วันอาทิตย์ที่ 9 กันยายน พ.ศ. 2555

ภารกิจลงพรหมทัณฑ์พระฉันนะตามพุทธบัญชา


...

        เกล็ดประวัติพระฉันนะ จากหนังสือ ตามรอยกรรม พระอานนท์พุทธอนุชา

                    ภายหลังพุทธปรินิพพาน 3 เดือน  พระมหากัสสัปปะ ล่วงรู้ถึงอนาคตกาลข้างหน้าด้วย อนาคตังสญาณ ว่า เมื่อสิ้นองค์พระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้ว ผู้ที่จะทำหน้าที่สืบพระศาสนาต่อไปคือ พระธรรมวินัยเท่านั้น  โดยมีพระสฆ์ผู้เป็นเถรานุเถระ มีอำนาจปกครองดูแลสงฆ์ ให้ตั้งอยู่ในธรรมวินัยอย่างเคร่งครัด  จึงกำหนดวาระแห่งการสังคายนาขึ้นหลังพุทธปรินิพพานล่วงไป 3 เดือน สัตตบรรณคูหา เวภารบรรพต กรุงราชคฤห์ โดย พระอรหันต์สาวก 500 รูป หนึ่งในนั้นมีพระอานนท์เถระ ซึ่งสำเร็จเป็นพระอรหันต์ในคืนก่อนปฐมสังคายนา ด้วย    มีการสังคายนาเสร็จสิ้นลง จากที่ได้ดำเนินการมาเป็นเวลา 7 เดือน ที่ ถ้ำสัตตบรรณคูหา เวภารบรรพต กรุงราชคฤห์   ต่อจากนั้น พระสาวกทั้งหลายแยกย้ายไปตามเมืองต่าง ๆ 

 ด้วยความเป็นพระสัพพัญญูพุทธเจ้าด้วยอนาคตังสญาณ ทรงล่วงรู้ถึงความเป็นไปในอนาคตข้างหน้าว่า พระฉันนะเป็นพระผู้บวชเพราะเหตุเลื่อมใสในพระบรมศาสดาแต่พระองค์เดียว ไม่ยอมก้มหัวแก่พระภิกษุรูปใด ไม่ว่าพระรูปนั้นจะเป็นพระอรหันต์ หรือเป็นพระอัครสาวกก็ตาม พระฉันนะจะไม่ยอมเชื่อฟัง ไม่ยอมเคารพนับถือก็เพราะเหตุมีจิตเป็นมิจฉาทิฏฐิ สำคัญผิดคิดว่าตนเคยเป็นอำมาตย์ ผู้สนิทสนมชิดเชื้อ เป็นสหชาติ โยธารับใช้ใกล้ชิดพระบรมศาสดาตั้งแต่ทรงพระเยาว์ จนกระทั่งติดตามขี่ม้ากัณฐกะออกบวชมหาภิเนษกรมณ์  ซึ่งฉันนะ มีความห่วงอาลัยเศร้าโศกเสียใจไม่ยอมละจากไป ขันอาสาจะคอยรับใช้ตลอดไปในทุกที่สถาน แต่พระบรมศาสดาเมื่อครั้งยังเป็นเจ้าชายสิทธัตถะไม่ทรงอนุญาต พร้อมทั้งกำชับให้ฉันนะพาทั้งม้าและเครื่องทรงประดับองค์กลับคืนสู่พระนครกบิลพัสด์
            นี่คือเหตุการณ์ในอดีตที่คอยเป็นภาพหลอกหลอนติดในดวงจิตของพระฉันนะตลอดมา จึงเกิดทิฏฐิมานะว่า ตนเป็นผู้สนิทสนมใกล้ชิดพระบรมศาสดาไม่ยอมเชื่อฟังใคร แม่แต่พระบรมศาสดาเคยตักเตือนพระฉันนะหลายครั้งหลายครามาแล้ว แต่พระฉันนะยังคงประพฤติตนเป็นพระหัวดื้อรั้น เป็นผู้ว่ายาก ไม่ยอมประพฤติตนเป็นผู้ว่าง่ายสอนง่าย ความเป็นพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้ทรงพระทศพลญาณรู้วิธีสุดท้ายแห่งการลงโทษ ประดุจนายม้าสารถีผู้ฝึกม้าชาญฉลาด ย่อมเข้าใจนิสัยม้าของตนทำหน้าที่ฝึก หากม้าตัวไหนฝึกแล้วไม่เชื่อง ดื้อรั้น คอยพยศ มีทางเดียวเท่านั้นที่จะปราบพยศได้ คือ ฆ่าม้าตัวนั้นเสีย  ซึ่งเป็นม้าพันธุ์เลว ฝึกสอนไม่ได้ เพื่อเป็นการทำลายพันธุ์ม้าเลวมิให้ปรากฏต่อไป

            พระฉันนะด่ากระทบกระทั่งพระอัครสาวกทั้ง 2 ว่า เมื่อเราตามเสด็จออกมหาภิเนษกรมณ์  ในเวลานั้น มิได้เห็นผู้อื่นสักคนเดียว แต่บัดนี้ท่านผู้นี้เที่ยวกล่าวว่า  เราชื่อสารีบุตร เราชื่อโมคลานนะ พวกเราเป็นอัตรสาวก   พระศาสดาทรงสดับข่าวนั้น รับสั่งให้หาพระฉันนะเถระมาตรัสสอน  แต่ท่านนิ่งชั่วขณะเท่านั้นยังกลับไปบริภาษพระเถระทั้งหลายเหมือนอย่างนั้นอีก พระศาสดารับสั่งให้หาท่าน ว่ากำลังกล่าวจาบจ้วง ตรัสอย่างนี้ถึง 3 ครั้ง แล้ว ด้วยพระเมตตาใคร่จะอนุเคราะห์ ตรัสเตือนว่า ฉันนะ พระอัครสาวก ทั้ง 2 นั้น เป็นกัลยาณมิตร เป็นสัตตบุรุษชั้นสูงของภิกษุทั้งหลาย คงคบกัลยาณมิตรเห็นปานนี้เถิด จึงตรัสคาถานี้ว่า

                                    บุคคลไม่ควรคบบาปมิตร  ไม่ควบคบบุรุษต่ำช้า
                                       ควรคบกัลยาณมิตร ควรคบบุรุษสูงสุด

            ฝ่ายพระฉันนะ แม้ได้ฟังพระโอวาทแล้วยังมีจิตดื้อรั้นด่าขู่พวกภิกษุอีกเหมือนก่อนนั่นเอง  แม้ภิกษุทั้งหลายจะกราบทูลแด่พระศาสดาอีก พระศาสดาตรัสว่า  ภิกษุทั้งหลาย เมื่อเรามีชีวิตอยู่พวกเธอจักไม่อาจเพื่อให้ฉันนะสำเหนียกได้ แต่เมื่อเราปรินิพพานแล้วจึงอาจ
            ครั้นเพื่อพระพุทธเจ้าใกล้ปรินิพพาน  พระอานนท์ ทูลถามปัญหาเรื่อง พระฉันนะ
ข้าแต่พระองค์ อันพวกข้าจะพึงปฏิบัติต่อพระฉันนะเถระอย่างไร พระพุทธเจ้าข้า?”  พระพุทธองค์ ตรัสว่า อานนท์ พวกเธอพึงลงพรหมทัณฑ์ฉันนะเถิด
 หลังจากการปฐมสังคายนา อานนท์เถระ ได้ไปยัง โกสิตตาราม เมืองโกสัมพี ซึ่งเป็นที่พำนักของพระฉันนะ  โดยประชุมท่ามกลางสงฆ์ ที่ไม่มีพระฉันนะอยู่ด้วยว่า 

ผู้อาวุโสทั้งหลาย! นับแต่บัดนี้เป็นต้นไป  พระฉันนะต้องการทำอย่างใด จะพูดอย่างใด และปฏิบัติประพฤติอย่างใด ก็ปล่อยให้ทำได้ตามอัธยาศัย  ภิกษุทั้งหลาย ไม่พึงกล่าวตักเตือน ไม่พึงสนทนาปราศรัย หากจำเป็นต้องพูด ก็จงพูดเฉพาะกิจที่จำเป็น นี่คือพุทธบัญชาให้กระทำต่อพระฉันนะจงปฏิบัติตามพุทธประสงค์เถิด

เมื่อกล่าวตัดสินลงทัณฑ์เสร็จสิ้น พระอานนท์กล่าวถึงธรรมที่พุทธองค์ตรัสกับท่านไว้ว่า อานนท์ ในธรรมวินัยนี้ เราตถาคตจะไม่ทำกับพวกเธออย่างทะนุถนอม แต่จะทำอย่างช่างหม้อทำกับหม้อดินที่ยังเปียกอยู่ ด้วยการทุบตี ตบแต่งกระทุ้งแล้ว กระทุ้งอีก อานนท์เอย เราจักทำกับภิกษุด้วยการขนาบแล้ว ขนาบอีกไม่หยุดหย่อน  เราจักชี้ให้ให้เห็นโทษภัยของกิเลส ตัณหา อุปาทานในขันธ์ทั้งห้าไม่หยุดหย่อน ด้วยหวังให้ภิกษุประพฤติพรหมจรรย์เป็นสำคัญ ผู้ใดเห็นสาระเห็นคุณประโยชน์ผู้นั้นจักทนต่อการกระหนาบ และจักทนอยู่ในธรรมวินัยนี้
พระอานนท์กล่าวต่อในที่ประชุมสงฆ์ว่า ท่านอาวุโสทั้งหลาย ด้วยประการละฉะนี้ ข้าพเจ้าขอประกาศพรหมทัณฑ์แก่พระฉันนะ เพื่อเธอจักได้สำนึกตน ปฏิบัติตนในทางที่ชอบเป็นสัมมาทิฏฐิต่อไป
ข่าการลงพรหมทัณฑ์พระฉันนะแพร่กระจายไปอย่างไฟลามทุ่ง  ไฟพรหมทัณฑ์นี้ พุ่งไปยังที่กุฎีของพระฉันนะผู้คอยเงี่ยโสตฟังอยู่ ผลการประชุมที่มีพระอานนท์เป็นประธานคงมีอะไรพิเศษเป็นแน่ ด้วยความอยากรู้ว่าคณะสงฆ์ประชุมเรื่องอะไรกัน วันนี้ทำไมเงียบสงัดนัก หามีผู้ใดผ่านกุฎีที่พักตนไม่  ครั้นอนรนทนไม่ไหว จึงชะโงกหน้าออกไปแลเห็นสามเณรน้อยองค์หนึ่ง พยายามเดินเลี่ยงเฉียดไป จึงเรียกเณรน้อยมาไตร่ถามว่าวันนี้มีการประเรื่องอะไร สามเณรน้อยผู้ฉลาดจึงเล่าเหตุการณ์ทั้งหมดให้ฟัง

พระฉันนะผู้เจริญ  การประชุมสงฆ์วันนี้ มีพระอานนท์พุทธอนุชาผู้เป็นพุทธอุปฐาก ได้รับพุทธบัญชามาให้กระทำลงโทษท่านด้วยวิธีให้คณะสงฆ์ลงพรหมทัณฑ์ โดยให้ภิกษุสงฆ์พร้อมใจกันไม่พูดคุยสนทนาไม่ว่ากล่าวตักเตือน ไม่ทำการสั่งสอน หากพระฉันนะต้องการทำอะไรก็จงปล่อยให้ทำตามประสงค์

พระฉันนะได้ฟังแล้วก็บังเกิดสลดสังเวชในดวงจิต ถึงกับสลบไปถึงสามครั้ง เมื่อฟื้นจากสลบแล้วก็เริ่มทบทวนถึงเหตุการณ์ที่ตนเข้ามาบวชตั้งแต่ต้นอาศัยพระผู้มีพระภาคเจ้าผู้ที่ตนเคารพรักบูชาสูงสุดเคยตักเตือนหลายครั้ง แต่ตัวเรานี้หาเชื่อฟังพระองค์ไม่ แต่เหล่าศากยบุตรและศากยาณีทั้งหลายที่เข้ามาบวช ต่างบรรลุมรรคผลนิพพานจำนวนมากมาย  อันตัวเรานี้ถือว่าว่าเป็นสหชาติโยธามาเกิดร่วมสมัยกับพระพุทธองค์เพื่อทำความดี  แต่มัวอวดตัวถือดีมีทิฏฐิ ไม่ขวนขวายหาความดีที่เป็นยอดยิ่งของความดี ไม่สนใจจะศึกษาปฏิบัติธรรม วันๆ ไม่ทำกิจการงานอะไร ปล่อยวันเวลาให้สูญเปล่าล่วงเลยไปไร้ประโยชน์ เวลาผ่านไปเท่าไร อายุเราก็ลุถึง 80 ปี กว่าแล้ว ร่างกายสังขารนี้จะจบสิ้นเมื่อวันได้เราก็ไม่รู้...
 นี่คือจิตสำนึกของพระฉันนะผู้เฒ่า เริ่มมองเห็นและเข้าใจใจเจตนารมณ์ของพระผู้มีพระภาคเจ้า ชะรอยการลงพรหมทัณฑ์มีพุทธประสงค์ที่แท้จริงเพื่อจะสงเคราะห์เราให้ดวงตาเห็นธรรม จึงขอร้องพระอานนท์ได้ช่วยอนุเคราะห์เทศนาธรรมที่ควรแก่จริต ด้วยคำวิงวอนว่า

 ข้าแด่ท่านอานนท์ ผู้เจริญ ขออย่าให้กระผมฉิบหายเลย
พระอานนท์กล่าวขึ้นว่า ท่านฉันนะ ดีแล้ว ดีแล้ว ท่านละความเห็นผิดจากมิจฉาทิฏฐิ กลับมาเป็นสัมมาทิฏฐิ จึงช่วยสงเคราะห์เทศนาธรรมที่เป็นอริยธรรมนำไปสู่การบรรลุมรรคผลตามลำดับคือ
 อริยมรรคมีองค์ 8 เป็นทางเดินมรรคาไปสู่พระนิพพาน
 รักษาศีลปาฏิโมกข์ให้บริสุทธิ์บริบูรณ์
สำรวมในอินทรีย์ให้คุมครองในอินทรีย์ทั้ง 6
รู้จักประมาณตนในการบริโภค
จงเร่งปฏิบัติธรรมเป็นเครื่องตื่น
มีหิริ โอตัปปะ
ปลีกกายหลีกเร้นปราศจากการคลุกคลี หาที่สงบไม่พลุกพล่านให้ห่างจากหมู่คณะ
เจริญญาณด้วยสติ สมาธิ ปัญญา   ครั้นสติตั้งมั่นแล้ว ให้เจริญวิปัสสนาญาณอันด้วย
 กายคตาสติปัฏฐาน  ประกอบด้วย
1.   สติปัฏฐาน 4
2.   สัมมัปธาน 4
3.   อิทธิบาท 4
4.   อินทรีย์ 5
5.   พละ 5
      เมื่อปฏิบัติถึงขั้นนี้แล้ว องค์ธรรม คือ โพชฌงค์ 7 จะเกิดขึ้น จนเห็นแจ้งใน ปฏิจจสมุบาท
เมื่อพระฉันนะฟังธรรมโดยย่อจากพระอานนท์แล้ว เกิดความเลื่อมใส ปิติปราโมทย์ ก้มกราบพระอานนท์ กลับสู่ที่พำนักเร่งบำเพ็ญเพียรภาวนา สำเร็จพระอรหันต์ขีณาสพทรงคุณด้วยปฏิสัมภิทาญาณ ภายใน 15 วัน   

*****
 หมายเหตุ

 หลังพุทธปรินิพพาน  พุทธศาสนาสนิกชน ต่างวิปโยคเศร้าโศกเสียใจ พระเถระผู้ใหญ่ทั้งหลาย ส่วนใหญ่ก็ละสังขารไป  คงเหลือแต่พระอานนท์องค์เดียว ที่เป็นหลักชัยให้แก่พระพุทธศาสนา  เพราะเมื่อก่อน เขาเห็นพระพุทธเจ้า ก็ต้องเห็นพระอานนท์   พระอานนท์ ก็อยู่ช่วยพระพุทธศาสนา ถึงอายุ 120 ปี  มีคุณูประการต่อพระพุทธศาสนาหลังพุทธปรินิพพาน อย่างมากมาย   ดังนั้น จึงไม่แปลกใจเลยว่า

 ในบรรดาพระสาวกของพระพุทธเจ้า มหาชนจึงรักเคารพพระอานนท์มากที่สุด

ไม่มีความคิดเห็น: