...
เกล็ดประวัติพระฉันนะ จากหนังสือ ตามรอยกรรม
พระอานนท์พุทธอนุชา
ภายหลังพุทธปรินิพพาน 3 เดือน พระมหากัสสัปปะ ล่วงรู้ถึงอนาคตกาลข้างหน้าด้วย
อนาคตังสญาณ ว่า เมื่อสิ้นองค์พระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้ว
ผู้ที่จะทำหน้าที่สืบพระศาสนาต่อไปคือ พระธรรมวินัยเท่านั้น โดยมีพระสฆ์ผู้เป็นเถรานุเถระ
มีอำนาจปกครองดูแลสงฆ์ ให้ตั้งอยู่ในธรรมวินัยอย่างเคร่งครัด จึงกำหนดวาระแห่งการสังคายนาขึ้นหลังพุทธปรินิพพานล่วงไป
3 เดือน “สัตตบรรณคูหา เวภารบรรพต” กรุงราชคฤห์ โดย พระอรหันต์สาวก 500 รูป
หนึ่งในนั้นมีพระอานนท์เถระ ซึ่งสำเร็จเป็นพระอรหันต์ในคืนก่อนปฐมสังคายนา ด้วย มีการสังคายนาเสร็จสิ้นลง
จากที่ได้ดำเนินการมาเป็นเวลา 7 เดือน ที่ “ถ้ำสัตตบรรณคูหา
เวภารบรรพต” กรุงราชคฤห์ ต่อจากนั้น พระสาวกทั้งหลายแยกย้ายไปตามเมืองต่าง
ๆ
ด้วยความเป็นพระสัพพัญญูพุทธเจ้าด้วยอนาคตังสญาณ
ทรงล่วงรู้ถึงความเป็นไปในอนาคตข้างหน้าว่า
พระฉันนะเป็นพระผู้บวชเพราะเหตุเลื่อมใสในพระบรมศาสดาแต่พระองค์เดียว
ไม่ยอมก้มหัวแก่พระภิกษุรูปใด ไม่ว่าพระรูปนั้นจะเป็นพระอรหันต์ หรือเป็นพระอัครสาวกก็ตาม
พระฉันนะจะไม่ยอมเชื่อฟัง ไม่ยอมเคารพนับถือก็เพราะเหตุมีจิตเป็นมิจฉาทิฏฐิ
สำคัญผิดคิดว่าตนเคยเป็นอำมาตย์ ผู้สนิทสนมชิดเชื้อ เป็นสหชาติ
โยธารับใช้ใกล้ชิดพระบรมศาสดาตั้งแต่ทรงพระเยาว์
จนกระทั่งติดตามขี่ม้ากัณฐกะออกบวชมหาภิเนษกรมณ์
ซึ่งฉันนะ มีความห่วงอาลัยเศร้าโศกเสียใจไม่ยอมละจากไป
ขันอาสาจะคอยรับใช้ตลอดไปในทุกที่สถาน
แต่พระบรมศาสดาเมื่อครั้งยังเป็นเจ้าชายสิทธัตถะไม่ทรงอนุญาต
พร้อมทั้งกำชับให้ฉันนะพาทั้งม้าและเครื่องทรงประดับองค์กลับคืนสู่พระนครกบิลพัสด์
นี่คือเหตุการณ์ในอดีตที่คอยเป็นภาพหลอกหลอนติดในดวงจิตของพระฉันนะตลอดมา
จึงเกิดทิฏฐิมานะว่า ตนเป็นผู้สนิทสนมใกล้ชิดพระบรมศาสดาไม่ยอมเชื่อฟังใคร
แม่แต่พระบรมศาสดาเคยตักเตือนพระฉันนะหลายครั้งหลายครามาแล้ว
แต่พระฉันนะยังคงประพฤติตนเป็นพระหัวดื้อรั้น เป็นผู้ว่ายาก
ไม่ยอมประพฤติตนเป็นผู้ว่าง่ายสอนง่าย ความเป็นพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า
ผู้ทรงพระทศพลญาณรู้วิธีสุดท้ายแห่งการลงโทษ ประดุจนายม้าสารถีผู้ฝึกม้าชาญฉลาด
ย่อมเข้าใจนิสัยม้าของตนทำหน้าที่ฝึก หากม้าตัวไหนฝึกแล้วไม่เชื่อง ดื้อรั้น
คอยพยศ มีทางเดียวเท่านั้นที่จะปราบพยศได้ คือ ฆ่าม้าตัวนั้นเสีย ซึ่งเป็นม้าพันธุ์เลว ฝึกสอนไม่ได้
เพื่อเป็นการทำลายพันธุ์ม้าเลวมิให้ปรากฏต่อไป
พระฉันนะด่ากระทบกระทั่งพระอัครสาวกทั้ง 2 ว่า
“เมื่อเราตามเสด็จออกมหาภิเนษกรมณ์ ในเวลานั้น มิได้เห็นผู้อื่นสักคนเดียว
แต่บัดนี้ท่านผู้นี้เที่ยวกล่าวว่า
เราชื่อสารีบุตร เราชื่อโมคลานนะ พวกเราเป็นอัตรสาวก” พระศาสดาทรงสดับข่าวนั้น
รับสั่งให้หาพระฉันนะเถระมาตรัสสอน
แต่ท่านนิ่งชั่วขณะเท่านั้นยังกลับไปบริภาษพระเถระทั้งหลายเหมือนอย่างนั้นอีก พระศาสดารับสั่งให้หาท่าน ว่ากำลังกล่าวจาบจ้วง
ตรัสอย่างนี้ถึง 3 ครั้ง แล้ว ด้วยพระเมตตาใคร่จะอนุเคราะห์ ตรัสเตือนว่า “ฉันนะ พระอัครสาวก ทั้ง 2 นั้น เป็นกัลยาณมิตร
เป็นสัตตบุรุษชั้นสูงของภิกษุทั้งหลาย คงคบกัลยาณมิตรเห็นปานนี้เถิด” จึงตรัสคาถานี้ว่า
“บุคคลไม่ควรคบบาปมิตร
ไม่ควบคบบุรุษต่ำช้า
ควรคบกัลยาณมิตร
ควรคบบุรุษสูงสุด”
ฝ่ายพระฉันนะ
แม้ได้ฟังพระโอวาทแล้วยังมีจิตดื้อรั้นด่าขู่พวกภิกษุอีกเหมือนก่อนนั่นเอง แม้ภิกษุทั้งหลายจะกราบทูลแด่พระศาสดาอีก
พระศาสดาตรัสว่า ภิกษุทั้งหลาย เมื่อเรามีชีวิตอยู่พวกเธอจักไม่อาจเพื่อให้ฉันนะสำเหนียกได้
แต่เมื่อเราปรินิพพานแล้วจึงอาจ”
ครั้นเพื่อพระพุทธเจ้าใกล้ปรินิพพาน พระอานนท์ ทูลถามปัญหาเรื่อง พระฉันนะ
“ข้าแต่พระองค์
อันพวกข้าจะพึงปฏิบัติต่อพระฉันนะเถระอย่างไร พระพุทธเจ้าข้า?” พระพุทธองค์ ตรัสว่า “อานนท์ พวกเธอพึงลงพรหมทัณฑ์ฉันนะเถิด”
หลังจากการปฐมสังคายนา อานนท์เถระ ได้ไปยัง
โกสิตตาราม เมืองโกสัมพี ซึ่งเป็นที่พำนักของพระฉันนะ โดยประชุมท่ามกลางสงฆ์
ที่ไม่มีพระฉันนะอยู่ด้วยว่า
“ ผู้อาวุโสทั้งหลาย! นับแต่บัดนี้เป็นต้นไป พระฉันนะต้องการทำอย่างใด จะพูดอย่างใด และปฏิบัติประพฤติอย่างใด ก็ปล่อยให้ทำได้ตามอัธยาศัย ภิกษุทั้งหลาย ไม่พึงกล่าวตักเตือน ไม่พึงสนทนาปราศรัย หากจำเป็นต้องพูด ก็จงพูดเฉพาะกิจที่จำเป็น นี่คือพุทธบัญชาให้กระทำต่อพระฉันนะจงปฏิบัติตามพุทธประสงค์เถิด”
“ ผู้อาวุโสทั้งหลาย! นับแต่บัดนี้เป็นต้นไป พระฉันนะต้องการทำอย่างใด จะพูดอย่างใด และปฏิบัติประพฤติอย่างใด ก็ปล่อยให้ทำได้ตามอัธยาศัย ภิกษุทั้งหลาย ไม่พึงกล่าวตักเตือน ไม่พึงสนทนาปราศรัย หากจำเป็นต้องพูด ก็จงพูดเฉพาะกิจที่จำเป็น นี่คือพุทธบัญชาให้กระทำต่อพระฉันนะจงปฏิบัติตามพุทธประสงค์เถิด”
เมื่อกล่าวตัดสินลงทัณฑ์เสร็จสิ้น
พระอานนท์กล่าวถึงธรรมที่พุทธองค์ตรัสกับท่านไว้ว่า “อานนท์” ในธรรมวินัยนี้
เราตถาคตจะไม่ทำกับพวกเธออย่างทะนุถนอม
แต่จะทำอย่างช่างหม้อทำกับหม้อดินที่ยังเปียกอยู่ ด้วยการทุบตี ตบแต่งกระทุ้งแล้ว
กระทุ้งอีก อานนท์เอย เราจักทำกับภิกษุด้วยการขนาบแล้ว ขนาบอีกไม่หยุดหย่อน เราจักชี้ให้ให้เห็นโทษภัยของกิเลส ตัณหา
อุปาทานในขันธ์ทั้งห้าไม่หยุดหย่อน ด้วยหวังให้ภิกษุประพฤติพรหมจรรย์เป็นสำคัญ
ผู้ใดเห็นสาระเห็นคุณประโยชน์ผู้นั้นจักทนต่อการกระหนาบ
และจักทนอยู่ในธรรมวินัยนี้”
พระอานนท์กล่าวต่อในที่ประชุมสงฆ์ว่า “ท่านอาวุโสทั้งหลาย ด้วยประการละฉะนี้
ข้าพเจ้าขอประกาศพรหมทัณฑ์แก่พระฉันนะ เพื่อเธอจักได้สำนึกตน
ปฏิบัติตนในทางที่ชอบเป็นสัมมาทิฏฐิต่อไป”
ข่าการลงพรหมทัณฑ์พระฉันนะแพร่กระจายไปอย่างไฟลามทุ่ง ไฟพรหมทัณฑ์นี้
พุ่งไปยังที่กุฎีของพระฉันนะผู้คอยเงี่ยโสตฟังอยู่
ผลการประชุมที่มีพระอานนท์เป็นประธานคงมีอะไรพิเศษเป็นแน่
ด้วยความอยากรู้ว่าคณะสงฆ์ประชุมเรื่องอะไรกัน วันนี้ทำไมเงียบสงัดนัก
หามีผู้ใดผ่านกุฎีที่พักตนไม่
ครั้นอนรนทนไม่ไหว จึงชะโงกหน้าออกไปแลเห็นสามเณรน้อยองค์หนึ่ง
พยายามเดินเลี่ยงเฉียดไป จึงเรียกเณรน้อยมาไตร่ถามว่าวันนี้มีการประเรื่องอะไร สามเณรน้อยผู้ฉลาดจึงเล่าเหตุการณ์ทั้งหมดให้ฟัง
“พระฉันนะผู้เจริญ การประชุมสงฆ์วันนี้
มีพระอานนท์พุทธอนุชาผู้เป็นพุทธอุปฐาก
ได้รับพุทธบัญชามาให้กระทำลงโทษท่านด้วยวิธีให้คณะสงฆ์ลงพรหมทัณฑ์
โดยให้ภิกษุสงฆ์พร้อมใจกันไม่พูดคุยสนทนาไม่ว่ากล่าวตักเตือน ไม่ทำการสั่งสอน
หากพระฉันนะต้องการทำอะไรก็จงปล่อยให้ทำตามประสงค์”
พระฉันนะได้ฟังแล้วก็บังเกิดสลดสังเวชในดวงจิต
ถึงกับสลบไปถึงสามครั้ง
เมื่อฟื้นจากสลบแล้วก็เริ่มทบทวนถึงเหตุการณ์ที่ตนเข้ามาบวชตั้งแต่ต้นอาศัยพระผู้มีพระภาคเจ้าผู้ที่ตนเคารพรักบูชาสูงสุดเคยตักเตือนหลายครั้ง
แต่ตัวเรานี้หาเชื่อฟังพระองค์ไม่ แต่เหล่าศากยบุตรและศากยาณีทั้งหลายที่เข้ามาบวช
ต่างบรรลุมรรคผลนิพพานจำนวนมากมาย
อันตัวเรานี้ถือว่าว่าเป็นสหชาติโยธามาเกิดร่วมสมัยกับพระพุทธองค์เพื่อทำความดี แต่มัวอวดตัวถือดีมีทิฏฐิ
ไม่ขวนขวายหาความดีที่เป็นยอดยิ่งของความดี ไม่สนใจจะศึกษาปฏิบัติธรรม วันๆ
ไม่ทำกิจการงานอะไร ปล่อยวันเวลาให้สูญเปล่าล่วงเลยไปไร้ประโยชน์ เวลาผ่านไปเท่าไร
อายุเราก็ลุถึง 80 ปี กว่าแล้ว ร่างกายสังขารนี้จะจบสิ้นเมื่อวันได้เราก็ไม่รู้...
นี่คือจิตสำนึกของพระฉันนะผู้เฒ่า
เริ่มมองเห็นและเข้าใจใจเจตนารมณ์ของพระผู้มีพระภาคเจ้า
ชะรอยการลงพรหมทัณฑ์มีพุทธประสงค์ที่แท้จริงเพื่อจะสงเคราะห์เราให้ดวงตาเห็นธรรม
จึงขอร้องพระอานนท์ได้ช่วยอนุเคราะห์เทศนาธรรมที่ควรแก่จริต ด้วยคำวิงวอนว่า
“ข้าแด่ท่านอานนท์
ผู้เจริญ ขออย่าให้กระผมฉิบหายเลย”
พระอานนท์กล่าวขึ้นว่า ท่านฉันนะ ดีแล้ว
ดีแล้ว ท่านละความเห็นผิดจากมิจฉาทิฏฐิ กลับมาเป็นสัมมาทิฏฐิ จึงช่วยสงเคราะห์เทศนาธรรมที่เป็นอริยธรรมนำไปสู่การบรรลุมรรคผลตามลำดับคือ
อริยมรรคมีองค์ 8
เป็นทางเดินมรรคาไปสู่พระนิพพาน
รักษาศีลปาฏิโมกข์ให้บริสุทธิ์บริบูรณ์
สำรวมในอินทรีย์ให้คุมครองในอินทรีย์ทั้ง
6
รู้จักประมาณตนในการบริโภค
จงเร่งปฏิบัติธรรมเป็นเครื่องตื่น
มีหิริ โอตัปปะ
ปลีกกายหลีกเร้นปราศจากการคลุกคลี
หาที่สงบไม่พลุกพล่านให้ห่างจากหมู่คณะ
เจริญญาณด้วยสติ สมาธิ ปัญญา ครั้นสติตั้งมั่นแล้ว
ให้เจริญวิปัสสนาญาณอันด้วย
กายคตาสติปัฏฐาน ประกอบด้วย
1. สติปัฏฐาน 4
2. สัมมัปธาน 4
3. อิทธิบาท 4
4. อินทรีย์ 5
5. พละ 5
เมื่อปฏิบัติถึงขั้นนี้แล้ว องค์ธรรม
คือ โพชฌงค์ 7 จะเกิดขึ้น จนเห็นแจ้งใน ปฏิจจสมุบาท
เมื่อพระฉันนะฟังธรรมโดยย่อจากพระอานนท์แล้ว
เกิดความเลื่อมใส ปิติปราโมทย์ ก้มกราบพระอานนท์ กลับสู่ที่พำนักเร่งบำเพ็ญเพียรภาวนา
สำเร็จพระอรหันต์ขีณาสพทรงคุณด้วยปฏิสัมภิทาญาณ ภายใน 15 วัน
*****
*****
หมายเหตุ
หลังพุทธปรินิพพาน พุทธศาสนาสนิกชน ต่างวิปโยคเศร้าโศกเสียใจ
พระเถระผู้ใหญ่ทั้งหลาย ส่วนใหญ่ก็ละสังขารไป
คงเหลือแต่พระอานนท์องค์เดียว ที่เป็นหลักชัยให้แก่พระพุทธศาสนา เพราะเมื่อก่อน เขาเห็นพระพุทธเจ้า
ก็ต้องเห็นพระอานนท์ พระอานนท์ ก็อยู่ช่วยพระพุทธศาสนา ถึงอายุ 120
ปี มีคุณูประการต่อพระพุทธศาสนาหลังพุทธปรินิพพาน
อย่างมากมาย ดังนั้น จึงไม่แปลกใจเลยว่า
ในบรรดาพระสาวกของพระพุทธเจ้า มหาชนจึงรักเคารพพระอานนท์มากที่สุด
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น