุล อย่างเช่นแผ่นดินไหวเกินจากแกนโลกขาดความสมดุล เมื่อแกนโลกขาดความสมดุลทางพลังงานแกนโลกก็จะมีการเคลื่อนที่แบบไม่สมดุล และเพื่อให้ความสมดุล แกนโลกจะต้องมีพลังงานเท่าเดิมจึงจะสมดุล แกนโลกจึงส่งผลให้เปลือกโลกขยับตัวเพื่อดึงพลังงานจากเหนือพื้นดินลงสู่แกนโลก จึงทำให้เกิดแผ่นดินไหวและส่งผลให้เกิดคลื่นยักษ์ซึนามิเกิดขึ้น    แผ่นดินไหวในธรรมชาติแบบเดิมๆนั้นมีอยู่แต่ก็ไม่หนักเท่าแผ่นดินไหวที่เกินจากการปรับตัวครั้งใหญ่ของแกนโลก 
หากจะถามว่าแผ่นดินไหวจะเกิดขึ้นอีกหรือไม่ และผลจะเป็นอย่างไร?
ขอตอบว่าแผ่นดินไหวจะเกิดขึ้นอีกและจะหนักขึ้น จะเกิดขึ้นอีกจนกว่าแกนโลกจะสมดุล
หากจะถามว่าแล้วเมื่อไรแกนโลกจะสมดุล ?
ก็ขอตอบว่าเมื่อเกินแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ขึ้น ?
และเมื่อไรจะเกิดแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ขึ้น?
ท่านพระอาจารย์เคยกล่าวไว้เหมือนกัน แต่ถ้านับจากที่ท่านพระอาจารย์กล่าวไว้ก็นานแล้ว แต่ถ้านับจากวันนี้ก็จะประมาณได้ว่า โลกจะเกิดแผ่นดินไหวครั้งใหญ่เกิดขึ้นภายในระยะเวลา 18 ปี นับจากนี้(พ.ศ.2547) หมายความว่าเกิดได้ทุกเมื่อแต่ไม่เกินระยะเวลานี้
          ภัยจากแผ่นดินไหวที่พระอาจารย์กล่าวไว้มีความเสียหายมากมายกว่านี้หลายเท่า ที่ได้พบเจอในครั้งนี้ถือว่าเป็นแค่หนังตัวอย่างเท่านั้น ของจริงมากกว่านี้ ในวันที่จะเกิดแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ขึ้นนั้นเกินขึ้นเพียงวันเดียวและระยะเวลาเดียวกันพร้อมกันทั้งโลก ทุกพื้นที่ของโลกได้รับแผ่นดินไหวพร้อมๆกัน เป็นแผ่นดินไหวใหญ่เพียงครั้งเดียวพร้อมกันทั้งโลกพื้นดินขยับตัวเห็นอย่างชัดเช่น ภัยจากน้ำจะมากกว่านี้หลายเท่า จะมีทั้งลมทั้งน้ำ เสียงท้องฟ้าน่ากลัวมาก ผลของมั่นจะมากมายจนเราคิดไม่ถึง ไม่คิดว่ามันจะมากมายถึงขนาดนี้ ผู้รอดชีวิตบ้างคนจะคุมสติไม่อยู่เพราะสูญเสียบุคคลอันเป็นที่รัก ระบบต่างๆที่อาศัยไฟฟ้าจะใช้การไม่ได้ เรียกว่าไม่มีไฟฟ้าจะดีซะกว่า ผู้คนไม่ทันได้หนี อยู่ตรงไหนก็ตายตรงนั้น 
          ธรรมชาติได้เตือนมนุษย์หลายครั้ง  ด้วยภัยธรรมชาติและโรคร้ายต่างๆ แต่มนุษย์ไม่เคยสนใส่ใจ ในธรรมชาติความสมดุลของโลก ก่อนจะเกิดแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ธรรมชาติก็จะเตือนมนุษย์อีก แต่ดูเหมือนมนุษย์ผู้ฉลาดไม่เคยเข้าใจบ้าน(โลก)ที่ตนเองอาศัยอยู่เลยว่าเป็นเช่นไร 
          มนุษย์รู้เรื่องเกี่ยวกับความสมดุลพลังงานของโลกน้อยมาก ครั้งต่อไปธรรมชาติปรับตัวอีก จะได้รู้กันว่าประเทศมหาอำนาจของโลกที่มากด้วยเทคโนโลยีที่อวดตนว่าฉลาดจะถูกธรรมชาติเล่นงานหนักจะรับมือไหวหรือไม่ 
          ที่ข้าพเจ้ากล่าวถึงแผ่นดินไหว ไม่ได้กล่าวเพื่อให้ตกใจหรือหวาดกลัว แต่เพราะเห็นว่าเป็นเรื่องที่น่าจะบอกเพื่อให้ผู้ปฏิบัติธรรมได้เร่งความเพียร เพราะคนเราไม่รู้ว่าจะตายเมื่อไร ขอให้เร่งความเพียร ขอให้จริงใจในธรรม สำหรับผู้ที่ไม่สนใจธรรม ไม่เคยหวังมรรคผลนิพพานก็ขอให้เป็นคนดี เพราะผลดีจะทำให้เราไปดี ตัวข้าพเจ้ามีประสบการณ์ได้เดินทางไปหลายที่และก็ได้พบวิญญาณที่ประสพอุบัติเหตุตายข้างทางบ่อยอยู่เหมือนกัน พวกวิญญาณเหล่านั้นสมัยเป็นคนก็ไม่ได้สนใจในการปฏิบัติธรรม ไม่ได้สนใจทำบุญ เอาแต่ใช้ชีวิตแบบคนทั่วไป เมื่อตายจิตก็ติดอยู่ตรงนั้น จิตไม่มีสติ ไม่มีบุญ คือไม่มีกำลังที่จะไปไหนก็ติดอยู่ตรงนั้น ต้องรอขอส่วนบุญคนที่ผ่านไปมา เป็นวิญญาณไม่ได้ไปผุดไปเกิด เป็นผี เป็นวิญญาณคอยขอส่วนบุญและหลอกหลอดคนอยู่ข้างทาง ข้าพเจ้าอยากจะเตือนผู้คนว่า อย่าเอาแต่ทำงานหาเงินให้ หัดทำบุญ หัดฝึกจิต หัดฝึกสติซะบ้าง เพราะเงินทองนั้นช่วยอะไรเราไม่ได้ ให้มีเงินนับล้านก็ช่วยอะไรเราไม่ได้ หากไม่ทำบุญ ไม่มีสติตายก็ไปไหนไม่ได้  มีตัวอย่างพอจะเล่าให้ฟังได้หนึ่งตัวอย่าง เป็นคนที่ถือว่ามีฐานะและหน้าที่การงานดี ในช่วงนั้นประมาณปี 2545 หรือ 2546 จำได้ไม่แน่ชัด เวลาดึกประมาณตีหนึ่งตีสอง ข้าพเจ้าอยู่ในรถผ่านแยกบางนา รถลงจากทางด่วนตรงแยกบางนาเพื่อมุ่งไปชลบุรี ลงจากทางด่วนรถก็ติด ข้าพเจ้ามองไปเห็นไฟฉุกเฉินละเห็นรถหนึ่งคนประสพอุบัติเหตุหล่นจงมาจากทางด่วนที่วิ่งจากชลบุรีมากรุงเทพ เป็นทางด่วนที่อยู่สูงจากถนนข้างล่างมาก ข้าพเจ้าก็มองเข้าไปและได้คิดตำหนิเจ้าหน้าที่ทางด่วนอยู่ในใจว่า ข้างบนไม่ได้กันหรืออย่างไร จึงทำให้คนวิ่งตรงตกลงมา เพราะถ้ามีเครื่องหมายกั้น คนที่มาจากชลบุรีก็หน้าจะลงทางด่วนก่อนห้างเซนทรัลบางนา ข้าพเจ้าก็คิดแค่นี้และก็ไม่ได้สนใจอะไร พอรถไปได้ระยะหนึ่งซึ่งห่างจากจุดที่เกิดเหตุพอสมควรข้าพเจ้าก็ได้กลิ่นคาวเลือดอย่างมากจนแทบจะอาเจียน ก็คิดในใจว่าตอนอยู่ที่จุดเกิดอุบัติเหตุก็ไม่เห็นมีอะไร ไม่มีกลิ่นอะไร พอผ่านมาไกลขนาดนี้ทำไมมีกลิ่น ข้าพเจ้ารู้สึกว่ามันแปลกๆ ก็เคยถามว่า "มีอะไร จะเอาอะไร" ก็ได้รับคำตอบว่า ช่วยเขาด้วย เขาไปไหนไม่ได้ สอบถามก็ได้ความว่าเขาปล่อยวางไม่ได้ เขายังไม่อยากตาย เขายังไม่พร้อมจะตาย เขามีห่วงมาก ห่วงครอบครัวห่วงการงาน-   ข้าพเจ้าก็ช่วยเขาไปเท่าที่ทำได้ และเขาก็จากไป  ข้าพเจ้าอยู่บนรถก็ยังคิดว่าห่วงอะไรกันนักหนา ตัวเองยังเอาไม่รวด ยังจะห่วงคนอื่นอีก ไม่รู้เขาทำงานอะไรถึงได้บอกว่าห่วงงาน ข้าพเจ้าก็สงสัยอยู่เช่นนั้น อีกสองวันต่อมาก็มีคนโทรมาบอกว่ารู้แล้วคนที่ตายเป็นใคร เป็นผู้บริหารบริษัทยักษ์ใหญ่ของประเทศไทย ...(ไม่น่าละบอกว่าห่วงงานมาก) 
          ที่นำมาเขียนให้อ่านไม่ได้มีความประสงค์ที่จะแสดงภูมิอะไร(ของอย่างนี้ทำได้ทุกคน)  เพียงเพื่ออยากจะบอกว่าให้ทำบุญ ให้ฝึกจิตบ้าง จะได้เป็นแรงบุญให้ตัวเอง เมื่อวันที่ตนต้องตาย ไม่เช่นนั้นจะกลายเป็นผีรอขอส่วนบุญอยู่ข้างถนน ตัวอย่างเศรษฐีที่ประสพอุบุติเหตุรถตกจากทางด่วน ถ้าวันนั้นข้าพเจ้าไม่ผ่านไป ก็คงต้องเป็นวิญญาณขอส่วนบุญจากคนอื่นต่อไป  ข้าพเจ้าอุทิศส่วนบุญให้และก็สอนธรรมให้ จิตเข้าก็ดีขึ้นและจากวันนั้นก็ไม่ได้เจอเขาอีกเลย เห็นบอกว่าจะไปเยี่ยมครอบครัวก่อนแล้วถึงจะไปเกิด ข้าพเจ้าจำไม่ได้ชัดว่าเขาบอกว่าอย่างไรบ้าง ถ้าจำไม่ผิดเห็นบอกว่าชาติหน้าอยากจะปฏิบัติธรรม ข้าพเจ้าก็บอกว่าถ้าไปเกิดหลังสงครามโลกครั้งที่สามได้ก็ดี เพราะยุคนั้นศาสนาพุทธจะรุ่งเรื่องขึ้นมาอีกครั้ง ศาสนาที่เป็นแต่ความเชื่อก็จะไม่รุ่งเรื่อง เพราะคนเริ่มมีปัญญาได้เห็นแล้วว่าคำสอน สอนแต่ให้เชื่อและให้ศรัทธามันไม่มีความเป็นจริงมันเป็นแต่ความศรัทธาที่เชื่อตามๆกันมาเท่านั้น
            ข้าพเจ้าพึ่งเขียนการตอบปัญหาธรรมข้อที่ 40  (click here) ในวันที่ 24 พฤศจิกายน 2547 และก็ได้เขียนถึงแผ่นดินไหว และได้บอกว่าโลกจะเกิดแผ่นดินไหวไปทั่วโลก และผ่านมาเพียง 1 เดือนก็เกิดแผ่นดินไหวและเกิดคลื่นยักษ์สึนามิในเอเซีย(ในวันที่ 26 ธันวาคม 2547 ) ส่งผลให้เกิดความสูญเสียอย่างมากมาย  
          สุดท้ายนี้อยากจะบอกว่าเรามีเวลาไม่มากสำหรับทำความดี เพราะความตายอาจจะเกิดแก่เราก็ได้ทุกเมื่อ อย่าได้คิดว่าอยู่ห่างทะเลจะไม่เป็น ขอบอกว่าภัยธรรมชาติจะเกิดขึ้นทุกที่และไม่รู้ว่าเมื่อไรจะถึงเรา อย่าได้นิ่งเฉยในการทำดี 
พระพุทธเจ้าเตือนสติเราไว้ว่า
"วันเวลาผ่านไปแล้วเล่าๆ  บัดนี้ท่านธรรมอะไรอยู่"
                                               ขอธรรมจงมีแต่ท่าน...

ปัญหาธรรมข้อ 43
          นายกทักษิณจะถูกลอบสังหาร ฝากบอกท่านด้วย ใครใกล้ชิดกับท่านช่วยบอกให้ท่านทราบด้วย
ตอบ
          ก่อนที่จะสนทนากัน ข้าพเจ้ามีเรื่องที่จะกล่าว และเห็นว่าจะต้องกล่าว ด้วยเหตุมีอยู่ว่า เมื่อคืนนี้ (ในคืนวันที่ 6 กุมภาพันธ์ 2548) ข้าพเจ้าได้มีโอกาสได้ติดตามผลการเรียกตั้งทาง TV และดูเหมือนว่าพรรคไทยรักไทยของท่านนายกทักษิณได้คะแนนถล่มทลาย จากการประมาณได้ว่าพรรคไทยรักไทยอาจจะได้ ส.ส. ถึง 399 คน  ทุกคนคาดการในทิศทางที่ตรงข้ามกัน คนที่ไม่ชอบท่านนายกทักษิณก็คาดการว่าจะเป็นรัฐบาลที่รวบอำอาจ คนทีชอบท่านนายกทักษิณก็มีความไว้ว่างใจให้ท่านเป็นผู้นำประเทศ เพราะเชื่อในความสามารถของท่านและเชื่อว่าท่านทำได้ ข้าพเจ้าเห็นตัวเลขแล้วไม่ได้แปลกใจอะไรเห็นผลออกมาน่าจะเป็นเช่นนั้น เพราะผลงานท่านนายกทักษิณนั้นโดดเด่นกว่าท่านนายกคนอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นท่านนายกชวน ท่านนายกบรรหาร ท่านนายกชวลิต 
          สิ่งที่ข้าพเจ้าเป็นห่วงคือตัวเลขจำนวน ส.ส.ของท่านนายกทักษิณมากเกินไป ทำให้ท่านมีอำนาจที่จะใช้ในการตัดสินใจมากในทางให้คุณและให้โทษใครๆ  สิ่งนี้เองที่น่าเป็นห่วง เห็นตัวเลขจำนวน ส.ส. และอำนาจที่ท่านมี ทำให้ข้าพเจ้านึกไปถึงคำกล่าวของครูบาร์อาจารย์สมัยที่ข้าพเจ้าบวชเป็นพระอยู่นั้น  ท่านพระอาจารย์ท่านเคยกล่าวไว้ว่า ดร.ทักษิณจะได้เป็นนายก จะเป็นผู้นำพาประเทศชาติผ่านวิกฤตต่างๆไปได้ และจะได้ใจประชาชนไปครอง ท่านกล่าวไว้อีกว่าเมื่อท่านผู้นำท่านนี้จัดทำนโยบายที่ขัดต่อผลประโยชน์ของคนไม่ดีมากๆ ท่านจะถูกลอบสังหาร และท่านกล่าวไว้ว่าหากท่านผู้นำท่านนี้มีชีวิตรอดอยู่ได้ท่านจะนำพาประเทศชาติไทยให้ขึ้นไปยื่นอยู่ในระดับแนวหน้า และหลังจากท่านพระอาจารย์ได้กล่าวไว้ไม่นาน ดร.ทักษิณก็ได้เป็นนายกสมัยแรก และได้นำพาประเทศไทยผ่านวิกฤตต่างๆไปได้ และนโยบายหนึ่งที่ได้รับจากพระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวที่ห่วงใยเกี่ยวกับปัญหายาเสพติด และเมื่อท่านนายกทักษิณมีนโยบายที่จะกำจัดยาเสพติด  ในวันที่ท่านนายกทักษิณจะขึ้นไปแถลงนโยบายที่เชียงใหม่ ในวันนั้นท่านถูกรอบสังหารด้วยการวางระเบิดเครื่องบิน และเนื่องจากลูกชายของท่านมาไม่ทันเครื่องบินออก ท่านจึงไม่ได้ขึ้นเครื่อง เครื่องของการบินไทยที่จอดรออยู่ก็ได้ระเบิดขึ้น ท่านพระอาจารย์กล่าวว่านั้นเป็นเพราะบุญกุศลของลูกชายที่เคยปฏิบัติธรรมมาสมัยเด็กๆ นี้ไม่รู้ว่าเป็นครั้งแรกหรือเปล่าที่ท่านถูกลอบสังหาร แต่ถือว่าไม่ใช่เรื่องธรรมดาที่ใครจะทำเช่นนั้นได้ ใครที่ไหนจะสามารถวางระเบิดเครื่องบินได้ และข่าวที่ออกมาก็พยายามจะปิดบังความจริงในสาเหตุที่เครื่องบินระเบิด และเวลาที่ระเบิดถูกตั้งให้ระเบิดกลางอากาศหากเครื่องบินนั้นบินขึ้นตรงเวลา
          และในครั้งนี้แน่นอนว่าท่านผู้นำคนนี้มีอำนาจมากขึ้นและนโยบายของท่านจะต้องขัดผลประโยชน์ของคนไม่ดีอย่างแน่นอน และแน่นอนว่าท่านผู้นำคงไม่ต้องเกรงใจใครเพราะอำนาจที่ท่านได้มานั้นได้มาด้วยความชอบธรรมจากประชาชนทั้งประเทศ และด้วยเหตุนี้ที่ท่านจะถูกลอบสังหาร คนเลวพวกนี้จะทำทุกวิถีทางเพื่อสังหารท่าน 
          ด้วยเหตุนี้เองข้าพเจ้าจึงขอแทรกการสนทนาต่างๆของเราด้วย ความห่วงใจนี้ก่อนที่จะสนทนากันเรื่องอื่น เนื่องด้วยมีความห่วงใจในประเทศ  ประเทศของเรายังต้องพบเจอวิกฤตอีกมาก เราจึงจำเป็นที่จะต้องมีผู้นำที่มีปัญญามากในการแก้ไข  ข้าพเจ้ายังไม่เห็นว่าหากสิ้นท่านไปแล้วจะมีใครมีความสามารถเท่าท่าน ใครจะมีบารมีมากเท่าท่าน ขอออกตัวก่อนว่าข้าพเจ้ากับท่านไม่ได้รู้จักกันและไม่ได้มีเหตุอะไรที่ข้าพเจ้าจะมาเชียร์ท่านเพื่อผลประโยชน์ทางการเมือง เพราะการเลือกตั้งนั้นได้สิ้นสุดไปแล้ว 
          ที่ได้เขียนมายืดยาวเช่นนี้เพียงเพื่อต้องการจะฝากข่าวเรื่องนี้ไปถึงตัวท่านผู้นำ  ท่านนายกทักษิณ ขอให้ระวังตัว และฝากผู้อ่านทุกท่านช่วย e-mail เนื้อหานี้ต่อๆกันไปด้วย เผื่ออาจจะถึงใครซักคนที่สามารถนำข่าวนี้ไปบอกท่านได้ และฝากบอกท่านด้วยอย่าให้ท่านเดินทางลงไปภาคใต้ เพราะท่านจะถูกลอบสังหารที่นั้น ข้าพเจ้ารู้ว่าท่านผู้นำยอมตายในการทำความดี แต่ข้าพเจ้าอยากจะบอกท่านว่ามันไม่คุ้มกันเลยที่ท่านจะยอมตาย ขอให้นึกถึงประชาชนที่ลงคะแนนให้ท่านอย่างมหาศาล เขาเหล่านั้นฝากความหวังไว้ให้ท่านเพื่อนำพาประเทศ ท่านอย่าไปตายเสียเปล่าเลย เอาชีวิตเก็บไว้ทำประโยชน์อย่างอื่นจะดีกว่า ท่านมีทีมงานมากมาย มอบหมายให้ใครลงไปดูก็ได้ ท่านจะสังการเองก็ได้แต่ขออย่าให้ท่านลงไปเอง ข้าพเจ้าฝากบอกท่านผู้นำเพียงเท่านี้ว่า นับจากวันนี้ไปขออย่าให้ท่านลงไปภาคใต้ บริวารที่อยู่ล้อมตัวท่านทั้งหลาย บริวารที่อาศัยบารมีของท่านผู้นำ  ท่านทั้งหลายไม่ว่าจะเป็นรัฐมนตรีหรือสมาชิกพรรคของท่านขอให้เตือนท่านให้มาก และให้คิดว่าหากสิ้นท่านไปบริวารอย่างพวกท่านก็จะหมดอำนาจบารมีไปด้วย เพราะอำนาจบริวารที่มีนั้นได้มาจากประชาชนลงคะแนนให้ท่านนายกเป็นผู้นำโดยผ่านบริวารอย่างพวกท่าน 
          ขอเน้นย้ำอีกครั้งว่าอย่าให้ท่านผู้นำลงไปภาคใต้ ขอให้ท่านอย่าได้ลงไป ถ้าท่านไม่กลัวตายก็ให้เห็นแก่ประชาชนที่ต้องการให้ท่านมีชีวิตอยู่เพื่อเป็นผู้นำของพวกเขา คนไม่ดีนั้นจะทำทุกวิถีทางเพื่อสังหารท่าน รปภ. มีรอบตัวท่าน ก็ช่วยไม่ได้หากวันนั้นมาถึง  ขอให้นึกถึงแผ่นดิน ทุกคนเกิดมามีหน้าที่ ท่านก็มีหน้าที่ อย่าได้เอาชีวิตไปทิ้งเสียเปล่า
          ข้าพเจ้าขอกล่าวไว้ดังนี้และขอขอบคุณทุกท่านที่ช่วย e-mail ขอความนี้ ให้แก่ผู้อื่น ข้าพเจ้าหวังว่าข่าวนี้คงถึงตัวท่านก่อนที่ท่านจะลงไปภาคใต้   

ปัญหาธรรมข้อที่44   
                 เมื่อหนึ่งปีที่ผ่านมาคุณเคยกล่าวว่านายกทักษิณจะทำให้ประเทศไทยเจริญขึ้น แต่ตอนนี้เกิดวิกฤตการณ์ทางการเมืองเนื่องจากตัวท่านนายกทักษิณเสียเอง จึงอยากจะถามคุณว่าเหตุใดมันจึงเป็นเช่นนี้ บ้านเมืองเราจะเกิดอะไรขึ้นและประชาชนอย่างเราจะได้รับผลอย่างไร การชุมนุมประท้วงก็มีมากขึ้น อย่างเช่นวันอาทิตย์ที่ 26 ก.พ. 49 นี้ก็จะมีการชุมนุมครั้งใหญ่กันอีก ตอนนี้ผมรู้สึกว่าความเห็นของประชาชนก็แตกออกเป็นสองทาง มีทั้งเห็นด้วยและไม่เห็นด้วย ผมอยากจะรู้ว่ามันจะเกิดอะไรขึ้น และอยากจะรู้ว่ามันมีความเป็นมาอย่างไรถึงเป็นเช่นนี้ อยากรู้จากคุณ อยากให้คุณช่วยเล่าให้ฟังบ้างว่าพระอาจารย์ของคุณ ท่านเคยกล่าวไว้ว่าอย่างไรบ้าง ที่ผมอยากรู้เพราะอยากจะรับมือกับสถานการณ์ ไม่ใช่เพราะอยากรู้เพราะความอยาก คือผมทำการค้าจึงอยากจะรู้ว่าควรจะเตรียมตัวอย่างไร 
ตอบ  
                สวัสดีกันอีกครั้งครับ หลังจากไม่ได้สนทนากันมาหนึ่งปีเต็ม ในครั้งสุดท้ายที่ข้าพเจ้าได้พูดถึงท่านนายกทักษิณว่าจะนำความจะเจริญมาให้ และได้กล่าวว่าท่านนายกทักษิณจะถูกรอบสังหารในการสนทนาในข้อที่ 43 นั้น 
                วันนี้(23 ก.พ. 49) จะข้อกล่าวเพิ่มเติมดังนี้ว่ามีที่มา ที่ไป อย่างไร ทั้งๆที่ไม่อยากจะกล่าวถึง เพราะเหมือนเป็นการกล่าวโทษบรรพบุรุษของตัวเอง แต่ความจริงมันเป็นเช่นนั้นจึงต้องกล่าวอย่างน้อยก็ทำให้บรรพบุรุษที่ได้กระทำการนั้นๆลงไปได้มีโอกาสสำนึกผิดและข้อโทษและแสดงความเสียใจในที่นี้
                                         ความเป็นมามีดังนี้ 
                เมื่อครั้งอดีตการณ์นานมาแล้วสมัยพระเจ้าอโศกมหาราช กษัตริย์ของประเทศอินเดีย พระองค์ได้ส่งพระมาเผยแผ่พุทธศาสนาในดินแดนที่เป็นประเทศไทยในปัจจุบัน ในดินแดนนี้ได้รับพระพุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติ จิตใจคนในดินแดนนี้มีจิตใจดี และก็เป็นอยู่เช่นนั้น และต่อมาก็มีชนกลุ่มหนึ่งหนีสงครามมาจากจีนขอเข้ามาอาศัย คนเจ้าของพื้นที่ก็ให้อาศัยเพราะสงสาร เนื่องจากเห็นว่าหนีร้อนมาพึ่งเย็นจึงได้ให้อาศัยอยู่ เมื่อผู้มาอาศัยแข็งแรงดี อยู่ดี กินดี ก็เห็นว่าแผ่นดินนี้หน้าอยู่ จึงคิดแย่งดินแดนของเจ้าของเดิม โดยอาศัยศรัทธาของเจ้าของดินแดนเดิมที่มีต่อศาสนาเป็นเครื่องมือ ใช่วิธีการให้พระพูดจายุยงให้เจ้าของดินแดนเดิมขาดความสามัคคีกัน เมื่อเจ้าของแผ่นดินขาดความสามัคคีกันเมื่อนั้น ผู้อาศัยก็ยึดประเทศได้โดยง่าย ในการยึดแผ่นดินครั้งนั้นผู้อาศัยได้เข่นฆ่าเจ้าของเดิมอย่างทารุณและโหดร้ายเป็นอันมาก แล้วในที่สุดผู้อาศัยก็ได้กลายเป็นเจ้าของแผ่นดินใหม่สมใจอยาก พร้อมกับคำสาปแช่งของเจ้าของพื้นที่เดิมที่ถูดยัดเยียดความทรมานก่อนตาย และเจ้าของแผ่นดินคนใหม่ก็ได้อาศัยอยู่ในแผ่นดินนี้มานานจนถึงยุคของเรานี้ 
                เราได้รับมรดกในพื้นที่อันอุดมสมบูรณ์นี้พร้อมกับคำสาปแช่งมาด้วยพร้อมกันๆ
                และนี้คือที่มาที่ไปว่าทำไมคนไทยถึงมีนิสัยที่ไม่สามัคคีกัน
                และนี้ก็คือที่มาว่าทำไมปัจจุบันนี้ ศาสนาจึงมีผลทำให้คนขาดความสามัคคีกัน

                เราจะเห็นว่าทุกยุคทุกสมัยเมื่อใดบ้านเมื่อกำลังไปได้ด้วยดี ก็จะเกิดปัญหาความแตกแยกของคนในชาติ แต่ความแตกแยกนั้นจะมากขึ้นไปอีกเมื่อมีความศรัทธาเข้ามาเกี่ยวข้อง ไม่ว่าจะความศรัทธาในตัวบุคคลหรือความศรัทธาในทางความเชื่อหรือศาสนา 
               * ข้าพเจ้าเคยกล่าวว่าท่านนายกทักษัณจะถูกลอบสังหารก็ด้วยเหตุนี้ เพราะท่านมีแนวทางให้ประเทศไปสู่ความเจริญ ก็ต้องถูกมรดกกรรมของบรรพบุรุษขวางไว้ไม่ให้ท่านทำสำเร็จ แต่ท่านก็ผ่านมาได้ยังไม่ตายจนถึงทุกวันนี้ แต่มรดกกรรมนั้นก็ยังอยู่ มรดกกรรมนี้จะดำเนินทุกอย่างเพื่อไม่ให้บ้านเมืองเป็นไปด้วยดี คนในชาติจะแตกออกเป็นกลุ่มๆ ขาดความสามัคคี โดยผู้ขัดขวางจะอาศัยภาพทางศีลธรรมเป็นส่วนหนึ่งของเครื่องมือ 
                ดูให้ดีแกนนำแต่ละกลุ่มก็จะอ้างความถูกต้อง ความชอบธรรม ความดี และนำคำกล่าวของผู้อื่น ผู้ซึ่งคนมีศรัทธามากๆมากล่าว เพื่อชักจูงผู้คนให้มีความคิดตาม และกระทำการตาม โดยแกนนำเองก็อาจไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าจริงๆแล้วสิ่งที่ตนกระทำอยู่นั้นคือตนได้เป็นส่วนหนึ่งของมรดกกรรม ผู้นำกลุ่มบางคนใช้คำพูดแห่งธรรมในทางที่ผิด โดยปัญญาของตนที่ยังมีทิฐิอยู่ ความหมายของธรรมที่ผิด ชักนำผู้คนให้เกิดความแตกแยก
              ** ที่ถามว่าแล้วจะเป็นอย่างไรต่อไปเพราะมีการชุมนุมปลุกระดมกันอยู่เนื่องๆ 
                เหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นต่อไปก็คือทุกอย่างจะอยู่นอกกฎเกณฑ์ หมายถึงเอาอารมณ์ของตนเป็นใหญ่ ไม่ใช้กฎกติกาของบ้านเมือง
                หากไม่ยุติผลที่ออกมาก็คือความเสียหายของบ้านเมือง เราจะกลับสู่ยุคเศรษฐกิจตกต่ำอีกครั้ง คนไม่มีงานทำ นักศึกษาจบมาก็ไม่มีงานทำ เศรษฐกิจจะตกต่ำกว่าครั้งปี พ.ศ.2540 
                เมื่อถามว่าควรจะทำอย่างไร  ก็ขอตอบว่าควรสามัคคีกัน และหากเห็นว่าความสามัคคีในหมูคณะนั้นมีไม่ได้แล้ว ก็ให้เปลี่ยนเงินเป็นทองเก็บไว้ 
                ผู้ที่รวมประท้วงนั้นไม่ผิด แต่ผู้แทรกแชงนั้นผิด ผู้แทรกแซงนั้นเป็นคนเดียวกันกับผู้ที่ลอบสังหารท่านนายก คนผู้นี้เริ่มเดินหมาก(เล่นเกม)ตั้งแต่ท่านนายกทักษิณประกาศกำจัดยาเสพติดให้สิ้นไปจากประเทศ 
                เมื่อท่านนายกเอาจริงเอาจังกับยาเสพติดมากเท่าไร ผลทางลบด้านการเมืองของท่านก็มากขึ้น เพราะพ่อค่ายาเสพติดรายใหญ่คนนี้จะเดินเกมเพื่อให้ท่านนายกต้องลาออกจากตำแหน่ง ..........ข้อกล่าวแค่นี้แล้วกันครับ เพราะรู้สึกว่าตนเองจะพูดมากไปแล้ว ข้าพเจ้าถือว่าข้าพเจ้าได้เตือนแล้วว่าจะเกิดอะไรขึ้น หากยังไม่ยุติการชุมนมสิ่งที่กล่าวมาจะเกิดขึ้นแน่นอน จะช้าหรือเร็วก็ไม่รู้ แต่ผลสุดท้ายจะเป็นอย่างนี้แน่นอน การชุมนุมแรกๆ จะเห็นว่าดี ผลที่ออกมาจะดีในตอนแรก แต่ผลสืบต่อจากนั้นจะแย่ ถ้ามันแย่ก็อย่าโทษใครนะครับ ถือว่าเป็นความผิดร่วมกัน ต่อไปตกงานก็อย่าโทษใคร นักศึกษาจบมาไม่มีงานทำก็อย่าโทษใคร ต้องโทษตัวเองเพราะไปร่วมประท้วงกับเขา 
                 ปัจจุบัน มีงาน มีเงิน มีข้าวกิน เรียกว่ามีเงินเหลือพอที่จะเสียค่ารถ เสียเวลา เสียเงิน ไปประท้วง ประท้วงไม่สำเร็จก็ยังมีเงินมีข้าวกิน 
                ในอนาคต จะไม่มีงาน ไม่มีเงิน ก็จะประท้วง แต่ประท้วงแบบทรมานกว่านี้ ประท้วงเพราะตกงาน เพราะหากประท้วงแล้วไม่ได้ดังหวังก็อดตาย ไม่มีงานก็ ไม่มีเงิน ไม่มีเงินครอบครัวก็ลำบาก 

                คิดดูให้ดีก็แล้วกัน ...ข้าพเจ้าไม่ได้ว่าใคร และก็ไม่ได้เข้าข้างใคร ที่กล่าวมานั้นเป็นลำดับเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นจริง ซึ่งจริงๆแล้วข้าพเจ้าไม่อยากจะกล่าวเพราะเรื่องการเมืองและศาสนานั้นเขาไม่ให้นำมาใช้สนทนากัน เพราะจะทำให้เกิดความขัดแย้งขึ้นได้ แต่นี้ข้าพเจ้านำมากล่าวทั้งสองอย่าง......หากใครอ่านแล้วไม่พอใจข้าพเจ้าต้องขออภัยไว้ ณ.ที่นี้ด้วย และขออโหสิกรรมกันนะที่นี้เช่นกัน




ไม่มีความคิดเห็น: