วันจันทร์ที่ 4 ตุลาคม พ.ศ. 2553

หลวงปู่สมชาน ฐิตริโย2

...


พ.ศ.๒๔๙๒
จำพรรษา ที่ วัดอรัญญวาสี
อำเภอท่าบ่อ  จังหวัดหนองคาย

                หลังจากหลวงปู่สมชาย ฐิตวิริโย กลับมาจากฝั่งประเทศลาว ก็เดินธุดงค์หาสถานที่วิเวกมาเรื่อยๆ เพื่อดูว่าสถานที่แห่งใดจะเหมาะแก่การบำเพ็ญสมณธรรมในระหว่างพรรษาที่กำลังใกล้เข้ามา ที่สุดท่านได้มาหยุดพัก ณ วัดอรัญญวาสี อำเภอท่าบ่อ จังหวัดหนองคาย ซึ่งวัดแห่งนี้หลวงปู่เสาร์ กนฺตสีโล ปรมาจารย์ใหญ่ฝ่ายกรรมฐานได้เป็นผู้มาสร้างไว้  หลวงปู่เห็นว่าน่าจะเป็นมงคล และคงจะได้รับบารมีของหลวงปู่เสาร์แผ่มาช่วยให้การบำเพ็ญภาวนาเจริญก้าวหน้ายิ่งขึ้น จึงตัดสินใจจำพรรษาปีนั้นที่วัดนี้

                เมื่อออกพรรษาในปีนั้นแล้ว หลวงปู่สมชาย ฐิตวิริโย ก็รีบเดินทางไปกราบนมัสการหลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต เพราะทราบข่าวว่าหลวงปู่มั่นกำลังอาพาธ จึงอยากไปให้ทันรับฟังปัจฉิมโอวาทของท่าน เพราะนับแต่จากหลวงปู่มั่นมาเมื่อปี พ.ศ. ๒๔๙๑ จนมาจำพรรษาที่วัดพระงามศรีมงคล ยังไม่ได้กลับไปกราบเรียนความเจริญก้าวหน้าทางด้านจิตใจจากการปฏิบัติให้ท่านทราบเลย โดยปกติหลวงปู่สมชายท่านมักจะเดินทางไปอยู่ภาวนาตามคำสั่งของครูบาอาจารย์  เมื่ออยู่ครบตามที่ครูบาอาจารย์กำหนดให้แล้วก็จะกลับไปกราบเรียนถวายให้ท่านทราบ ท่านถือปฏิบัติอย่างนี้เสมอมา ผู้ปฏิบัติท่านถือกันมากเรื่องการเคารพในคำสั่งสอนของครูบาอาจารย์ ผู้ที่ฝ่าฝืนคำสั่งครูบาอาจารย์ โดยมากมักปฏิบัติไม่ก้าวหน้า และมักพบความวิบัติ โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้อยู่ในสำนักครูบาอาจารย์ที่ทรงคุณธรรม เช่นสำนักหลวงปู่มั่น บรรดาลูกศิษย์ทั้งหลายจะให้ความเคารพนับถือเชื่อฟังคำสั่งมากเป็นพิเศษ ฝ่าฝืนไม่ได้เด็ดขาด แม้ความรู้สึกนึกคิดข้างในก็ต้องคอยระมัดระวังไม่ให้คิดไปตำหนิติโทษท่านเป็นอันขาด เพราะกลัวจะเป็นบาป และจะเป็นอุปสรรคในการบำเพ็ญเพียร หรือเจริญสมณธรรมไม่ก้าวหน้านั่นเอง

                เท่าที่เคยได้รับฟังมา เคยมีสามเณรองค์หนึ่ง ที่ สำนักหลวงปู่มั่น เป็นเณรหัวดื้อพูดยากสอนยาก ใครพูดอะไรก็ไม่ค่อยเชื่อฟัง หลวงปู่มั่นจึงได้พูดเตือนสติขึ้นว่า ระวังนะเณร การฝ่าฝืนครูบาอาจารย์ไม่ใช่ของดี มันเป็นบาป ถ้าฝืนมาก ๆ เข้าอาจจะเป็นบ้าได้ หลวงปู่ท่านพูดไม่กี่นาที สามเณรองค์นั้นก็เสียสติทันที พอท่านสั่งว่า ถ้าอยากหายให้หาดอกไม้มาขอขมา เมื่อสามเณรปฏิบัติตาม ก็หายจากการเป็นบ้าทันที เรื่องนี้หลวงปู่สมชาย ฐิตวิริโย ท่านก็ได้เห็นเหตุการณ์ในขณะนั้นด้วย
                นับแต่หลวงปู่สมชาย ฐิตวิริโย ได้อุปสมบทในบวรพุทธศาสนา ท่านได้ตั้งใจศึกษาประพฤติ ปฏิบัติธรรมตลอดมาโดยลำดับ ไม่เคยลดละประมาท  เพื่อต้องการพิสูจน์ความจริงในทางพระพุทธศาสนา ท่านขยันหมั่นเพียรในกิจวัตรน้อยใหญ่ทั้งปวง ไม่เคยย่อท้อ  การปฏิบัติจึงได้ผลตั้งแต่เริ่มและดีขึ้นเป็นลำดับ ทำให้ท่านเพลิดเพลินในสิ่งที่ได้รู้ ได้เห็น และเกิดความซาบซึ้งในรสพระธรรมที่เกิดขึ้นจากการบำเพ็ญเพียรของท่านเป็นอย่างยิ่ง

                ระหว่างที่เพลินอยู่กับการปฏิบัติธรรมนั้น เหตุการณ์ที่สะเทือนใจแก่ผู้ปฏิบัติ ก็แพร่สะพัดขึ้น คือ ข่าวการมรณภาพของหลวงปู่มั่นภูริทตฺโต เมื่อวันที่ ๑๑ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๙๒ ขณะนั้นหลวงปู่สมชาย ฐิตวิริโย ยังเป็นนวกภิกษุ มีอายุพรรษาได้เพียง ๔ พรรษาเท่านั้น
                เมื่อหลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต ผู้เปรียบเสมือนร่มโพธิ์ร่มไทร เปรียบเสมือนดวงประทีปของศิษยานุศิษย์  เมื่อดวงประทีปที่คอยส่องสว่างได้ดับลง ความเศร้าสลดรันทดใจเกิดขึ้นแก่บรรดาศิษยานุศิษย์ทั้งบรรพชิตและคฤหัสถ์ในขณะนั้นมากมายจนไม่อาจกล่าวได้  หลวงปู่สมชาย ฐิตวิริโย อยู่ในฐานะเป็นลูกศิษย์ของหลวงปู่มั่นองค์หนึ่งก็พลอยได้รับความกระทบกระเทือนจากเหตุการณ์ครั้งนี้เช่นเดียวกับลูกศิษย์องค์อื่นๆ เพราะเมื่อครั้งหลวงปู่มั่นท่านยังมีชีวิตอยู่ คณะศิษย์ทั้งหลายได้ถือเอาสำนักหลวงปู่มั่น เป็นจุดรวมในการศึกษาและอบรมกรรมฐานภาคปฏิบัติ บรรดาลูกศิษย์ทั้งหลายได้รับความอบอุ่นและมีกำลังใจเพราะมีที่พึ่ง เมื่อขาดที่พึ่งลงอย่างกะทันหันเช่นนี้ ความว้าเหว่วังเวง ความเศร้าสลดย่อมเกิดขึ้นเป็นธรรมดาสำหรับผู้ที่ยังเป็นปุถุชน

                หลังจากเหตุการณ์การสูญเสียครูบาอาจารย์ได้ผ่านพ้นไปแล้ว หลวงปู่สมชาย ฐิตวิริโย ในระหว่างเป็น นวกภิกษุนั้น ท่านก็ได้เข้าไปอาศัยอยู่ตามสำนักครูบาอาจารย์ต่างๆ ที่เป็นลูกศิษย์หลวงปู่มั่นชั้นผู้ใหญ่รุ่นครูบาอาจารย์ตลอดมา  จนอายุพรรษาเข้าขั้นเถรภูมิ เมื่อเห็นว่าเป็นนิสัยมุตกะได้แล้ว ท่านจึงได้ออกบำเพ็ญภาวนาเองโดยส่วนตัวตามลำพัง ณ. สถานที่ต่าง ๆ ตามสมควรแก่โอกาส

                หลวงปู่สมชาย ฐิตวิริโย ได้เคยไปศึกษาและปฏิบัติธรรมกับครูบาอาจารย์ ที่มีชื่อเสียงมากในสมัยนั้นหลายท่าน เท่าที่จดจำได้ตามที่หลวงปู่ได้เคยเล่าไว้ ท่านเคยไปศึกษาปฏิบัติธรรมอยู่กับครูบาอาจารย์ต่างๆ ดังนี้

                ๑. หลวงปู่สิงห์ ขนฺตยาคโม

                ๒. หลวงปู่ฝั้น อาจาโร

                ๓. หลวงปู่อ่อน ญาณสิริ

                ๔. ท่านพระอาจารย์กงมา จิรปุญโญ

                ๕. ท่านพระอาจารย์สีลา อิสฺสโร
                และยังมีครูบาอาจารย์ท่านอื่นที่สำคัญๆ อีกหลายท่าน


พ.ศ. ๒๔๙๓
จำพรรษา ที่ วัดป่าโสตถิผล (วัดป่าบ้านหนองโดก)
บ้านหนองโดก ต.ช้างมิ่ง อ.พรรณานิคม จ.สกลนคร

                หลวงปู่บุญหนา ธมฺมทินฺโน เจ้าอาวาสวัดป่าโสตถิผล รูปปัจจุบัน ได้เล่าถึงหลวงปู่สมชาย ไว้ว่า ในช่วงนั้น(พ.ศ.๒๔๙๓) เป็นช่วงเวลาหลังถวายเพลิงศพหลวงปู่มั่นเสร็จสิ้นลงได้ไม่นาน พระนวกะส่วนใหญ่ก็มักเข้าหาที่พึ่งจากศิษย์ผู้ใหญ่ที่ตั้งสำนักอยู่ตามสถานที่ต่างๆ บางรูปก็ปลีกวิเวกธุดงค์ไปทางภาคเหนือก็มี ไปทางภาคใต้ เช่น คณะของหลวงปู่เทสก์ เทสรํสี ก็มี  แยกไปทางภาคตะวันออกก็มี เช่น คณะของหลวงปู่กงมา หลวงปู่มหาบัว เมื่อไปได้ระยะหนึ่งก็กลับอีสาน  บ้างก็ตั้งสำนักกันเองตามหุบเขาในภาคอีสานก็มีหลายสำนัก ซึ่งกลายเป็นที่พึ่งพิงฝึกฝนอบรมของศิษย์ชั้นผู้น้อยต่อมา วัดป่าบ้านหนองโดกก็เป็นอีกแห่งหนึ่งที่กลายเป็นศูนย์รวมของพระปฏิบัติในสมัยนั้น ผม (หลวงปู่บุญหนา) ยังเป็นสามเณรน้อยอายุราว ๑๓ ปี  อาจารย์สมชาย ท่านเป็นครูบาใหญ่แล้วเห็นท่านอยู่ที่นี่มาก่อนผม ท่านเป็นพระที่มีความเพียรอย่างหาใครจับยาก ในวัดนี้มีท่านองค์เดียวเท่านั้นที่ทำแปลกกว่าหมู่ คือ เมื่อท่านประจำอยู่ที่นี่นั้น เช้าออกบิณฑบาต ฉันเช้าเช็ดถูปัดกวาดเสร็จแล้ว ก็ออกเดินลัดป่าไปทำความเพียรที่ถ้ำเจ้าผู้ข้า ตอนบ่าย ตอนเย็นท่านก็เดินกลับลงมาทำกิจที่นี่ สรงน้ำหลวงปู่อ่อน บีบนวดหลวงปู่เสร็จ  ท่านได้ผ้าครองห่อหนึ่งก็ออกเดินทางไปทำความเพียรอยู่ที่ถ้ำเจ้าผู้ข้าต่ออีก  ค่อนรุ่งท่านก็เดินกลับลงมาถึงที่วัดก่อนสว่างเพราะท่านต้องมาเอาพรรษาที่นี่ ได้ทำกิจต่างๆ ไม่มีบกพร่องในหน้าที่เลย กลางวันท่านก็ไม่นอน เห็นท่านเมื่อไร ก็เดินจงกรมบ้าง นั่งสมาธิบ้าง เสร็จจากภาวนาก็ทำกิจอย่างอื่นต่อไปอีก เช่น ทำไม้กวาดบ้าง เช็ดถูปัดกวาดบ้าง อยู่อย่างนั้นตลอดทั้งปี พวกผมยังเคยถามท่านว่า ครูบาไม่เคยเห็นได้หลับได้นอน อยู่ได้อย่างไร เห็นทำความเพียรตลอดเวลาอย่างนี้ เอาเวลาที่ไหนไปพักผ่อน ท่านก็ตอบอย่างถ่อมตัวและไม่ต้องการให้ใครยกย่องท่าน ว่า ใครว่าผมไม่พัก !  ไปดูที่นอนผมหรือยัง !  ผมนอนจนหมอนกิ่วหมดทั้งลูกแล้วท่านจะปฏิบัติของท่านเป็นกิจวัตรประจำวัน กลางคืนมืด ๆ สมัยนั้น ทางเดินไม่ใช่อย่างนี้ เดินผ่าดงเสือดงช้างไป หมู่บ้านคนยังไม่มี บนถ้ำที่ท่านอยู่ไม่มีที่นอน มีแต่ที่นั่งเมื่อก่อนหลวงปู่มั่นยังอยู่ ท่านก็เดินไปฟังเทศน์หลวงปู่มั่นที่บ้านหนองผือ แล้วก็เดินมาทำความเพียรที่ถ้ำเจ้าผู้ข้าเหมือนกัน ไม่ว่าในพรรษาหรือนอกพรรษาตลอดทั้งปีท่านก็ปฏิบัติอย่างนี้ ท่านจำพรรษาที่นี่(วัดป่าบ้านหนองโดก) ท่านไปทำความเพียรที่บนถ้ำเจ้าผู้ข้า เสร็จแล้วก็เดินกลับมาเอาพรรษาที่นี่ จับเวลาเดินมาถึงก่อนสว่างโดยที่พรรษาไม่ขาด อาจารย์สมชายท่านอยู่กับหลวงปู่อ่อนมานาน  แต่พอใกล้เข้าพรรษาปีนั้นชาวบ้านม่วงไข่มานิมนต์หลวงปู่อ่อนไปจำพรรษาที่บ้านม่วงไข่ ผมต้องไปปฏิบัติหลวงปู่อ่อนผมไม่ได้อยู่ด้วยต้องติดตามหลวงปู่อ่อนไปจำพรรษาที่วัดบ้านม่วงไข่ ท่านอาจารย์สมชายท่านจำพรรษาที่นี่กับใครบ้างผมจำไม่ได้แล้ว หลังจากนั้นก็ไม่ค่อยได้พบกับท่านอีก  จนท่านมีชื่อเสียงแล้วนี่แหละก็ได้พบกันบ้างในงานครูบาอาจารย์  พบกันที่ไหนท่านมักจะกวักมือเรียกผมเข้าไปนั่งกับท่านด้วยทุกครั้งแล้วก็พูดคุยถึงเรื่องเก่า ๆที่สมัยอยู่กับหลวงปู่อ่อน ท่านอาจารย์สมชายท่านเป็นครูบาอาจารย์ที่ดีมากไม่ถือตัว ผมเป็นพระผู้น้อยแต่ท่านจะเรียกให้ไปนั่งกับท่านอยู่เสมอ ๆ

      ( ขอกราบขอบพระคุณหลวงปู่บุญหนา ที่ได้เมตตาเล่าเรื่องนี้ให้กับผู้รวบรวม เมื่อวันที่ ๒๒ ม.ค. ๕๐)

ผจญภัยกับหลวงปู่มุล

                หลวงปู่มุล ธมฺมวีโร โดยศักดิ์แล้วท่านเป็นญาติผู้ใหญ่ฝ่ายพ่อ โดยฐานะเป็นปู่ เพราะท่าน เป็นน้องชายคุณย่าของหลวงปู่สมชาย ในอดีตหลวงปู่มุลเคยรับราชการเป็นตำรวจมาก่อน แต่ภายหลังได้ลาออกก่อนเกษียณอายุราชการ ท่านเกิดความเลื่อมใสศรัทธาในพระศาสนาและ มีความสนใจในการปฏิบัติธรรมมาก จึงได้สละฆราวาสวิสัยออกสู่ร่มกาสาวพัสตร์ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๔๙๓  เมื่อหลวงปู่สมชาย ฐิตวิริโย อุปสมบทแล้วได้ ๕ พรรษา ภายหลังจากหลวงปู่มุลท่านได้อุปสมบทแล้ว ก็ได้ออกติดตามบำเพ็ญกรรมฐานตามป่าตามเขาและสถานที่ต่างๆ กับหลวงปู่สมชาย ฐิตวิริโย จนกระทั่งได้ติดตามขึ้นมาอยู่บนเขาสุกิม จนหลวงปู่มุลก็ได้มรณภาพลงด้วยโรคชราที่วัดเขาสุกิม เมื่อวันที่ ๑๒ พฤษภาคม ๒๕๒๙ รวมอายุของหลวงปู่มุลได้ ๑๐๐ ปี ๕ เดือน ๑๔ วัน หลวงปู่มีโรคประจำตัว คือโรคไอเรื้อรัง หลวงปู่มุลเป็นพระนักปฏิบัติที่เคร่งครัดต่อพระธรรมวินัยอย่างสม่ำเสมออีกรูปหนึ่ง และมีความเลื่อมใสศรัทธาในปฏิปทาของหลวงปู่สมชาย ฐิตวิริโย ซึ่งเป็นหลานชายของท่านเองเป็นอย่างยิ่ง ท่านให้ความเคารพเชื่อฟังหลานโดยไม่มีทิฐิมานะใด ๆ ไม่เคยโต้เถียงหรือออกเหตุผลคัดค้านต่อหลวงปู่สมชายซึ่งเป็นหลานแม้แต่ครั้งเดียว นับเป็นแบบอย่างที่ดีของพระหลวงตาผู้เฒ่า

                สมัยหนึ่งหลวงปู่มุล พร้อมด้วยพระบวชใหม่รูปหนึ่งชื่อ บัว ได้ติดตามไปบำเพ็ญกับหลวงปู่สมชาย ฐิตวิริโย  ที่ถ้ำพระ ภูวัว    วันหนึ่งหลวงปู่สมชายได้นำพาไปบำเพ็ญยังบริเวณหินก้อนน้ำอ้อย ที่ซึ่งครั้งหนึ่งได้ร่วมผจญช้างป่ากับหลวงปู่ฝั้นนั่นเอง  คราวนี้หลวงปู่มุลท่านได้ไปแขวนกลดที่เก่าที่หลวงปู่ฝั้นเคยพักมาแล้ว ห่างออกไปอีกพอสมควรก็เป็นที่พักของพระบัว      (ไม่ทราบฉายา)   ส่วนหลวงปู่สมชาย ฐิตวิริโย ก็ยังคงพักที่เดิม คือข้ามคลองไปอีกฝั่งหนึ่งนั่นเอง สำหรับพระบัวนั้นเป็นพระบวชใหม่ และยังใหม่ต่อการออกธุดงค์กรรมฐานอีกด้วย จึงมีความหวาดหวั่นอยู่ไม่น้อยเหมือนกันต่อการออกธุดงค์ในครั้งนี้  เพราะตระหนักดีว่าบริเวณดังกล่าวเป็นทางผ่านของสัตว์ร้าย ซึ่งยังเห็นร่องรอยของต้นไม้หักระเกะระกะ แสดงว่าเป็นเส้นทางที่โขลงช้างใช้ผ่านอยู่เป็นประจำ อีกทั้งตามซอกหินก้อนน้ำอ้อยยังเต็มไปด้วยกลิ่นสาบเสือคละคลุ้งอยู่ ต้นไม้บริเวณนั้นก็เต็มไปด้วยรอยขีดข่วนด้วยกรงเล็บของเสือที่ยังมองดูใหม่ ๆ ทั้งนั้น ในคืนแรกนั้น ยังไม่ทันได้ข้ามคืนเลย พระบัวก็ไม่เป็นอันภาวนาตามที่ครูบาอาจารย์สอนเลย  เพราะมัวแต่หวาดกลัวอยู่กับเสียงลมพัดบ้าง เสียงกิ่งไม้หักบ้าง ในจังหวะไหนที่ได้ยินเสียงหลวงปู่มุลไอ ซึ่งเป็นโรคประจำตัวของหลวงปู่ ก็ทำให้พระบัวอุ่นใจขึ้นมาบ้าง ตอนไหนเงียบเสียงไอ พระบัวก็แทบหัวใจสั่นระรัวเพราะความกลัว ที่มีอยู่รอบทิศทาง

อาคันตุกะผู้มาเยือน

                อาคันตุกะผู้มาเยือนในคืนนั้น เป็นอาคันตุกะหน้าใหม่ ได้ยินเสียงดังสวบๆ ๆ มาแต่ไกล ดูเหมือนว่าจะบ่ายหน้าไปทางกลดของพระบัว  พระบัวซึ่งอยู่ในกลดพอได้ยินเสียงดังสวบๆ ของอาคันตุกะที่กำลังมาเยือน ยังไม่ทันเห็นหน้าค่าตากันเลย  พระบัวก็นึกวาดภาพไปต่าง ๆ นานา วาดภาพขึ้นมาให้เป็นเสือ ซึ่งเป็นตัวการสำคัญ จนทำให้ตัวเองแทบช็อก และแทบจะเป็นลมลงไปให้ได้

                หลวงปู่สมชาย ฐิตวิริโย มองเห็นว่าสถานการณ์ไม่ปกติ เกรงว่าพระใหม่จะช็อกหรือจะเป็นลมไป ท่านจึงออกจากกลดเดินข้ามคลองมาร้องเรียกหลวงปู่มุลว่า หลวงปู่ๆ.. เป็นอย่างไรหรือเปล่า.. หลวงปู่มุลตอบว่า เสียงอะไรก็ไม่รู้ ดังสวบ ๆ อยู่ทางด้านนี้ไม่หยุดเลย.... พอพระบัวได้ยินเสียงหลวงปู่มุลและหลวงปู่สมชายพูดคุยกันแล้วก็ออกจากมุ้งกลดมาทันที  พอมาถึงก็พูดว่ากระผมแทบจะช็อกตายให้ได้ครับท่านอาจารย์ หลวงปู่สมชายจึงพูดขึ้นว่า  จะเอาอย่างไรดีนี่ เรามาบำเพ็ญให้ภาวนาไปเถิด ไม่มีอะไร นั่นมันเสียงเม่นหรอกไม่ใช่เสือ... จะอะไรก็ตามผมก็กลัวทั้งนั้น.. พระบัวตอบ... ท่านอาจารย์อย่าหนีกระผมก็แล้วกันคืนนี้... ด้วยการขอร้องของพระบัว หลวงปู่สมชาย หลวงปู่มุล และพระบัว ก็พากันข้ามคลองไปเอากลดและอัฐบริขารของหลวงปู่สมชาย กลับมาฝั่งด้านนี้ ซึ่งหลวงปู่สมชายก็ได้กางกลดอยู่ใต้หินก้อนน้ำอ้อย ระหว่างทางผ่านของสัตว์พอดี สำหรับพระบัวและหลวงปู่มุล อยู่ทางด้านซ้ายและด้านขวาของหินก้อนน้ำอ้อย กลดของหลวงปู่สมชายจึงอยู่ในระหว่างกลางพอดี

                อาคันตุกะผู้มาเยือนในลำดับต่อไปนั้นมีลักษณะแปลกกว่าครั้งแรก นอกจากมีเสียงดังสวบๆ แล้วยังไม่พอ  ยังมีเสียงครางอยู่ในลำคอเพิ่มขึ้นอีก เหมือนจังหวะที่แมวมันหายใจดังอยู่ในลำคอ แต่เสียงที่ได้ยินนี้ดังกว่าเสียงแมวหลายสิบเท่า สำหรับหลวงปู่สมชายนั้นท่านทราบดีว่า นี่คือ เสียงของเจ้าป่าลายพลาดกลอนขนาดมหึมาแน่นอนโดยไม่ต้องสงสัย และอยู่ไม่ห่างจากกลดของท่านมากนักนี่เอง

                ในขณะที่ท่านกำลังกำหนดจิตภาวนา จ้องฟังเสียงเจ้าลายพลาดกลอนมันหายใจอยู่นั้น ว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นต่อไป หลวงปู่มุลก็ได้ไอออกมาด้วยเสียงอันดัง และยังไม่ทันจะขาดเสียงไอ เสียงใหม่ก็เข้ามาแทนที่คล้ายๆ กับเสียงวัตถุหนักๆ ตกลงถูกกับพื้นดิน ทางฝั่งตรงข้ามกับเสียงหายใจนั้น จนแผ่นดินแทบสะเทือน

                หลวงปู่มุลจึงกราบเรียนถามหลวงปู่สมชายขึ้นมาว่า มีอะไรเกิดขึ้นหรือครับท่านอาจารย์  ไม่ทราบเหมือนกันครับว่าอะไรกระโดดข้ามกลดผมไป... .ท่านพระอาจารย์ตอบ... ทันใดนั้นพระบัวก็พรวดพราดออกมาจากมุ้งกลดพร้อมด้วยไฟฉายในมือ จึงพากันฉายไฟไปดูบริเวณรอบๆ ที่มีเสียงนั้น ปรากฏว่าพบรอยเท้าเสือรอยมหึมาขนาดคืบเขื่องๆ อยู่ข้างกลดของหลวงปู่สมชาย พระบัวเห็นดังนั้นก็แทบจะไม่ภาวนาอีกเลย

                พอรุ่งอรุณวันใหม่ ก็พากันลาดตระเวนหารายละเอียดอีกครั้งหนึ่ง จึงทราบแน่นอนว่า เป็นเสือแม่ลูกอ่อนตกคอกอยู่ใกล้ๆ และได้พาลูกหลบหนีไปแล้วตั้งแต่เมื่อคืนนั่นเอง วันต่อมาหลวงปู่สมชายจึงได้พาหลวงปู่มุล และพระบัวย้ายที่พักไปปักกลดอยู่อีกด้านหนึ่ง และได้พักบำเพ็ญทำความเพียรต่อมาอีกระยะหนึ่ง แล้วจึงวิเวกมาทางถ้ำผึ้ง ถ้ำบูชา จนสมควรแก่เวลาเพราะฤดูกาลพรรษาใกล้เข้ามาแล้ว จึงได้กลับลงมาจากภูวัว และเข้าไปพักปฏิบัติอยู่ในสำนักครูบาอาจารย์ เพื่อศึกษาข้อวัตรปฏิบัติและปฏิปทาเป็นแบบอย่างเพิ่มเติม จากครูบาอาจารย์ผู้ประพฤติดีปฏิบัติชอบรูปสำคัญ ๆ ซึ่งในปีนี้เช่นกัน หลวงปู่สมชาย ฐิตวิริโย ได้พิจารณาแล้วเห็นว่าควรที่จะเข้าไปศึกษาปฏิปทาจากหลวงปู่สีลา อิสฺสโร แห่งวัดป่าอิสสระธรรม อำเภออากาศอำนวย จังหวัดสกลนคร

ปรารภถึงความดีของหลวงปู่สีลา อิสฺสโร

                หลวงปู่สีลา องค์นี้นะครับ ผมกล่าวได้ว่า ในบรรดาลูกศิษย์ของหลวงปู่มั่นเท่าที่ผมได้เข้าไปศึกษารับปฏิปทามานั้น หรือบางองค์ที่ผมเคยผ่านๆ มาก็ตาม เท่าที่เคยสัมผัสมาทั้งหมดแล้วทุกองค์ก็ดีน่าเคารพทั้งหมด แต่สำหรับผมแล้ว ถ้าผมจะขอเทิดทูนบูชาไว้เป็นที่สองรองจากหลวงปู่มั่น ก็คงไม่มีใครเกินหลวงปู่สีลา  อิสฺสโร ผมขอบูชาท่านเป็นองค์ที่สองรองจากหลวงปู่มั่นในด้านปฏิปทาและนิสัยทุกๆ อย่าง ท่านน่าเลื่อมใสเป็นอย่างยิ่ง ไม่เคยเห็นองค์ไหนที่จะปฏิบัติได้อย่างนี้  ครูบาอาจารย์แต่ละองค์ส่วนมากท่านจะมีดีคนละแบบกัน แตกต่างกันออกไป เช่น เรื่องไม่สะสมลาภสักการะ เป็นต้น  ใครจะเอาอะไรมาถวายท่าน ท่านรับแล้ว ผ่านมือแล้วไม่เคยมาถามถึงเลย ว่า ...ของผมหายไปไหน.ใครเอาของผมไปใช้..ของชิ้นนั้นใครอย่าเอาไปใช้นะ! .. เอาไปไว้ที่กุฏิผม..ของอันนั้นเขาถวายผมของอยู่ที่ไหน.คำเหล่านี้ไม่มีเลยครับ. สิ่งของต่างๆ ใครจะได้อะไร มาจากไหน ท่านให้นำเข้ากองกลางสงฆ์ทั้งหมด เอื้อเฟื้อ เผื่อแผ่ลูกศิษย์ทั้งหมด ไม่ว่าพระในวัดก็ดี พระอาคันตุกะก็ดี.พระมาจากที่ไหนท่านเผื่อแผ่หมด  กุฏิท่านไม่มีอะไรเลย ผ้าสบง จีวร ก็ดี น้ำอ้อย น้ำตาล ก็ดี ท่านรับแล้วไม่มีถามถึงหรือเรียกหาอีกเลย..

                ส่วนครูบาอาจารย์อีกบางรูป  ซึ่งไม่ได้มีนิสัยของหลวงปู่มั่นเลย  หรือมีก็น้อยเต็มที ใครเอาอะไรมาถวายก็มักจะสั่งว่า ...ของนี้ห้ามไม่ให้ใครเอาไปใช้นะ...เอาไปเก็บไว้ที่กุฏิผม...เหล่านี้เป็นต้น...บางองค์นะครับผมอยู่รับใช้ตลอดพรรษา ทำงานให้ทุกอย่าง จีวรผมปะแล้วปะอีกไม่เคยถามผมซักคำเลยว่า มีผ้าตัดสบงจีวรไหม.ทั้งๆ ที่ผ้าที่กุฏิท่านก็มีไม่ใช่น้อย.เรื่องการอยู่การฉันก็เหมือนกันพวกผมฉันอย่างไร หลวงปู่สีลาท่านฉันอย่างนั้น ท่านตักใส่บาตรแล้วก็แล้วกัน ไม่มีว่าอย่างนี้ดีเอาไว้ฉันเอง อย่างนั้นไม่ดีส่งต่อไปให้พระเล็กเณรน้อย..อย่างนี้ไม่มีให้เห็นเลย...การอบรมสั่งสอนของท่านนะครับ.ท่านพูดจานุ่มนวล น้ำเสียง เย็น ๆ เรียบร้อย ไม่เคยได้ยินหลวงปู่สีลาท่านดุใครเลย  คำหยาบคายไม่มีพูดให้ได้ยิน ไม่มีว่าท่านจะพูดโอ้อวดคุณธรรมของตัวท่านเลยครับ ท่านอบรมพระภิกษุสามเณรแต่ละครั้งท่านมักจะพูดว่า พ่อแม่ครูอาจารย์มั่นท่านสอนมาอย่างนี้ ให้ปฏิบัติอย่างนี้.ท่านจะยกย่องหลวงปู่มั่นมาก ไม่มีว่าเป็นคำสอนของท่านเองเลย...ผมว่าในบรรดาลูกศิษย์หลวงปู่มั่น หลวงปู่สีลานี่แหละครับประเสริฐมากรูปหนึ่ง..แต่ท่านไม่ค่อยมีชื่อเสียงเหมือนรูปอื่นท่านมีแต่ความดีที่ดีกว่าครูบาอาจารย์หลายๆ รูปเท่าที่ผมรู้จัก.ผมทั้งรักและเคารพท่านเหมือนพ่อของผมที่เดียว  วันหนึ่งผมไปกราบลาท่านไปวิเวกที่อื่น เชื่อไหม?.ว่า ผมเป็นคนใจแข็ง ๆ นี่นะครับต้องเปลี่ยนใจทิ้งท่านไปไม่ได้เป็นสิบครั้ง ทั้งๆ ที่ผมเตรียมบริขารเสร็จเรียบร้อยพร้อมที่จะออกเดินทางอยู่แล้ว  ยังต้องยอมเอาบริขารกับไปเก็บเป็นครั้งแล้วครั้งเล่า เพราะความมีเมตตาของท่านนี่แหละครับทำให้ผมถึงกับน้ำตาไหลไม่รู้ว่ากี่ครั้ง   น้ำเสียงของท่านที่พูดกับผมนี่เย็นมาก เย็นจริงๆ..สามารถเปลี่ยนความตั้งใจของผมได้...ครั้งหนึ่งผมเตรียมบริขารแล้วตั้งใจว่าครั้งนี้เป็นไงเป็นกันต้องกราบลาท่านไปให้ได้..ท่านเห็นหน้าผม ผมยังไม่ได้เอ่ยปากเลยครับว่าผมจะพูดอะไร.หลวงปู่ท่านปรารภขึ้นก่อนเลยว่า  เรื่องหมู่คณะ เรื่องคนอื่น เขาจะทำอะไรเรื่องของเขา เขาทำอย่างไรเขาก็จะได้อย่างนั้น..ผมรู้อยู่ว่าท่านเบื่อหน่ายหมู่คณะ. เรานักปฏิบัติก็ปฏิบัติของเราไป.อยู่ปฏิบัติเป็นเพื่อนผม เป็นหมู่ผม อยู่ที่นี่แหละ ถ้าท่านไปเสียแล้วผมก็ไม่รู้ว่าจะพึ่งพาอาศัยใครเวลานี้งานทุกอย่างผมก็อาศัยท่านนี่แหละเป็นกำลัง นึกว่าอดทนเพื่อผมก็แล้วกัน.. หลวงปู่สีลาท่านพูดเพียงแค่ประโยคนี้ ไม่รู้ว่าน้ำตาผมหล่นมาเมื่อไร ผมต้องใจอ่อนนำบริขารกับไปเก็บ อยู่ปฏิบัติท่านต่อไปอีก ได้ระยะเวลาหนึ่งก็มีปัญหาอีก เป็นอยู่อย่างนี้ จนหลวงปู่ท่านก็คงเห็นใจผมเหมือนกัน ท่านจึงอนุญาตให้ผมออกมาได้ ท่านลงมาส่งผมถึงประตูวัด ก่อนที่ผมจะก้าวขาออก ท่านพูดขึ้นอีกว่า สมชาย..!ถ้าเชื่อผมก็ไปปฏิบัติอยู่ที่วัดบ้านกุดเรือน้อยก็แล้วกัน ๑๕ วันให้มาร่วมสวดปาติโมกข์กับผม จะได้พูดคุยกันบ้าง ขาดเหลืออะไร ต้องการอะไรจะได้ช่วยเหลือกันได้...  นี่แหละครับคุณธรรมของหลวงปู่สีลาที่ชาตินี้ผมจะลืมไม่ได้..ปฏิปทาหลายอย่างผมนำของท่านมาใช้จนทุกวันนี้ ดูกุฏิผมได้เลย จะมีแค่ที่นอน บาตร กลด กาน้ำ และกระโถน แค่นี้พอ.ของหลวงปู่สีลาก็อย่างนี้แหละครับไม่สะสมสิ่งของใดๆ น่าเลื่อมใสจริงๆ
(ฐานข้อมูล โดย ถอดจากเทปบันทึกเสียงที่หลวงปู่สมชายปรารภถึงหลวงปู่สีลา อิสฺสโร) 

พ.ศ.๒๔๙๔
จำพรรษาที่วัดป่าอิสสระธรรม
ตำบลวาใหญ่ อำเภออากาศอำนวย จังหวัดสกลนคร

                ในปี พ.ศ. ๒๔๙๔ ก่อนเข้าพรรษาหลวงปู่สมชาย ฐิตวิริโย ท่านได้เดินทางลงมาจากภูวัว เพื่อหาสถานที่จำพรรษา และก็ได้เข้าไปพำนักถือนิสัยอยู่กับหลวงปู่สีลา อิสฺสโร แห่งวัดป่าอิสสระธรรม ตำบลวาใหญ่ อำเภออากาศอำนวย จังหวัดสกลนคร ซึ่งหลวงปู่สีลานั้นท่านก็เป็นศิษย์ผู้ใหญ่ของหลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต อีกรูปหนึ่ง ที่มีข้อวัตรปฏิบัติอันน่าเลื่อมใสน่าศึกษา เป็นแบบฉบับของพระกรรมฐานโดยแท้ ดังคำปรารภของหลวงปู่สมชาย ฐิตวิริโย  ที่นำมายกย่องสรรเสริญให้พระภิกษุสามเณรได้รับฟังอยู่เสมอ ๆ ดังกล่าวมาแล้ว 

                ก่อนหน้าที่จะได้มาจำพรรษากับหลวงปู่สีลา อิสฺสโร นั้น หลวงปู่สมชาย  ฐิตวิริโย ได้เร่งประกอบความเพียรอย่างหนักอยู่บนภูวัว  ในสมัยก่อนนั้นภูวัวเป็นป่าดงดิบ ไข้ป่ายังชุกชุมมาก หลวงปู่สมชายก็เป็นอีกท่านหนึ่งที่หลีกเลี่ยงไข้ป่าไม่พ้น  ก่อนที่จะเดินทางมาถึงวัดป่าอิสสระธรรม ก็มีอาการป่วยเป็นไข้ป่าอยู่บ้างแล้ว  พอลงมาจำพรรษาที่วัดป่าอิสสระธรรม ท่านได้เร่งทำความเพียรเพิ่มขึ้นอย่างไม่ย่อท้อต่อเนื่องตลอดพรรษา ๓ เดือน โดยได้ตั้งจิตอธิษฐานถือ เนสัชชิกังคะ คือไม่เอนกายลงนอนจำวัดเลย ตลอดไตรมาส ท่านได้ทำความเพียรอยู่ในอิริยาบถ ๓คือ ยืน เดิน นั่ง อีกทั้ง ข้อวัตร กิจวัตร อาจริยวัตรทั้งหมดท่านก็ปฏิบัติได้อย่างสม่ำเสมอไม่มีขาดตกบกพร่องเลยแม้แต่น้อย  พอใกล้จะออกพรรษาในปีนั้น พิษไข้ได้ทวีความรุนแรงขึ้น แรงขึ้น เป็นลำดับ จนธาตุขันธ์ของหลวงปู่ที่ว่าแกร่ง ก็ยังพ่ายแพ้ต่อพยาธิมาร หรือโรคภัยไข้เจ็บ

ไข้ป่าเป็นเหตุ

                หลวงปู่สมชาย ฐิตวิริโย ได้ล้มป่วยลงด้วยพิษของไข้ป่าหรือไข้มาลาเรียขึ้นสมอง ความต้านทานก็ไม่เพียงพอเนื่องจากร่างกายไม่ค่อยได้พักผ่อน และไม่ได้เอนกายลงนอนจำวัดเลยตลอด ๓ เดือนเต็ม ในช่วง ๘ วันหลังนี้ แม้อาหารก็ฉันไม่ได้เลย ฉันอะไรลงไป ก็อาเจียนออกมาหมดเพราะพิษไข้ขึ้นสูงมาก เป็น ลักษณะนี้อยู่หลายวัน จนกระทั่งวันหนึ่งอาการรู้สึกว่าจะเพียบหนักกว่าทุกวัน ท่านจึงได้ยอมเอนกายลงนอนพัก ในขณะนั้นทุกข์เวทนากำลังบีบคั้นรุนแรงมาก สังขารร่างกายมีอาการกระวนกระวายเป็นที่สุด ส่วนจิตใจของท่านก็พิจารณาจับดูอาการตามรู้อยู่เรื่อยไป  จนที่สุดทางด้านจิตใจก็เริ่มกระสับกระส่าย กระวนกระวายมากเข้าทุกทีๆ จนไม่รู้ว่าจะเอาจิตใจไปวางไว้ตรงไหนดี  ทั้ง ๆ ที่ท่านเองก็มีสมาธิอยู่  และมีสติอันแก่กล้า แต่เมื่อทุกขเวทนามากเข้าก็วางใจไม่ลงเอาเสียเลย เพราะทุกขเวทนามันมากกว่ามันทับเอาขนาดหนัก ในขณะที่กำลังกระวนกระวายอยู่นั้น ก็มีความรู้สึกว่า ความรู้สึกต่างๆ มาจับอยู่ที่ท้องมากที่สุด มากกว่าทุกส่วนของร่างกาย  หลวงปู่สมชาย ท่านบอกว่า  มีความรู้สึกคล้ายๆ กับมีก้อนหินขนาดใหญ่มาวางทับอยู่บนท้อง รู้สึกว่าท้องค่อยๆ ยุบลงๆ ๆ จนกระทั่งรู้สึกว่าหายใจออกบ้าง ไม่ออกบ้าง คล้ายกับว่าไส้ข้างในท้องนั้นมันบิดตัว และลมในท้องก็ค่อย ๆ อัดขึ้นมาๆ อัดขึ้นมาจุกอยู่ที่ตรงคอหอย ความเจ็บความปวดวิ่งไปทั่วสรรพางค์กายอย่างไม่มีอะไรมาเทียบได้เลย ทุกข์ทรมานไปหมด อาการเป็นอยู่อย่างนี้สักครู่ใหญ่จึงมีความรู้สึกว่ากำลังจะสะอึก แล้วก็สะอึก ..อึ๊ก..! แล้วเกิดเป็นอาการ ..โล่ง..เบา..! สบาย..ไปหมดทั้งตัว

                มีความรู้สึกว่าทุกข์เวทนาทั้งหลายที่มีอยู่นั้นหลุดหายไปหมดแล้ว เอ !..นี่เราหายป่วยได้อย่างไร ?.... แล้วก็ลุกขึ้นมานั่งได้ทันที ท่านจึงแปลกใจในตัวของท่านเองว่า ...เราป่วยมาเป็นเวลาหลายวันแล้ว เมื่อสักครู่นี้เราก็ยังป่วยอยู่นี่นา เรากำลังมีทุกขเวทนาครอบงำอยู่ กำลังกระวนกระวายอยู่ แต่ทำไมเราสะอึกแค่ทีเดียว ทุกขเวทนาต่างๆ เหล่านั้นหายไปได้อย่างไร เราเองป่วยมาตั้ง ๘ วัน ๘ คืนแล้ว อาหารก็ฉันไม่ได้เลย แต่พอจะหายทำไมมันช่างง่ายนัก แค่สะอึกทีเดียวก็หายได้ เวลาในตอนนั้นประมาณ ๑ ทุ่มเศษ 

ไปเยี่ยมไข้สามเณรน้อย

                หลังจากที่ท่านรู้สึกว่าตัวของท่านได้หายป่วยอย่างประหลาดแล้ว ก็เลยนึกถึงสามเณรที่กําลังป่วยหนักอยู่อีกองค์หนึ่งซึ่งติดไข้ป่ามาจากภูวัวด้วยกันกับท่าน และเมื่อตอนเย็นก่อนจะมืดนี้ได้มีพระมาบอกว่าสามเณรป่วยมาก  พอท่านนึกได้ดังนั้นก็ตั้งใจว่าจะไปเยี่ยมดูอาการไข้ของสามเณร และทันใดนั้นท่านก็มีความรู้สึกว่ายังไม่ทันได้ก้าวเท้าออกเดินเลย  แต่จะไปด้วยเหตุใดไม่ทราบ ปรากฏว่าได้มาถึงสามเณรแล้ว มองเห็นสามเณรนอนหลับเป็นปกติอยู่ ก็นึกว่าสามเณรน่าจะยังตัวร้อนด้วยพิษไข้หนักอยู่ จึงอยากจะเอามือไปแตะหน้าผากดู เมื่อก้มตัวลงไปก็คิดว่าถ้าแตะแล้วสามเณรตื่นขึ้นมาก็จะทำให้ไม่สบายอีก จึงหยุดไม่ทำ พรางคิดว่ากลับกุฏิดีกว่า พรุ่งนี้ตอนกลางวันจึงค่อยมาเยี่ยมใหม่ก็แล้วกัน  ต่อจากนั้นท่านก็เลยนึกถึงเรื่องกฐิน ซึ่งก่อนหน้านี้ได้ทราบมาว่าหลังจากออกพรรษาแล้ว  มีทายกรับเป็นเจ้าภาพทอดกฐิน หลวงปู่สีลาก็ได้ประชุมพระบนศาลาเรื่องการจัดกองกฐิน การสวดอุปโลกน์กฐิน  จึงอยากทราบว่าพิธีต่าง ๆ ท่านทำกันอย่างไร มีอะไรจะให้ช่วยทำบ้าง พอนึกว่าจะไปที่ศาลาก็ถึงศาลาปุ๊บอีกเหมือนเดิม... ก็คิดได้ว่าเวลานี้เป็นตอนกลางคืน  แต่ทำไมเราจึงสามารถมองเห็นอะไรต่างๆ ได้อย่างชัดเจน ชัดจนรู้ว่ากองกฐินนั้น มีอะไรบ้างโดยไม่ต้องใช้ไฟฟ้าหรือตะเกียง บนศาลานั้นก็มีเพียงเทียนไขจุดอยู่เท่านั้น แต่มองเห็นทุกสิ่งทุกอย่างเหมือนตอนกลางวัน พอหันไปมองอีกด้านหนึ่งของศาลาก็เห็นหลวงปู่สีลา อิสฺสโร กำลังประชุมพระเณร และได้ยินพูดพาดพิงมาถึงตัวของท่านเอง ในลักษณะยกย่องว่า ครูบาสมชาย ท่านเป็นผู้ที่ทำจริง เอาจริง มีความพยายามสูงมาก  ถ้าท่านไม่ตายเสียก่อนท่านคงได้คุณธรรมชั้นสูงอย่างแน่นอน และคงจะได้เป็นกำลังพระศาสนาที่สำคัญองค์หนึ่ง  แต่น่าเสียดายมากว่าเวลานี้ท่านกำลังป่วยหนัก  ใกล้จะตายเอาเสียด้วยเพราะพิษไข้ป่าขึ้นสูงมาก ทั้งๆ ที่ท่านยังป่วยอยู่ก็ยังมีความเพียรถึงเพียงนี้ พยายามประกอบความเพียรไม่หลับไม่นอนเอาเสียเลย เมื่อวันก่อนท่านยังสั่งไว้อีกว่า ไม่ต้องเป็นห่วงท่าน ขอเพียงแต่พระเณรเอาน้ำใส่กาไปตั้งไว้ให้ที่หน้ากุฏิก็พอ ถ้าท่านตายก็ให้ฝังเลย ไม่ต้องเผา ดูซิ ! ท่านไม่ต้องการให้เป็นภาระของสงฆ์เสียอีก หรือตายแล้วก็ไม่รู้...

                ในขณะที่ยืนฟังอยู่นั้น ก็หวนคิดขึ้นมาได้ว่า การที่มายืนฟังครูบาอาจารย์พูดคุยกันโดยที่ตัวเองไม่ได้อยู่ในหัตถบาสด้วยนั้นเป็นอาบัติทุกกฏ และเสียมารยาทด้วย ถ้ามีใครผ่านมาเห็นเข้าจะหาว่าเรามาแอบฟังเรื่องราวต่างๆ ซึ่งเป็นทั้งอาบัติและเสียมารยาท ก็รู้สึกไม่สบายใจ ท่านจึงได้รีบออกจากที่นั้นทันที พอเดินลงมาถึงลานวัด ก็มาเจอกับสุนัขตัวหนึ่งเข้าโดยบังเอิญ

สุนัขเห็นผีจริงไหม

                ในขณะที่หลวงปู่สมชาย  ฐิตวิริโย เดินลงมาจากศาลาจะกลับกุฏินั้นก็พบกับสุนัขที่ท่านเลี้ยงไว้ตัวหนึ่ง  จึงอยากจะเดินไปเล่นกับมัน เนื่องจากเป็นสุนัขที่ท่านเลี้ยงไว้ตั้งแต่เล็กๆ จึงเชื่องและคุ้นเคยกับท่านมาก ซึ่งท่านเคยใช้สุนัขตัวนี้เป็นเครื่องมือทดลองสะกดจิต ฝึกแบบจิตวิทยา ทุกวัน ตามปกติแล้วสุนัขตัวนี้เมื่อเห็นท่านแล้วจะต้องวิ่งเข้ามาหาเข้ามาเลียแข้งเลียขาทันที มักชอบติดตามไปไหนมาไหนด้วยเสมอๆ แต่วันนี้ทำไมมันจึงเป็นอย่างนี้ ทำท่าแปลก ๆ  พอเห็นปุ๊บก็วิ่งหนีทันที ทำท่าหยุดๆ มองๆ พอท่านเดินตามไปก็วิ่งหนีต่อไปอีก แล้วก็วิ่งหนีหายไปทางไหนไม่รู้อีกเลย ท่านจึงคิดว่า ..เอ ?..เจ้าสุนัขตัวนี้มันเห็นผีหรือเปล่าหนอ สงสัยจริงๆ..

ไหนตัวเรากันแน่

                หลังจากครุ่นคิดอยู่กับสุนัขแล้ว ก็ได้เดินทางกลับกุฏิ พอเปิดประตูกุฏิเข้าไปก็ต้องตกตลึง ! และยิ่งแปลกประหลาดกับสิ่งที่เห็นต่อหน้านั้นยิ่งนักว่า เกิดอะไรขึ้นกันแน่ ร่างที่นอนอ้าปากตาเหลือกอยู่บนเตียงนั่นก็เรา ที่ยืนมองอยู่นี้ก็ตัวเราอีก จึงแปลกใจมาก ว่า เอ !..เกิดอะไรขึ้นหรือนี่ ? ทำไมเราจึงเป็นสองคนได้ ที่ยืนอยู่นี่ก็เรา ที่นอนอ้าปากตาเหลือกอยู่บนเตียงนั่นก็เราอีก มันอะไรกันแน่..ท่านยังคิดต่อไปอีกว่า หรือนี่คือผลของสมาธิที่สามารถทำคน คนเดียวให้เป็นสองคนได้...!

                ขณะที่ท่านกำลังคิดตรึกตรองเหตุการณ์ต่างๆอยู่นั้น  ก็ได้มีชายใส่ชุดสีขาวเข้ามาหาท่าน ๒ คน พร้อมกับพูดขึ้นว่า ผมจะมาพาท่านไปเที่ยวบ้าน.. หลวงปู่จึงถามเขาว่า บ้านที่ร้อยเอ็ดหรือ (บ้านเกิด) ?..เขาตอบว่าไม่ใช่ หลวงปู่จึงบอกเขาต่อไปอีกว่า ยังไปไม่ได้หรอกเพราะกำลังสงสัยอยู่ว่านี่มันอะไรกันแน่ นั่นก็ตัวเราที่ยืนอยู่นี่ก็ตัวเรา  ถ้าพรุ่งนี้ครูบาอาจารย์ถามจะตอบไม่ถูก ชายสองคนนั้นตอบว่า ไม่เป็นไร ? ถ้าท่านไปกับข้าพเจ้าแล้วจะสิ้นสงสัยเอง... หลวงปู่สมชาย ฐิตวิริโย ได้ย้อนถามเขาถึงสองครั้ง เขาก็ตอบยืนยันว่าจะสิ้นสงสัยจริงถึงสองครั้งเช่นกัน ถ้าอย่างนั้นก็ตกลง พอตอบว่าตกลงเท่านั้นเอง ก็ปรากฏว่ามีความรู้สึกคล้ายๆ กับว่าลอยตามเขาไปทันที และปรากฏว่าลอยออกไปทางทิศตะวันออกของกุฏิ  ลอดกิ่งต้นกะบกออกไป หลวงปู่สมชาย ได้ถามเขาอีกครั้งหนึ่งว่า จะพาไปที่ไหน ? เขาชี้มือให้ดู มองเห็นคล้าย ๆ กับมีดวงดาวดวงหนึ่งลอยอยู่ข้างหน้า และกำลังจะพุ่งตรงเข้าไปที่นั้นนั่นเอง 

                ตามความรู้สึกของหลวงปู่สมชาย ท่านเล่าให้ฟังว่า ท่านสังเกตดูแล้ว ดาวดวงที่จะไปนั้นมีลักษณะคล้ายกับดาวเพชร และก็ปรากฏว่าพุ่ง วูบ เข้าไปสู่ดาวดวงนั้นทันที..

โลกทิพย์

                เมื่อไปถึงสถานที่แห่งใหม่นี้แล้ว หลวงปู่สมชาย ท่านเล่าว่ามีความรู้สึกคล้ายๆ กับโลกมนุษย์ของเรานี่เอง แปลกแต่ว่ามีต้นไม้เป็นระเบียบและสูงมาก กิ่งก้านสาขาเข้าประสานถึงกันหมด พอมองขึ้นไปข้างบน เหลืองอร่ามเหมือนสีทอง ส่วนข้างล่างที่พื้นเหยียบเหมือนมีหญ้าแห้วหมูปกคลุมทั่วไปหมด หรือคล้ายๆ กับปูลาดไปด้วยพรม คลุมไปหมดมองไม่เห็นพื้นดินเลยว่าเป็นอย่างไร เหยียบไปตรงไหนก็นุ่มนิ่มไปหมด ถึงตอนนี้หลวงปู่บอกว่า จิตใจนี่เปลี่ยนไปหมดหน้ามือเป็นหลังมือเลยทีเดียว จิตใจอ่อนโยนอย่างบอกไม่ถูก ถ้าใครไปเจอแล้วจะรู้เอง ว่าจิตใจมันเปลี่ยนอย่างไร เพราะว่าบางอย่างไม่สามารถเล่าให้ถูกต้องได้ อุปมาข้อนี้เหมือนกับรสชาติของผลไม้ ผู้ที่ยังไม่เคยชิมดู ถึงแม้ว่าใครจะพรรณนาเรื่องรสชาติให้ฟังอย่างไรก็ไม่หายสงสัยนอกจากจะลองรับประทานด้วยตนเอง ถึงไม่พรรณนาก็สามารถรู้ได้เองฉันใด เรื่องนี้ก็เหมือนกันฉันนั้น  เมื่อเรายังไม่ถึงก็ไม่รู้ว่าจิตใจเปลี่ยนแปลงอย่างไร บอกไม่ถูก แต่ถ้าถึงแล้วไม่ต้องมีใครบอกก็สิ้นสงสัยเอง

                ท่านยังบอกว่า พอก้าวเท้าเข้าไปถึงเท่านั้นก็ได้ยินเสียงขับกล่อมอยู่ตลอดเวลา คล้าย ๆ กับเสียง ดนตรี  ทำให้จิตใจเยือกเย็นและอ่อนโยนเป็นลำดับ แต่ไม่รู้ว่าเสียงนั้นมาจากไหน แล้วเขาก็พาท่านไปจนถึงบ้านหลังหนึ่ง และบอกว่า นี่แหละบ้านของท่าน ที่เราว่าจะพาท่านมา...

       เขาได้พาเข้าไปในบ้าน ท่านจึงได้เอ่ยถามเขาว่า ใครเป็นผู้มาสร้างไว้ให้ ?. เขาตอบว่า ที่เราอยู่เวลานี้ คือ โลกทิพย์ ของทั้งหมดไม่ต้องมีใครสร้างเกิดขึ้นเอง เป็นเองด้วยอานิสงส์ของความดีที่ทำไว้ในโลกมนุษย์.. เขาพูดเพียงแค่นั้น หลวงปู่สมชาย ฐิตวิริโย ท่านก็รู้ได้ทันทีว่า ถ้าอย่างนั้นเราก็ตายแล้วนะซี ? ถ้ารู้ว่าตายอย่างนี้จะไปกลัวตายทำไม ไม่เห็นจะน่ากลัวตรงไหนเลย แล้วได้ถามเขาอีกว่า บ้านหลังนี้เกิดขึ้นได้อย่างไร ?.. เขาอธิบายให้ฟังว่า สวดปาติโมกข์ได้มีอานิสงส์ เขาอธิบายให้ฟังว่า สมัยหนึ่งเมื่อปี พ. ศ. ๒๔๘๙  ท่านได้จำพรรษาอยู่กับหลวงปู่ฝั้น อาจาโร ที่วัดป่าภูธรพิทักษ์ จังหวัดสกลนคร ในปีนั้นท่านได้ตั้งใจสวดพระปาติโมกข์ สวดได้ดีมาก และน้อมใจขึ้นสวดจริงๆ จึงได้บังเกิดปราสาทหลังนี้ขึ้นเป็นอานิสงส์ตอบ สนอง...  พอท่านได้ฟังดังนั้นก็รู้สึกซาบซึ้งใจมาก ทั้งดีใจ และเสียใจ ระคนกัน ซึ่งแต่ก่อนนึกว่า ครูบาอาจารย์หานโยบายให้ลูกศิษย์มีความขยันท่องปาติโมกข์ แต่พอมาเจอเข้าอย่างนี้  จึงรู้ว่าเป็นเรื่องจริง พอมองออกไปข้างนอก ด้านทิศตะวันออกของปราสาทก็มองเห็นสวนมะม่วงสวยงามขึ้นเป็นระเบียบเรียบร้อย ร่มรื่น มีลานหญ้า และน้ำตกไหลซู่ ๆ สดชื่นจริงๆ  มีที่นั่งที่นอนสำหรับพักผ่อนหย่อนใจ ดูเป็นสถานที่น่ารื่นรมย์เป็นอย่างยิ่ง ทำให้เพลิดเพลินจำเริญใจอย่างหาที่เปรียบไม่ได้ หลวงปู่สมชาย ฐิตวิริโย จึงเอ่ยถามขึ้นอีกว่า สวนมะม่วงแห่งนี้เกิดขึ้นได้อย่างไร ? เขาตอบว่า อานิสงส์จากที่ท่านเคยถวายมะม่วงแก่ครูบาอาจารย์ด้วยจิตที่น้อมลง.. คือเมื่อปีพ.ศ.๒๔๘๙ ในปีเดียวกันนั้น ท่านได้ไปบิณฑบาตที่บ้านธาตุนาเวงซึ่งเป็นทางสายบิณฑบาตที่ไกลกว่าทุกสายและเดินทางลำบากมาก ต้องข้ามน้ำข้ามคลอง บางแห่งก็ต้องเดินลุยโคลนไป ผ้าสบงจีวร ต้องเปียกเลอะเทอะแทบทุกวัน จนไม่มีพระเณรองค์ไหนอยากจะไป เมื่อไม่มีใครไป ท่านจึงไปแต่เพียงผู้เดียวตลอดพรรษา มีวันหนึ่งชาวบ้านถวายมะม่วงอกร่องใส่บาตรมาหลายลูก พอท่านเดินกลับจากบิณฑบาตก็มีความตั้งใจว่า เมื่อกลับถึงวัดแล้วจะเอามะม่วงที่บิณฑบาตได้มานี้ถวายครูบาอาจารย์ให้หมดทุกองค์ เพราะว่าเป็นอาหารที่ประณีตดี พอกลับมาถึงวัดแล้วท่านก็ได้น้อมใจที่เต็มไปด้วยบุญกุศล เอามะม่วงใส่บาตรถวายครูบาอาจารย์จนหมดเกลี้ยง โดยที่ตนเองไม่ได้เก็บไว้ฉันเองเลย ซึ่งในครั้งนั้น เป็นการตั้งใจและน้อมใจทำบุญอย่างจริงๆ ด้วยอานิสงส์นั้นจึงบังเกิดผลเป็นสวนมะม่วง และสถานที่แห่งนี้ขึ้นมา
                จากนั้นเขาก็เล่าเรื่องต่างๆให้ฟังอีกเป็นลำดับว่าของแต่ละอย่างเกิดขึ้นได้อย่างไร อยู่ที่ไหน ตลอดถึงครูบาอาจารย์ของเขาที่นำพาประกอบบุญกุศลตั้งแต่ครั้งสมัยที่เขายังอยู่ในโลกมนุษย์ เขาได้นำหลวงปู่สมชาย ฐิตวิริโย เที่ยวชมสถานที่ต่างๆ อยู่บนโลกทิพย์นั้น หลวงปู่ท่านก็เกิดความเสียใจมากว่า อานิสงส์ของท่านทำไมมันช่างน้อยนัก ท่านเคยสร้างโบสถ์ และวิหารก็หลายหลัง ให้ทานการบริจาคด้านอื่นๆ ก็มีจำนวนมากมาย ทำไมไม่เห็นมีอานิสงส์เลย เหตุใดจึงมีเพียงสองอย่างเท่านั้น ?.. จึงได้ถามเทพเจ้าเหล่านั้นต่อไปอีก เขาก็ตอบว่า นั่นท่านสักแต่ทำ โดยที่ไม่มีจิตใจน้อมลงเพื่อบุญกุศล ทำมากเท่าไรก็ไม่มีอานิสงส์ ถึงมีบ้างก็ยากเต็มที เหมือนโยนเข็มลงมหาสมุทร แต่ว่าอานิสงส์ทั้งสองอย่างที่ท่านประจักษ์อยู่นี้ ท่านได้ทำด้วยใจน้อมลงเพื่อบุญกุศลจริงๆ จึงบังเกิดขึ้นเป็นอานิสงส์ดังนี้สองอย่าง...
                หลวงปู่สมชาย ฐิตวิริโย ท่านได้เล่าให้ฟังอีกว่า อานิสงส์ของท่านนั้นถ้าเปรียบกับของคนอื่นที่ได้เห็นมาแล้วนั้น ล้วนแล้วแต่เป็นผู้ที่มีวาสนาบารมีกันมากๆ ทั้งนั้น เพราะมีสิ่งประดับบารมีที่วิจิตรตระการตามากกว่าของท่านมากนัก ถ้าเปรียบแล้วท่านบอกว่า ของท่านนั้นเปรียบเหมือนเทพเจ้าระดับชาวบ้านธรรมดา หรือระดับขอทานเท่านั้น ส่วนของเทพเจ้าองค์อื่น ๆ นั้นเปรียบเหมือนเทพเจ้าระดับเศรษฐีหรือพระราชาทีเดียว ท่านจึงเกิดความเสียใจ และคิดอยากกลับมาสร้างบารมีใหม่ เพื่อเป็นการแก้ตัวอีกสักครั้ง

ขอกลับมาสร้างบารมีต่อ

                หลวงปู่สมชาย  ฐิตวิริโย ท่านจึงได้อธิษฐานไว้ในใจว่า ถ้าข้าพเจ้ามีบุญบารมีเหมือนอย่างที่หลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต ได้เคยปรารภมาแล้ว ก็ขอให้บรรดาเทพเจ้าเหล่านี้จงได้ยินยอมตามที่ข้าพเจ้าจะขอต่อไปด้วยเถิด แต่ถ้าหากว่าไม่มีบุญที่จะสร้างความดีและบารมี หรือพอที่จะทำประโยชน์ให้กับพระพุทธศาสนาได้แล้ว ก็ขอให้เทพเจ้าเหล่านี้ อย่าได้ยินยอมตามที่ข้าพเจ้าขอเลย ท่านอธิษฐานเสร็จก็ได้หันหน้าประนมมือไปทางเทพเจ้าเหล่านั้นแล้วกล่าวว่า พวกท่านทั้งหลายข้าพเจ้าเกิดมาในชาตินี้  เกิดในพาเหียรลัทธิ คือ ลัทธินอกพระศาสนา ซึ่งสอนว่าตายแล้วสูญ ข้าพเจ้าจึงเสียใจมาก ถ้าข้าพเจ้ารู้อย่างนี้ตั้งแต่แรก ข้าพเจ้าจะสร้างความดีให้เต็มที่ ฉะนั้นจึงขอได้กลับลงไปสร้างบารมี บรมโพธิสมภาร เพื่อเป็นการแก้ตัวอีกสักครั้งหนึ่งเถิด พอท่านกล่าวจบลงเท่านั้น เทพเจ้าทั้งหมดได้ยกมือขึ้นพร้อมกับกล่าวคำว่า สาธุ พร้อมกัน ด้วยเสียงดังกระหึ่มไปหมด เทพเจ้าทั้งหลายเหล่านั้นได้สั่งอีกว่า ท่านจะกลับลงไปได้เพียงชั่วคราวเท่านั้น เมื่อท่านกลับลงไปแล้วจงพยายามสร้างความดีให้เต็มที่ เพราะเวลามีอยู่จำกัด
                ในช่วงเวลานี้โลกมนุษย์ของเรานับว่ายังโชคดีอยู่มากที่ยังมีพระธรรมคำสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ยังมีพระพุทธศาสนา ถ้าเราเกิดในสุญญกัป คือ กัปที่สูญสิ้นพระศาสนาแล้ว โลกมนุษย์จะลำบากมากที่สุด และจากการที่พระพุทธเจ้าจะมาตรัสรู้ในโลกมนุษย์แต่ละพระองค์นั้นเป็นของยากมากลำบากสุดที่จะกล่าว เพราะกว่าพระองค์จะสร้างบารมีให้เต็มบริบูรณ์ได้ก็กินเวลาที่ยืดยาวหลายอสงไขยกัป

                เทพเจ้าเหล่านั้นก็ยังได้ชี้ให้หลวงปู่ ดูดวงดาวต่างๆ พร้อมกับอธิบายให้ฟังอีกว่า ดูซิ!สถานที่ ที่พวกเราเวียนว่ายตายเกิดนั้นมีมากมายดังที่เรามองเห็นอยู่บนท้องฟ้า ดวงดาวแต่ละดวงทั้งหมดที่มีอยู่จำนวนถึง..แสนโกฏิดวง... แต่ละดวงก็เป็นแต่ละจักรวาล แต่ละจักรวาลนั้นถ้าว่าโดยส่วนใหญ่แล้ว แยกออกเป็นสองประเภท คือประเภทที่มีแสงในตัวเอง และประเภทที่ไม่มีแสงสว่างในตัว

                เราจะสังเกตได้ดังนี้ ถ้าดวงใดมีแสงกะพริบ วับ!..วับ!.. และมีแสงวิ่งรอบตัวนั้นเป็นจักรวาลของดวงอาทิตย์ สำหรับให้แสงสว่างและความอบอุ่นแก่โลกอื่น ซึ่งเป็นจักรวาลที่ไม่มีสิ่งที่มีชีวิตอยู่ ถ้าดวงใดมีลักษณะนิ่งๆ ไม่มีการกะพริบตัว ดาวดวงนั้นมีวิญญาณของมนุษย์และสัตว์อยู่ เป็นจักรวาล ที่มีสิ่งที่มีชีวิตอยู่ แต่ว่ายังแยกออกเป็นสามประเภท คือ

                ประเภทที่หนึ่ง เต็มไปด้วยความทุกข์ เช่น นรก เป็นต้น 

                ประเภทที่สอง เป็นจักรวาลที่เต็มไปด้วยความสุข เช่น โลกทิพย์ หรือ สวรรค์ 
                ประเภทที่สาม เป็นจักรวาลที่มีทั้งสุขและทุกข์ปะปนกันอยู่ เดี๋ยวร้องไห้ เดี๋ยวหัวเราะ เดี๋ยวสมหวัง เดี๋ยวผิดหวัง วันนี้มีความสุขความเจริญ แต่รุ่งขึ้นอาจจะได้รับความทุกข์ได้รับความเดือดร้อน หรือวันนี้อาจจะแย่เต็มที  แต่วันพรุ่งนี้อาจจะดีจนเด่น เช่นนี้เป็นต้น ประเภทดังกล่าวมานี้ ได้แก่ โลกมนุษย์... และพระพุทธเจ้าแต่ละพระองค์จะต้องมาเกิดในโลกมนุษย์นี้ เพราะโลกมนุษย์มีสิ่งเปรียบเทียบทั้งทางดี และทางชั่ว มีทั้งสุข มีทั้งทุกข์ ปะปนกันอยู่ ส่วนนรกและสวรรค์นั้นไม่มีสิ่งเปรียบเทียบ เช่น เมืองนรกนั้น ก็มีแต่ทุกข์อย่างเดียว ส่วนเมืองสวรรค์นั้นก็มีแต่สุขอย่างเดียว

                ฉะนั้นการมาตรัสรู้ธรรมของพระพุทธเจ้าแต่ละพระองค์จึงมาตรัสรู้ได้ในโลกมนุษย์แห่งนี้แห่งเดียวเท่านั้น ท่านเรียกว่า   มงคลจักรวาล คือ จักรวาลที่เป็นมงคล... หลังจากนั้นเทพเจ้าทั้งสองที่ได้มารับท่านไปในครั้งแรกนั้น ก็ได้นำท่านกลับมายังโลกมนุษย์อีกครั้งหนึ่ง และได้นำเข้าไปยังกุฏิหลังเดิม พอเข้าไปถึงกุฏิก็มองเห็นร่างของท่านนอนอ้าปากตาเหลือกอยู่อย่างเดิม และเทพเจ้าทั้งสองนั้นก็ยังได้กล่าวสอนท่านอีกครั้งหนึ่ง จากนั้นเขาได้ให้ท่านหลับตา พอท่านหลับตาก็มีความรู้สึกทันทีว่าได้เข้าไปอยู่ในร่างเดิมอีกครั้งหนึ่ง แต่เนื่องจากร่างกายนั้นปราศจากวิญญาณนานถึง ๑๕ ชั่วโมงแล้วจึงรู้สึกว่าร่างนั้นแข็งเหมือนท่อนไม้ ท่านต้องใช้ความพยายามค่อยๆ ขยับตัวทีละน้อย ๆ จนกระทั่งขยับมือได้ก่อน แล้วก็ค่อยๆ ยกมือขึ้นมาบีบปากที่อ้าค้างอยู่นั้นให้หุบลง หลังจากนั้นก็ยกมือขึ้นมานวดกระบอกตาจนเริ่มกะพริบตาได้ ก็ลุกขึ้นนั่ง แล้วค่อย ๆ กระเถิบไปที่โอ่งน้ำล้างเท้าหน้ากุฏิ ตักเอาน้ำขึ้นมาฉันเพราะรู้สึกกระหายน้ำมาก เมื่อท่านได้ฉันน้ำเข้าไปประมาณ ๑ ลิตร ก็รู้สึกว่าค่อยสดชื่นขึ้นมาหน่อย แต่ก็ยังไม่คล่องตัว และเกิดอาการหิวขึ้นมา  จึงได้ขยับไปตากแดด แล้วก็นวดเฟ้นตามแขน ขา ตามข้อต่าง ๆ ของร่างกายสักพักหนึ่งก็เริ่มยืดแขน ยืดขา และอวัยวะส่วนอื่น ๆ ก็เริ่มใช้การได้ดีขึ้น แล้วก็ได้ลุกเดินไปศาลา เพื่อจะฉันอาหาร เพราะรู้สึกว่ามีความหิวมาก ฉันอาหารเสร็จเรียบร้อยได้เวลาเที่ยงพอดี รวมเวลาที่ได้สลบไปทั้งหมด
๑๕ ชั่วโมงเศษ

                ในช่วงนี้ข้าพเจ้าได้มีโอกาสกราบเรียนถามหลวงปู่สมชาย ฐิตวิริโย เพิ่มเติม นอกไปจากเรื่องการมรณภาพไปของท่านอีกหลายเรื่อง ท่านก็ได้เมตตาอธิบายให้ฟังจนเป็นที่พอใจ ข้าพเจ้าเห็นว่าเป็นเรื่องที่เป็นประโยชน์และน่าศึกษาเป็นอย่างยิ่ง จึงคิดว่าน่าจะได้เล่าและบันทึกรวมไว้ด้วย ดังนี้ 

                ข้าพเจ้ากราบเรียนถามท่านต่อไปว่า ตอนที่ท่านได้ไปเห็นความเป็นอยู่ของเทพเจ้าหรือชาวโลกทิพย์นั้น  ท่านอาจารย์ว่าเป็นไปได้ไหม ที่ในตำราหรือตำนานบางเล่ม หรือตามที่มีครูบาอาจารย์บางองค์เล่าเรื่องอสูรกับเทวดารบกัน แย่งลูกชิงเมียกันบ้าง ซึ่งเป็นเรื่องเล่าของทางพุทธหรือพราหมณ์ก็ไม่ทราบ แต่กระผมตีความเอาเองว่า ท่านเล่าเรื่องเทวดาทางพุทธ เพราะเคยเห็นในตำนานทางพุทธ (เรื่องนี้ขอยกไว้เพราะเป็นเรื่องส่วนบุคคล) แต่ที่สงสัยนั้น คือ ทำไมเมืองสวรรค์แท้ๆ ถึงต้องรบราฆ่าฟันกัน ในตำนานบอกว่า รบเพื่อแย่งที่อยู่อาศัย และแย่งลูกชิงเมียกัน ถ้าสวรรค์เป็นอย่างนั้นจริง ๆ ก็ไม่เห็นมีอะไรต่างจากโลกมนุษย์  เพราะการแก่งแย่งชิงดีชิงเด่นกันเป็นเรื่องของพวกมนุษย์ที่มีกิเลสหนาปัญญาหยาบ และถ้าจะว่าไปแล้ว โลกมนุษย์เรายังมีอะไรแปลกๆ น่าคิดกว่าเมืองสวรรค์เสียอีก เช่น สวรรค์มีช้างมีม้า เป็นต้น เป็นพาหนะ แต่เมืองมนุษย์เรามีถึงจรวด เครื่องบิน ฉะนั้นกระผมรู้สึกฉงนใจ เรื่องนี้กระผมเห็นว่ามีความสำคัญต่อพระศาสนาเป็นอย่างมาก ถ้าหากเป็นอย่างที่กระผมกราบเรียนมานั้นจริงๆ คนสมัยใหม่นี้คงไม่มีใครอยากไปสวรรค์กัน เพราะยังมองไม่ออกว่า เมื่อไปถึงแล้วจะมีความสุขสบายได้อย่างไร ตอนนี้มนุษย์ทั้งหลายบนโลกเขาก็เอือมระอาสงครามกันมากพอแล้ว แล้วไปถึงเมืองสวรรค์ก็ยังมีการทำสงครามกันอีก... กระผมใคร่ขอให้ท่านพระอาจารย์ได้เมตตาช่วยคลี่คลายปัญหาที่ได้กราบเรียนถามมานี้ด้วย เพื่อจะทำให้ชาวโลกนี้ได้เห็นความจริงตามหลักธรรมทางพระพุทธศาสนา  ก็จะเป็นประโยชน์ต่อเขาเป็นอย่างมาก ซึ่งจะเป็นสิ่งที่น่าอนุโมทนาเป็นอย่างยิ่ง.เมื่อกราบเรียนถามจบ ท่านก็นั่งพิจารณาเหตุผลอยู่ครู่หนึ่งแล้วจึงตอบว่า

                การที่เรารู้ว่าอะไรเป็นสวรรค์ของพุทธหรือไม่ใช่ของพุทธนั้น เราต้องศึกษาให้เข้าใจเสียก่อนว่า พุทธของเรานั้นมีความหมายอย่างไร และของพราหมณ์มีความหมายอย่างไร ถ้าจะว่าตามหลักทางพระพุทธศาสนา  พระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าของเรา ตรัสไว้ว่า สวรรค์นั้นเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นด้วยอำนาจบุญ ไม่มีใครสร้างสรรค์ แต่เกิดขึ้นเองด้วยอำนาจผลแห่งความดีที่ทำไว้ ท่านจึงเรียกว่า โลกทิพย์ ตกน้ำไม่ไหล ตกไฟไม่ไหม้ และใครก็ลักขโมยไม่ได้ อุปมาเหมือนความรู้ของเราที่มีอยู่ในใจก็ไม่มีใครสามารถแย่งชิงเอาไปได้ฉันใดเรื่องบุญกุศลก็ฉันนั้น ถ้าหากแย่งเอาไปได้จริงๆ ก็คงไม่มีใครอยากทำบุญ เพราะถ้าเราเห็นใครทำบุญมากๆ ถ้าเผลอเมื่อไรก็มีหวังถูกขโมยเมื่อนั้น ความจริงแล้วไม่ได้เป็นเช่นนั้น สรุปความว่า .สวรรค์ของพุทธที่แท้จริง ไม่มีอิจฉาตาร้อนกัน เมื่อไม่มีการอิจฉา การแก่งแย่งชิงดีชิงเด่นก็ไม่มี การเบียดเบียนซึ่งกันและกันก็ไม่มี...

                อีกอย่างหนึ่ง ที่คุณว่าสวรรค์มีช้าง มีม้า มีรถ มีเกวียนเหล่านี้ เป็นต้น เป็นยานพาหนะ ส่วนมนุษย์ของเรามีถึงจรวดและเครื่องบิน เมื่อผมฟังดูก็รู้สึกว่าน่าฟัง ความจริงเรื่องสวรรค์ที่คุณเล่ามาทั้งหมดนั้น ผมเคยเห็นอยู่ ในคัมภีร์พราหมณ์ตั้งแต่สมัยผมเป็นเด็ก คุณหลวงเสนาซึ่งเป็นตาของผมท่านเคยเล่าให้ฟัง ผมจำได้ตั้งแต่สมัยโน้นที่ผมยังนับถือศาสนาฮินดูอย่างเคร่งครัด

                ต่อมาพอผมได้ฟังธรรมทางพระพุทธศาสนาแล้วเกิดศรัทธาปสาทะขึ้นจึงได้หันมานับถือพระพุทธศาสนา แต่พอมาค้นคว้าตำราของพุทธศาสนาเข้า ก็เจอเรื่องอสูรกับเทวดาเข้าอีกผมจึงแปลกใจ ไม่รู้เข้ามาปะปนอยู่ในทางพระพุทธศาสนาตั้งแต่เมื่อไร อีกประการหนึ่งเรื่องเทวดาหรือเทพเจ้าของพุทธ ผมเชื่อว่าไม่ต้องขี่อะไรเป็นพาหนะ เพราะเทพเจ้าทั้งหลายเหล่านั้นล้วนแต่ได้กายทิพย์ด้วยกันทั้งนั้น กายทิพย์ เป็นกายที่ละเอียด พอนึกว่าจะไปไหนก็ไปถึงเลย  ไม่ต้องขี่ยานพาหนะให้ลำบาก เปรียบเหมือนความคิดของเราเวลาจะไปไหนมาไหน ไม่เห็นว่าความคิดของเราขี่อะไรเลย และก็ไม่จำเป็นในเรื่องยานพาหนะที่จะให้ความคิดเราขี่ด้วยฉันนั้น ในเมื่อเราจะไปไหนก็ได้ ก็ไม่เห็นจะเกี่ยวอะไรกับ เรื่องยานพาหนะ สมมุติว่าใครสัปดนสร้างยานพาหนะให้ความคิดของตัวเองขี่ เพื่อไปเที่ยวในสถานที่ต่างๆ เข้า คนคนนั้นก็แย่เต็มที..

                ข้าพเจ้ากราบเรียนถามท่านพระอาจารย์ต่อไปว่า  ตอนที่ท่านอาจารย์ไปถึงโลกทิพย์นั้นแล้วมีความรู้สึกอย่างไรบ้าง?...  ท่านตอบว่า ก็เป็นเหมือนกับที่เล่ามาแล้วนั่นเอง พอไปถึงเข้าก็ปรากฏว่ามีอะไรหลายอย่างที่แปลกจากโลกมนุษย์ เป็นต้นว่า ปราสาทราชวังและสถานที่ล้วนแต่มีความสวยสดงดงาม ดูเพลิดเพลิน น่ารื่นรมย์ทั้งนั้น.ผมยังถามเขาว่าใครเป็นคนสร้าง เขาก็บอกว่าไม่มีใครสร้าง เพราะที่นี่ของเกิดขึ้นเองเราจึงเรียกว่า โลกทิพย์ พอได้ยินคำว่าโลกทิพย์ผมจึงเอะใจ เลยถามเขาว่า นี่ข้าพเจ้าตายแล้วใช่ไหม ?.. เขาตอบว่า ใช่ !เวลานี้ท่านตายแล้ว.. ถ้าตายอย่างนี้ก็ไม่เห็นหน้ากลัวอะไร ? ก็เหมือนกับเรายังเป็นมนุษย์อยู่นี่เอง จะไปไหนมาไหนก็ปรากฏว่า ร่างกายเรานี้ไปด้วยทั้งดุ้นทั้งก้อน เหมือนกับเมื่อยังมีชีวิตอยู่นี่เอง เขาจึงเล่าต่อไปอีกว่า กายคนเรานั้นถ้าว่าโดยส่วนใหญ่แล้วมีสามชั้นด้วยกัน..คือ 

                กายธาตุ หมายถึง กายที่หยาบๆ ที่พวกเรามองเห็นด้วยตาเนื้อ กายประเภทนี้สมควรแก่โลกมนุษย์.

                กายทิพย์ หมายถึง กายที่ละเอียดต้องเห็นด้วยตาทิพย์ กายประเภทนี้สมควรแก่โลกทิพย์.

                กายธรรม หรือ ธรรมกาย ได้แก่ กายของพระอรหันต์ ผู้บริสุทธิ์ปราศจากกิเลสที่สมควรแก่นิพพาน

                ผมได้ฟังดังนี้แล้ว รู้สึกซึ้งใจ คิดไปถึงเมื่อครั้ง ที่เราเคยเรียนธรรมะ ก็เพิ่งมาเข้าใจเรื่อง กายสามประเภท ในตอนนี้เอง

                ข้าพเจ้ากราบเรียนถามท่านพระอาจารย์ต่อไป แล้วจะเป็นไปได้ไหมครับที่บางตำนานเขียนไว้ว่า เทพเจ้ารบกันหรือทำสงครามกัน? หลวงปู่ตอบว่า  เป็นไปไม่ได้ พอไปถึงที่นั่นแล้วจิตใจเปลี่ยนหมด มีแต่ความซาบซึ้งและอ่อนโยน แถมยังมีอานิสงส์แห่งการทำความดีประจักษ์ชัดเจนจนไม่มีข้อสงสัย จะสามารถทำลงได้อย่างไร ผมเข้าใจว่าไม่มีทาง เพราะหิริและโอตตัปปะมีประจำอยู่ตลอดเวลา ฉะนั้นที่ท่านว่า หิริและโอตตัปปะ เป็นเทวธรรม คือ เป็นธรรมของเทวดาหรือของเทพเจ้านั้นเป็นเรื่องจริง และถ้าใครมีธรรมสองอย่างนี้อยู่ในใจจนตลอดชีวิตแล้ว เมื่อตายแล้วมีหวังได้เป็นเทพเจ้าเสวยทิพย์สมบัติอยู่บนสรวงสวรรค์แน่นอนโดยไม่ต้องสงสัย...

                ข้าพเจ้ากราบเรียนถามท่านต่อไปว่า ตามที่ท่านได้เที่ยวชมอยู่บนโลกทิพย์นั้น ได้สังเกตเห็นอะไรบ้างที่ต่างจากโลกมนุษย์ของเรา ท่านพระอาจารย์ตอบว่า มีมากจนไม่สามารถจะนำมาเล่าให้หมดทุกอย่างได้ แต่ผมจะเล่าคร่าวๆ ให้ฟังในสิ่งที่จำได้ และเห็นชัดมีดังนี้..

                ในเบื้องต้นที่เราเหยียบย่างเข้าไปจะเห็นต้นไม้เป็นระเบียบเรียบร้อยและสูงมากสม่ำเสมอกันจริงๆ แม้แต่หญ้าที่เราเหยียบไปก็มีความสม่ำเสมอกันหมด ไม่มีสูงๆ  ต่ำๆ ส่วนข้างบนต้นไม้จะมีกิ่งก้านเข้าประสานกันทำให้เกิดความร่มรื่นและสวยงาม..

                พอไปถึงแต่ละบ้าน เจ้าของบ้านเขาออกมาต้อนรับเราด้วยไมตรีจิตอันดีงามจริงๆ เชิญให้เข้าไปในบ้านเขาด้วยความพอใจ พูดถึงการต้อนรับ จะไม่มีที่ไหนในเมืองมนุษย์เราเสมอเหมือน แต่ก็น่าแปลกใจว่า  ทำไมเทพเจ้าที่มาต้อนรับเรา   จึงไม่ปรากฏว่ามีลูกเล็กเด็กแดงอุ้มกันกระจองอแงเหมือนโลกมนุษย์เราเลย มีแต่คนโตๆ เท่านั้น และเวลาทำการปฏิสันถารกับผมนั้น ก็ไม่ปรากฏว่ามีอะไรมาต้อนรับ เช่น ข้าวปลาอาหาร น้ำร้อนน้ำเย็น เป็นต้น ส่วนการมาของเทพเจ้า และการไปของผม ซึ่งเขาพาไปชมที่ต่างๆ ก็ดี ก็ไม่ปรากฏว่ามีอะไรเป็นยานพาหนะขี่ไปเลยแม้แต่อย่างเดียว พอตกลงใจว่าจะไปที่ไหน ก็ปรากฏว่าถึงที่นั่นทันที และเวลาเขาพาเที่ยวชมในสถานที่ต่างๆ อยู่นั้น เท่าที่ผมสังเกตดู แต่ละบ้านไม่ปรากฏว่ามีโรงครัวเลยแม้แต่หลังเดียว ตลอดทั้งห้องน้ำห้องส้วม ก็ไม่มี เทพเจ้าที่มาต้อนรับทั้งหมด ก็ไม่เห็นว่ามีท่าทีว่าจะปวดหนักปวดเบา แม้แต่จะเอาของมารับประทานก็ไม่มี ผมเองก็เหมือนกัน เพราะต่างก็มีความเอิบอิ่มและเพลิดเพลินอยู่อย่างนั้น ไม่เคยรู้สึกว่าหิวอะไร นี่ก็แสดงให้เห็นว่า โลกทิพย์เขาอยู่กันด้วยความอิ่ม คือ อิ่มบุญกุศล

                ผมสังเกตดูหลายอย่าง เช่น ภายในบ้านแต่ละหลังเท่าที่ผมเห็นมาไม่ปรากฏว่ามีผ้าผ่อนท่อนสไบหรือเครื่องประดับประดาอาภรณ์ต่างๆ ตากเกะกะรุงรัง ไม่มีเลย ในห้องจะเห็นเป็นห้องโถงโล่งโปร่ง มีลวดลายวิจิตรพิสดารสวยสดงดงามมาก ผมยังไม่เคยเห็นเครื่องประดับที่ไหนในเมืองมนุษย์เราจะเปรียบปานเท่า ในที่นี้หมายถึงเครื่องประดับปราสาท ไม่ใช่เครื่องประดับของเทพเจ้าอย่างที่เขียนเรื่องเทวดาว่า เทวดาใส่ชฎาหัวแหลมๆ อันนี้ก็ไม่เห็นมีเหมือนกัน ผมเสียดายที่ผมไม่ใช่นักวาดรูป ถ้าผมเป็นนักวาดก็จะวาดให้ดู ลักษณะของเทพเจ้าที่ผมเห็นมา แต่ก็น่าเสียใจอยู่อย่างหนึ่ง เท่าที่ผมสังเกตดูเทพเจ้ามีความยิ่งใหญ่ไม่เสมอกัน ผมมองๆ ดูเทพเจ้าบางองค์รู้สึกว่ามีความยิ่งใหญ่มากมีบริษัทบริวาร ตลอดถึงปราสาทที่อยู่อาศัย จะมีเครื่องประดับบารมีมากมายจนบอกไม่ถูกว่ามีอะไรต่ออะไรบ้าง  ตรงนี้แหละผมนึกน้อยใจตัวเอง เมื่อมองดูปราสาทของตัวเองแล้วสู้ของเขาไม่ได้ ยิ่งบางองค์แล้วคล้าย ๆ กับจะเป็นเทพเจ้าคนใช้ แต่ถึงแม้ว่าจะเป็นเทพเจ้าระดับคนใช้ก็ยังดีกว่าการเป็นพระราชาในเมืองมนุษย์เสียอีก แต่พระเจ้าจักรพรรดินั้นผมไม่เคยเห็น จึงไม่สามารถเอามาเทียบได้  ที่ผมว่าเทพเจ้าคนใช้ในโลกทิพย์ยังดีกว่าพระราชาในเมืองมนุษย์ หมายความว่าโลกทิพย์เขาไม่ได้ทำอะไร ต่างองค์ต่างก็อิ่มในบุญกุศลของตนอยู่ตลอดเวลา  เรื่องอิจฉาตาร้อน และกลั่นแกล้ง พยาบาทอาฆาต จองเวรกัน รบราฆ่าฟันกัน เพื่อแก่งแย่งชิงดีกัน จะไม่มีอยู่ในโลกทิพย์นั้นเลย..

                สรุปแล้วเรื่องที่จะทำให้กันและกันเดือดร้อนนั้นไม่มี เพราะต่างองค์ต่างก็มีหิริและโอตตัปปะประจำใจอยู่ตลอดเวลา นี่ผมเอาผมไปเทียบดู เพราะในเวลานั้นจิตผมนิ่มนวลและอ่อนโยนจริงๆ และซาบซึ้งใจอย่างบอกไม่ถูก ว่ามีความซาบซึ้งอย่างไร เรื่องอายชั่วกลัวบาปไม่ต้องพูดถึง เพราะเห็นผลชัดๆถึงขนาดนั้น จิตจึงยอมรับร้อยเปอร์เซ็นต์ ฉะนั้นผมจึงเข้าใจว่าเทพเจ้าที่อยู่ในโลกทิพย์คงเหมือนกันทุกองค์..

                ข้าพเจ้าจึงกราบเรียนถามท่านต่อไปอีกว่า เรื่องสวรรค์และนรกเท่าที่กระผมเคยได้เล่าเรียนศึกษามา กระผมเข้าใจว่าเรียงกันเป็นชั้นๆ เหมือนรังต่อ หรือเหมือนตึกในทำนองนั้น

                หลวงปู่สมชายได้เมตตาตอบว่า  แต่ก่อนผมก็เข้าใจในทำนองนั้นเหมือนกัน เท่าที่ผมเคยอ่านตามตำรา เหมือนว่า นรกนั้นอยู่ใต้ดินเพราะมีคำว่า ธรณีสูบพระเทวทัตลงไปอเวจีมหานรก.. ที่จริงอันนั้นก็ควรยกให้เป็นเรื่องของตำราไป เพราะว่าผู้แต่งตำราท่านจะตีความหมายแค่ไหนเราไม่อาจทราบได้ บางทีเราอาจจะตีความหมายของผู้แต่งผิดไป อย่างไรก็ตามที่ผมพูดมาทั้งหมดในวันนี้ ไม่ประสงค์จะให้ไปยึดเรื่องตำรา เพราะตำรามีทั้งผิดมีทั้งถูกเป็นเรื่องธรรมดา ข้อสำคัญที่สุดคนที่อ่านตำราเป็น เขาไม่ไปยึดเรื่องตำรา เขาต้องพิจารณาด้วยปัญญาว่าอะไรดีหรือไม่ดี อะไรผิดอะไรถูก อะไรควรละ อะไรควรบำเพ็ญ ควรเชื่อถือได้แค่ไหนเพียงไรนั้นเป็นเรื่องของเราจะต้องกลั่นกรองด้วยปัญญาเสียก่อน เรื่องที่เล่ามาทั้งหมดนั้นก็ขอให้ท่านผู้อ่านทุกท่านจงพิจารณาดูว่า มีเหตุผลควรเชื่อถือได้หรือไม่ จะเชื่อหรือไม่เชื่อประการใดนั้นก็พิจารณากันตามเหตุผลและปัญญาของแต่ละท่าน..

หลวงปู่หาญ ชุติณฺธโร ท่องเมืองนรก

                หลวงปู่สมชาย ฐิตวิริโย ได้สรุปจบเรื่องการไปสู่โลกทิพย์ของท่านลง ทุกท่านที่ได้ฟังในวันนั้นก็มีความปลื้มปีติเป็นอย่างยิ่ง...หลวงปู่ยังได้ปรารภเสริมขึ้นอีกว่า เรื่องการไปโลกทิพย์ของผมนี้ พวกเราต้องขอบคุณหลวงปู่หาญ ถ้าไม่มีหลวงปู่หาญรับรองผมคงไม่กล้าเล่าเรื่องเหล่านี้ให้ใครฟัง กลัวเขาจะหาว่าผมเพ้อเพราะพิษไข้มาลาเรียขึ้นสมอง ที่จริงแล้วมีรายละเอียดมากกว่าที่เล่ามานี้มากนัก... หลังจากผมได้ฟื้นมาแล้ว ไม่ว่าผมเล่าเรื่องที่ได้ไปประสบพบเห็นมาบนโลกทิพย์ดังกล่าวนั้นให้ใครฟัง เขาก็หัวเราะเยาะเอาว่าผมเป็นบ้าเพราะไข้ป่าขึ้นสมอง  ผมจึงหยุดบอกเรื่องดีๆ เหล่านั้นให้ใครฟัง.ภายหลังจากนั้นไม่นานก็ออกพรรษา หลวงปู่หาญ ชุติณฺธโร ที่ไปจำพรรษาอยู่กับท่านพระอาจารย์แตงอ่อน กลฺยาณธมฺโม ที่วัดบ้านอุ่มเหม้า ก็เดินทางกลับเข้ามาปฏิบัติหลวงปู่สีลาเช่นเดิม หลวงปู่หาญซึ่งคุ้นเคยกันมาก่อนหน้านี้นานแล้วได้มาเยี่ยมไข้ผม...ผมยังบอกให้หลวงปู่หาญช่วยผมจำ อย่าไปเล่าให้ใครฟังเดี๋ยวจะถูกหาว่าบ้าได้ หลวงปู่หาญบอกว่า นั่นสิ !..ผมเองก็เคยตายไปแล้วเหมือนกัน !..แต่ผมไม่ได้ไปสวรรค์อย่างอาจารย์ ผมตายไปนรก... หลวงปู่หาญเล่าต่อ...สมัยนั้นผมฟื้นขึ้นมาเล่าให้ใครฟัง  เขาหาว่าผมบ้า ที่จริงนั้นเราได้ไปพบไปเห็นเมืองนรกมาจริงๆ หลวงปู่สมชาย จึงถามหลวงปู่หาญว่า...แล้วเมืองนรกที่หลวงปู่หาญได้ไปเห็นมานั้นมีลักษณะแตกต่างกับเมืองสวรรค์ที่ผมเล่าให้ฟังอย่างไรบ้าง ?..หลวงปู่หาญเล่าต่อว่า.สมัยที่ผมยังไม่ได้บวช  ปีนั้นคนในหมู่บ้านผมเป็นไข้ทรพิษหรือโรคฝีดาษ ซึ่งเป็นโรคระบาดที่ร้ายแรงในสมัยนั้น ตายกันหลายคน ใครถ้าได้เป็นโรคฝีดาษแล้วจะต้องตายทุกคนเพราะยังไม่มียารักษา เป็นโรคติดต่อ ถ้าครอบครัวใดใครเป็นแล้วจะติดต่อลูกเมียหมดทั้งครอบครัว ใครเป็นโรคนี้ พวกญาติๆ เขาก็จะให้ไปอยู่ที่เถียงนา(กระท่อมสำหรับพักร้อนของชาวอีสาน) ผมเองก็เช่นกัน ญาติๆ ได้พาผมไปไว้ที่เถียงนาเอาใบตองกล้วยมาปูรองนอน แล้วนำข้าวน้ำไปวางไว้ให้ห่าง ๆ พอเขากลับเข้าบ้านผมก็เดินออกมาเอาไปกิน  วันหนึ่งไข้ฝีดาษกำเริบ ผมปวดแสบปวดร้อนไปทั้งตัว จนทนไม่ไหว ผมหิวน้ำมาก แล้วก็สะอึก อึ๊ก.! ปรากฏว่า..เบา..สบาย..หายไข้โดยทันที..พอผมลุกขึ้นนั่งก็พบกับเทวทูต เขาเข้ามาจับแขนผมทั้งสองข้างพาผมไปยังสถานที่แห่งหนึ่ง ที่มันไม่ใช่บ้านเราเมืองเรา ถามเขาว่าจะพาไปไหน เขาบอกว่าพาไปรับโทษในเมืองนรก..จิตสำนึกจึงรู้ได้ว่า อ้อ ! เราตายแล้ว... พอไปถึง ยมบาลผู้เป็นหัวหน้า หน้าตาดุดันน่ากลัวนั่งเปิดบัญชีดูรายชื่อ  ตัวหนังสือแต่ละตัวโตเท่าหม้อแกงจริงๆ เขาถามผมว่าชื่อหาญใช่ไหม ? ใช่..ผมตอบ  นามสกุล...ใช่ไหม?  ผมตอบทันทีว่า..ไม่ใช่ ? ยมบาลพลิกสมุดข่อยเล่มใหญ่กลับไปกลับมา แล้วหันมามองทางเทวทูต  พูดขึ้นว่า..ชื่อหาญเหมือนกันอยู่หมู่บ้านเดียวกัน แต่คนละนามสกุล... นายหาญ นามสกุลผุดผ่อง คนนี้ยังไม่หมดอายุวันนี้ให้พาไปส่งแล้วเอาคนชื่อหาญอีกคนมา.. แต่ก่อนจะกลับก็ให้พาไปดูพวกที่ถูกลงโทษเพราะทำบาปทำกรรมเอาไว้ที่เมืองมนุษย์เสียก่อน จะได้ไปบอกไปสอนให้คนเลิกทำความชั่วได้บ้าง .ว่าแล้วเทวทูตก็พาผมเดินไป ผมเห็นผู้คนจำนวนมากกำลังถูกลงโทษและถูกทรมานต่างๆ นานา เหมือนอย่างที่เคยอ่านจากหนังสือเกี่ยวกับนรก เช่นหนังสือพระมาลัยโปรดเมืองนรก  นั่นเอง คนที่ผมรู้จักก็หลายคน รวมทั้งพระ  พระก็ไปตกนรกไม่ใช่น้อยเลย ดูจากราวที่ใช้พาดจีวร ขนาดโตเท่ากับต้นตาลยังอ่อนกลาง เวลาพระตกนรกเขาจะเปลื้องผ้ากาสาวพัตรเก็บไว้ เขาไม่ทำโทษทั้ง ๆที่ ห่มผ้ากาสาวพัตร.. เห็นเขาดึงจีวรออกจากตัวเอามาพาดไว้ที่ราวเหล็กขนาดโตเท่าต้นตาลความยาวนับเป็นเส้น ( ๒๐วา) นั้น  มีจำนวนมากและคงจะหนักมากด้วยสังเกตจากท่อนราวซึ่งเป็นเหล็กและโตขนาดนั้นยังอ่อน แอ่นกลาง เหมือนเราเอาผ้าตาก บนราวเชือกอย่างไรอย่างนั้น น่ากลัวมากสำหรับพระที่ทำบาปจะถูกลงโทษหนักกว่าชาวบ้านเป็นร้อยเท่าทีเดียว...เทวทูตพาผมเที่ยวเมืองนรกจนทั่วถึงแล้วเขาพากลับมาส่งยังเมืองมนุษย์อีกครั้งหนึ่ง ผมกับเข้าร่างฟื้นขึ้นมาแล้วไม่นานโรคฝีดาษที่ผมเป็นขนาดหนักในเวลานั้นก็กลับค่อย ๆ หายอย่างไม่น่าเชื่อ หลังจากผมหายและกลับเข้าบ้านได้แล้วก็นำเรื่องที่ได้ตายไปแล้วได้พบเห็นสิ่งต่าง ๆ ในเมืองนรกไปเล่าให้ญาติพี่น้องฟัง พวกเขากับหาว่าผมเป็นบ้าไปเสียแล้ว บางคนก็ว่าผมถูกผีปู่ตาเข้าสิง พูดจาเพ้อเจ้อไร้สาระ หลังจากนั้นผมก็ไม่เคยเล่าให้ฟังอีกเลยเพราะเล่าไปแล้วแม้แต่ญาติพี่น้องก็ยังไม่เชื่อ ยังหาว่าเราเป็นผีบ้า ผมขอเล่าถวายท่านอาจารย์แต่พอสมควรเท่านี้นะครับ.. หลวงปู่หาญสรุป
                (ขอนำประวัติการตายแล้วฟื้น ของ หลวงปู่หาญ ชุติณฺธโร มาเล่าประกอบแต่โดยย่อ หากท่านใดสนใจโปรดหาอ่านจากหนังสือประวัติหลวงปู่หาญ ชุติณฺธโร ได้โดยตรง)

                ภายหลังจากที่ท่านได้หายจากการป่วยได้ผ่านพ้นเหตุการณ์ในครั้งนั้นแล้ว ท่านก็ยังอยู่ประพฤติปฏิบัติกับหลวงปู่สีลา อิสฺสโร ต่อมาอีก เพราะว่าหลวงปู่สีลา อิสฺสโร นั้นมีข้อวัตรปฏิบัติเป็นที่น่าเลื่อมใสน่าเคารพ น่ากราบไหว้สักการบูชาเป็นอย่างยิ่ง เป็นครูบาอาจารย์ที่หลวงปู่สมชาย ให้ความเคารพรองลงมาจากหลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต  เมื่อหลวงปู่สีลา อิสฺสโร ไม่สะดวกเรื่องอะไร หรือมีความประสงสิ่งใดแล้ว ถ้าสิ่งนั้นไม่เหลือวิสัย หลวงปู่สมชาย ฐิตวิริโย ท่านจะจัดทำถวาย สนองเจตนาหลวงปู่สีลา อิสฺสโร ทุกครั้ง 

                มีอยู่คราวหนึ่งเป็นฤดูหนาว ในปีนั้นจังหวัดสกลนครมีความหนาวเย็นมากกว่าทุกปี หลวงปู่สีลา อิสฺสโร ได้ปรารภขึ้นมาว่า ปีนี้บ้านเราอากาศหนาวมาก ถ้าไม่มีโรงไฟบรรเทาความหนาวผมคงจะแย่... หลวงปู่สมชาย ฐิตวิริโย ทราบได้ทันทีว่าหลวงปู่สีลา อิสฺสโร ต้องการโรงไฟ เมื่อทราบความประสงค์ของครูบาอาจารย์แล้วก็ได้ชักชวนหลวงปู่หาญ ชุติณฺธโร และพระภิกษุสามเณรอีกหลายรูปช่วยกันก่อสร้างโรงไฟเพื่อถวายครูบาอาจารย์ทันที มีอยู่วันหนึ่งหลวงปู่ได้ขึ้นไปตีตะปูเพื่อจะมุงหลังคาโรงไฟนั้น จู่ๆ ไม้อันที่ท่านเหยียบอยู่นั้นได้หลุดออกจากกันโดยไม่ทราบสาเหตุ ทำให้ท่านพลัดตกลงมาจากหลังคาโรงไฟทันที  ร่างหล่นลงมาทำให้ส่วนสำคัญของร่างกายกระแทกกับกองไม้ ซึ่งกองระเกะระกะอยู่ข้างล่างนั้นเต็มที่ ถึงขนาดสลบหมดสติไป  ขาข้างหนึ่งกระดูกหลุดหมุนได้รอบ  พระเณรที่อยู่ในเหตุการณ์ทั้งหมดเมื่อหายจากการตกตะลึงแล้ว ก็ได้ช่วยกันยกร่างของหลวงปู่ออกมาทำการปฐมพยาบาลจนรู้สึกตัว หลวงปู่ได้เล่าเอาไว้ว่า  ผมเสียดายที่ทำโรงไฟถวายหลวงปู่ไม่ทันเสร็จก็ต้องมาเจ็บตัวเสียก่อน ทั้ง ๆ ที่ตั้งใจไว้ว่าจะทำถวายท่านให้ดีที่สุด แต่หลวงหาญ และพระรูปอื่นๆก็ช่วยกันสร้างต่อจนเสร็จเพื่อถวายหลวงปู่สีลาจนเสร็จเรียบร้อย

                หลวงปู่หาญ ชุติณฺธโรได้ไปหาเก็บใบยาสมุนไพรต่างๆ ซึ่งหาได้ง่ายตามป่านั้น นำมาตำแล้วห่อใส่ผ้าขาวทำเป็นยาลูกปะคบ และทำเป็นยาที่ใช้โดยวิธีย่าง ใช้รักษาสลับกันไป ยาสมุนไพรแบบย่าง คือ เอาใบยาต่างๆ ที่หามาได้ปูลงบนเตียงเอาเสื่อปูทับแล้วช่วยกันหามหลวงปู่สมชาย ฐิตวิริโย นอนบนเสื่อ ก่อไฟไว้ใต้เตียง โดยให้ความร้อนเผาใบยา ใบยานั้นก็จะระเหิดเป็นไอลอยขึ้นไปโดนตัวทั่วร่างกายของหลวงปู่สมชายเป็นการรักษาพยาบาลแบบโบราณง่ายๆ แต่ก็ได้ผลดีมาก ได้รับการรักษาด้วยยาลูกปะคบและยาแบบย่างสลับกันอยู่หลายวัน อาการก็เริ่มดีขึ้นๆ จนใกล้จะเป็นปกติ

เจ็บซ้ำสอง

                วันหนึ่งหลวงปู่หาญ ได้หามหลวงปู่สมชายขึ้นย่างบนเตียงเหมือนอย่างทุกวันที่เคยทำ  ก่อไฟในเตาอั้งโล่ให้ความร้อนของถ่านในเตาไปเผาลนใบยาสมุนไพรที่หลวงปู่สมชายนอนทับอยู่นั้นให้ระเหิดเป็นไอไปที่ร่างกายเพื่อให้ส่วนที่ฟกช้ำทุเลาขึ้น เสร็จแล้วหลวงปู่หาญ ก็ออกไปช่วยพระภิกษุสามเณรก่อสร้างโรงไฟถวายหลวงปู่สีลาตามปกติต่อ แต่เนื่องจากใบยาสมุนไพรที่หลวงปู่สมชายนอนทับอยู่นั้นได้ถูกย่างมาหลายวันแล้วจึงแห้งกรอบ  พอถูกความร้อนจากเตาไฟอั้งโล่ในวันนั้นเข้าก็เลยกลายเป็นเชื้อไฟอย่างดี นานเข้าๆ ใบยาสมุนไพร จึงลุกไหม้ แล้วลุกไหม้เสื่อ ไหม้เตียง ที่หลวงปู่สมชายนอนย่างอยู่นั้นจนกระทั่งความร้อนถึงตัว จะลุกขึ้นหนีก็ลุกไม่ได้เพระขาที่หลุดยังไม่เข้าที่  ร้องเรียกพระเณรก็ไม่มีใครได้ยินเนื่องจากกำลังทำงานกัน ไฟก็ลุกไหม้ร้อนแรงขึ้นๆ จนเริ่มจะระบมไปทั่วแผ่นหลัง จึงตัดสินใจพลิกตัวให้ตกลงมาจากเตียง ความสูงของเตียงจากพื้นดินก็สูงพอควร คนที่กำลังเจ็บอยู่แล้วก็ต้องมาเจ็บซ้ำเป็นรอบที่สองอีกอย่างไม่น่าเกิดขึ้น จนกระทั่งพระเณรที่ทำงานอยู่ได้เวลาพักฉันน้ำปานะ หลวงปู่หาญจึงได้เดินมาดูเพื่อจะได้ถามไถ่หรือลดไฟ เพิ่มไฟ ซึ่งเป็นกิจประจำวัน จึงได้พบเห็นว่าไฟไหม้เตียงเรียบร้อยไปแล้ว ภายหลังจากรักษาพยาบาลต่อมาอีกไม่นานนักอาการของหลวงปู่ก็ดีขึ้นเป็นลำดับ จน หายเป็นปกติ และก็ยังบำเพ็ญภาวนาอยู่กับหลวงปู่สีลา อิสฺสโร ต่อมาอีกระยะหนึ่ง ท่านปฏิบัติอาจริยวัตรต่อหลวงปู่สีลา อิสฺสโร มิได้ขาดตกบกพร่องเลย จนเป็นที่รักใคร่พอใจ ของหลวงปู่สีลา อิสฺสโร เป็นอย่างยิ่ง

                เมื่อเห็นว่าได้ศึกษากับหลวงปู่สีลา นานพอสมควรแล้วประกอบกับความไม่สะดวกบางประการด้วยจึงได้ตัดสินใจเข้าไปกราบลาหลวงปู่สีลา อิสฺสโร  เพื่อออกหาสถานที่ปฏิบัติธรรมแห่งใหม่ต่อไป ซึ่งครั้งนั้นหลวงปู่สีลา อิสฺสโร ได้แนะนำให้ไปพักบำเพ็ญที่วัดบ้านกุดเรือน้อย อ.วานรนิวาส จ.สกลนคร หลวงปู่สมชาย ก็ได้ปฏิบัติตามที่ครูบาอาจารย์แนะนำ ได้พักปฏิบัติธรรมอยู่ที่บ้านกุดเรือน้อย พอสมควรแก่เวลาแล้ว จึงได้กราบลาหลวงปู่สีลา อิสฺสโร ออกแสวงหาสถานที่วิเวกเพื่อความเจริญทางด้านจิตใจที่สูงขึ้นต่อไป โดยมุ่งหน้าเดินทางไปยังสถานที่บำเพ็ญ ที่ครูบาอาจารย์ทั้งหลายต่างก็ได้คุณธรรม ณ สถานที่แห่งนี้กันมาเกือบทุกรูป คือ  ภูวัว
                หลวงปู่สมชายได้พาหมู่คณะเดินทางรอนแรมไปตามโขดเขินเนินเขาเรื่อยไป สถานที่แห่งไหนสงบร่มเย็นภาวนาดีก็พักหลายคืน บางแห่งพักแรมได้เพียงคืนเดียวก็ออกเดินทางต่อในเช้าวันรุ่งขึ้น หลายวันต่อมาก็บรรลุถึงจุดหมายปลายทาง คือ ถ้ำพระภูวัว ซึ่งเป็นสถานที่ ที่ทุกรูปต้องการมาหาความสงบทางด้านจิตใจ เมื่อมาถึงภูวัว ก็เหมือนอยู่อีกโลกหนึ่ง ที่เต็มไปด้วยกลิ่นไอของผู้ทรงศีลทรงธรรม ไม่ว่าจะมองไปทิศไหนก็ก่อให้เกิดความรู้สึกอยากภาวนา หลวงปู่และพระเณรที่ติดตาม เมื่อปลงบริขารลงจากบ่าแล้วก็แยกย้ายกันหาสถานที่แขวนกลด หาสถานที่เดินจงกรมที่เหมาะกับอัธยาศัย อยู่ภาวนาบนภูวัวด้วยความเอิบอิ่มกันทุกรูป โดยไม่มีใครเลยที่ปริปากว่าอยากลงจากภูวัว แต่ธรรมชาติก็บังคับให้ลง เนื่องจากฤดูฝน กาลเวลาเข้าพรรษาใกล้เข้ามาอีกแล้ว หลวงปู่จึงพาพระภิกษุสามเณรเดินลงมาเพื่อจะไปขออาศัยสำนักครูบาอาจารย์ผู้ใหญ่จำพรรษาอย่างที่เคยปฏิบัติมาเป็นประจำทุกปี เดินทางถึงบ้านโสกก่าม ก็มีชาวบ้านมาขอร้องนิมนต์ให้หลวงปู่อยู่โปรด เพื่อจะได้ทำใส่บาตรเป็นขวัญกำลังใจ เพราะเพิ่งจะพากันเข้ามาตั้งหมู่บ้านใหม่ ๆหลวงปู่จึงรับนิมนต์ด้วยเมตตาที่จะสงเคราะห์ ชาวบ้านจึงพาหลวงปู่ไปที่ป่าใกล้ๆ หมู่บ้าน ซึ่งเป็นป่าดงดิบมีแต่ต้นไม้ขนาดใหญ่ เงียบสงบ สัตว์ป่า เสือ หมี ช้าง ยังชุกชุม เพราะเป็นป่าพื้นที่ติดต่อกับภูวัว สัตว์ป่าจึงยังสมบูรณ์มาก ยิ่งตอนดึก ๆ เสียงสัตว์ป่าจะร้องเรียกหากันกึกก้องพนาไพร ได้อยู่ฉลองศรัทธาชาวบ้านโสกก่ามมาได้ระยะหนึ่งก็ใกล้วันเข้าพรรษาเข้าทุกขณะ หลวงปู่จึงได้ปรึกษาหมู่คณะว่าจะเดินทางไปจำพรรษาที่สำนักครูบาอาจารย์ หรือจะจำพรรษาที่แห่งนี้ ต่อไปซึ่งทุกรูปก็ให้อยู่ในดุลยพินิจของหลวงปู่ ดูแล้วจึงเห็นสถานที่แห่งนี้ก็ภาวนาดี และเป็นการสงเคราะห์ชาวบ้านไปด้วยเป็นประโยชน์อีกทางหนึ่ง  ครั้นจะเดินทางไปสำนักครูบาอาจารย์ก็ยังอีกไกล สถานที่อาจจะเต็มแล้วก็ได้ หลวงปู่จึงได้ตกลงว่าพรรษานี้คงจะอธิษฐานจำพรรษายังเสนาสนะป่าบ้านโสกก่ามแห่งนี้

พ.ศ. ๒๔๙๕
จำพรรษาที่เสนาสนะป่าบ้านโสกก่าม
ตำบลโสกก่าม อำเภอเซกา จังหวัดหนองคาย

                ชาวบ้านเมื่อทราบข่าวว่าหลวงปู่ตกลงปลงใจจะจำพรรษา ณ เสนาสนะป่าบ้านโสกก่ามแห่งนี้ ทุกคนต่างก็ดีอกดีใจ ช่วยกันจัดเตรียมเสนาสนะกุฏิชั่วคราวเพื่อกันฝนในฤดูพรรษา เท่าจำนวนพระภิกษุสามเณร และช่วยจัดทำทางเดินจงกรมถวายหลวงปู่และพระเณรทุกรูป เสร็จเรียบร้อยก่อนวันอธิษฐานพรรษาเพียงเล็กน้อย ตลอดฤดูพรรษาหลวงปู่ก็ได้นำพาประพฤติปฏิบัติอย่างเต็มที่ มีการตั้งสัตยาธิษฐานถือธุดงควัตรกันอย่างเคร่งครัด สำหรับหลวงปู่นั้นท่านจะอธิษฐานถือเนสัชชิกังคะธุดงค์ คือ ทำความเพียรอยู่ในอิริยาบถสาม เว้นจากการเอนกายลงนอน ในทุกวันธรรมสวนะ ๘ ค่ำ ๑๔ และ ๑๕ ค่ำ และผ่อนอาหาร คือ ๗ วัน ฉันจังหันครั้งหนึ่งบ้าง ๑๕ วัน ฉันจังหันครั้งหนึ่งบ้าง หลวงปู่จะเร่งความเพียรตลอดทั้งพรรษา  กลางวันท่านก็นำหนังสือบุพพสิกขาวรรณาซึ่งเกี่ยวกับพระวินัยมาอ่านและอธิบายให้พระภิกษุสามเณรได้เข้าใจ นำระเบียบและปฏิปทาที่ท่านได้เคยรับการอบรมถ่ายทอดมาจากหลวงปู่มั่น และครูบาอาจารย์รูปอื่นๆ นั้น มาอบรมสั่งสอนถ่ายทอดอีกต่อหนึ่งให้พระภิกษุสามเณรได้รับฟังกันตลอดพรรษา พระภิกษุสามเณรทุกรูปต่างก็เร่งทำความเพียรกันไม่ได้ลดละประมาทไม่เป็นอันหลับอันนอนกันทิ้งสิ้น

                ส่วนบรรดาศรัทธาของญาติโยมชาวบ้านนั้น ก็สังเกตได้ว่าทุกคนต่างพึงพอใจต่อการที่หลวงปู่ได้จำพรรษาโปรดพวกเขาในครั้งนี้เป็นอย่างยิ่ง  ต่างคนต่างมาขวนขวายในการทำความดีบางคนก็สมาทานศีล ๕ ศีล ๘ บ้างก็ช่วยกิจการงานภายในวัด ทำทางเดินจงกรมบ้าง ช่วยงานอื่นๆ บ้าง เป็นประจำทุกวันน่าอนุโมทนาเป็นอย่างยิ่ง เมื่อออกพรรษาปวารณาแล้ว ก็อำลาศรัทธาญาติโยมออกเดินทางเพื่อจาริกแสวงหาสถานที่บำเพ็ญแห่งใหม่ต่อไป โดยมีเป้าหมายอยู่ที่ ภูลังกา แดนดินถิ่นสถานของท่านพระอาจารย์วัง เทพเจ้าแห่งลุ่มน้ำโขง ตามคำเรียกขานของชาวบ้านในเขตจังหวัดนครพนม-หนองคาย 

เปรตกินของสงฆ์ไม่อุปโลกน์

                ภายหลังจากออกพรรษา ในปีนี้แล้ว หลวงปู่พร้อมด้วยสามเณร ๔-๕ รูป ก็มุ่งหน้ายังภูลังกา อำเภอบ้านแพง จังหวัดนครพนมเพื่อต้องการที่จะไปศึกษาและพิสูจน์คำล่ำลือที่พูดกันนักหนาว่าท่านพระอาจารย์วัง  ฐิติสาโร นั้นท่านมีอภิญญาสมาบัติพิเศษ และเพื่อแสวงหาความสงบวิเวกไปด้วย.มองเห็นยอดภูลังกาอยู่ลิบๆ คงอีกไกลมาก แต่เวลาก็บ่ายคล้อยใกล้ค่ำเข้ามาทุกที มองเห็นวัดร้างท้ายหมู่บ้านซึ่งมีหญ้าปกคลุมแทบมองไม่เห็นทางเข้า   ผ่านประตูวัดก็ถึงศาลาหลังหนึ่งที่ทรุดโทรม มองดูโย้..เย้..จะพังมิพังแหล่ ที่มีอยู่เพียงหลังเดียวของวัด รอบๆ ศาลา เห็นมีต้นหมาก ต้นมะพร้าว สูงลิบลิ่วเลยหลังคาศาลาไปไกล แสดงว่าวัดนี้สร้างมานานแล้วนั่นเอง หลวงปู่บอกว่ามองดูบนศาลาที่มีไม้กระดานปูพื้นยังไม่เต็มศาลาดีนั้นดูระเกะระกะ สกปรก รกรุงรัง มองเพดานเห็นมีแต่ยากไย่ใยแมลงมุมสะสมมานาน ขี้ค้างคาวก็หนาเตอะ  หลวงปู่ให้เณรน้อยสาม-สี่รูปรีบไปสรงน้ำให้เสร็จก่อนมืดเดี๋ยวจะมองไม่เห็นอะไร สามเณรได้มาปูที่นอนจำวัดถวายหลวงปู่ไว้ด้านมุมศาลาใกล้พระประธานที่มีอยู่องค์เดียวของวัด ส่วนสามเณรก็ปูที่นอนเรียงกันเป็นแถวอย่างเป็นระเบียบสวยงามอีกมุมศาลาด้านหนึ่ง...สามเณรสรงน้ำยังไม่ทันเสร็จ ก็มีเสียงระฆังที่แขวนอยู่ใกล้บันไดทางขึ้น ดัง..เหง่ง..หง่างๆ  สุนัขในหมู่บ้านเห่าหอนรับกันเป็นทอด ๆ สามเณรรีบเดินกลับมายังศาลาอย่างรวดเร็ว.หลวงปู่ถามว่า เณร! เคาะระฆังทำไม เดี๋ยวชาวบ้านก็มาเต็มวัดหรอก.. สามเณรต่างองค์ต่างมองหน้ากันแล้วกราบเรียนหลวงปู่ว่า.. กระผมเข้าใจว่าหลวงปู่เคาะเรียก พวกกระผมจึงรีบกลับมาครับผม.. หลวงปู่จุดเทียนไขที่มีติดย่ามมานั้น แล้วสวดมนต์นั่งสมาธิ อบรมสั่งสอนสามเณรเป็นประจำวัน..แล้วจึงได้แยกย้ายกันพักผ่อนด้วยความเหน็ดเหนื่อยจากการเดินทางมาตลอดทั้งวัน..ยิ่งมืดก็ยิ่งเงียบและวังเวง...เสียงนกแสกและนกฮูกร้องรับกันอยู่บนหลังคาศาลา...หนูที่ซุกตัวอยู่ตามซอกตามมุมวิ่งกันให้พล่านไปทั้งศาลา ...ดึกมากแล้ว  นี่..สามเณรองค์ไหนมาเดินเล่นทำไม? พื้นกระดานของศาลาให้ดัง ..กุบ..กั้บ..ๆ..สลับกับมีเสียงลากเสื่อดังพรืด !..ๆ.. อยู่บนศาลาด้านที่สามเณรนอนเรียงกัน..หลวงปู่หันไปมองโดยอาศัยแสงไฟจากเทียนไขที่ริบหรี่ รำไร ใกล้จะมอดดับแต่ยังพอมองเห็นอะไรเป็นอะไรได้บ้างนั้น..หลวงตาแก่ๆ รูปหนึ่งกำลังจับขาสามเณรที่นอนเรียงกันสูงบ้างต่ำบ้างดึงลงมาเพื่อให้เท่า ๆกัน  เสร็จแล้วก็เดินไปด้านบนหัวนอน หลวงตาก็จับหัวสามเณรดึงขึ้นไปอีก..สามเณรองค์เล็กซึ่งต่ำกว่าเพื่อนก็จะถูกจับลากจับดึงมากกว่าองค์อื่น หลวงตาวนเวียนดึงหัวดึงเท้าสามเณรอยู่อย่างนั้น..เวลาหลวงตาเดินผ่านมาทางแสงเทียนสังเกตว่าตัวท่านสูงศีรษะเกือบชนขื่อของศาลา แถมยังมีกลิ่นสาบฉุน ๆ ตามมาอีกด้วย..หลวงปู่กำหนดจิตดูจึงรู้ได้ว่า หลวงตาที่ออกมาเดินจัดระเบียบสามเณรอยู่นี้ คือ  เปรตขรัววัดองค์ก่อน ได้ทำบาปไว้มากเหลือเกินจึงติดหนี้สงฆ์ เพราะกินของสงฆ์ไม่ได้อุปโลกน์นั่นเอง..

                หลวงปู่เล่าว่า..พอเสียงไก่ที่หมู่บ้านขันบอกยามสองยามสามแล้วนั่นเอง เปรตหลวงตาจึงหายเงียบเข้าไปที่ห้องข้าง ๆ สามเณรนอนอยู่นั่นเอง ...ฟ้าสางของวันใหม่แล้วจึงพากันออกบิณฑบาต มีชาวบ้านออกมาใส่บาตรพร้อมกับถามว่าเมื่อคืนพักที่ไหน..พักที่วัดท้ายบ้าน..หลวงปู่ตอบ.!..วัดนี้สร้างมานานแล้วตั้งแต่สมัยปู่โน่นแหละครับ  แต่ไม่มีพระสงฆ์องค์เจ้าที่ไหนอยู่ได้ข้ามคืน เป็นเพราะขรัววัดองค์เก่าที่ท่านตายไปแล้วท่านยังหวงยังห่วงสิ่งของของท่าน ใครไปหยิบไปจับอะไรในวัดไม่ได้เลย ขนาดกลางวันแสกๆ ยังออกมาตีฆ้อง ตีระฆัง ให้สนั่นหวั่นไหว  ไม่มีใครกล้าเข้าใกล้วัดได้เลย พวกชาวบ้านก็ไม่รู้ว่าจะช่วยท่านได้อย่างไร ทำบุญให้ครั้งแล้วครั้งเล่า  ก็ไม่ยอมไปผุดไปเกิดเสียที..หลวงปู่เดินกลับจากบิณฑบาต มีชาวบ้านตามมาส่งจังหันตามธรรมเนียมของคนอีสาน  หลวงปู่ได้หารือว่าควรช่วยกันทำบุญสงเคราะห์สมภารท่านอีกสักครั้ง เพราะท่านตกระกำลำบาก เป็นเปรตเวทนาเฝ้าวัดอยู่อย่างนี้ ท่านอุตส่าห์สร้างวัดสร้างวามาแล้ว มาเป็นอย่างนี้ หลวงปู่จึงให้ชาวบ้านออกไปหานิมนต์ครูบาอาจารย์สายป่ามาอย่างน้อย ๕รูป และมอบให้ชาวบ้านอีกกลุ่มหนึ่งช่วยไปจัดหาอาหารและสิ่งของเพื่อถวายเป็นไทยทานอุทิศส่วนกุศลให้เปรตสมภารในวันพรุ่งนี้ หลวงปู่อธิบายต่อไปอีกว่า ทานที่ทำแล้วจะได้บุญมากต้องพร้อมหน้าแห่งวัตถุสาม  ได้แก่ ๑. ศรัทธา  ๒.ไทยธรรม ๓.ทักขิไณยบุคคล  ทั้งสามประการนี้ แต่ธรรมสองประการหาได้ง่าย คือ ไทยธรรมและทักขิไณยบุคคล..  แต่ศรัทธานั้นหาได้ยาก เพราะปุถุชนมีศรัทธาไม่มั่นคง..

                คืนต่อมาภายหลังจากทำวัตรสวดมนต์นั่งสมาธิแล้ว สามเณรหลับสนิทตามประสาเด็ก เปรตสมภารองค์เดิมก็จำแลงกายออกมาจัดระเบียบเหมือนอย่างคืนก่อนอีก สามเณรที่ตัวเล็กที่สุดจะถูกดึงขึ้นดึงลงอีกทั้งคืนเช่นเคย...หลวงปู่ได้นั่งมองดูด้วยความสังเวชจึงส่งกระแสจิตถามไปว่า  ท่านเป็นใคร ทำไมจึงมาเป็นเปรตอยู่อย่างนี้  ไม่อยากไปเกิดหรือ...  สมภารเปรตตอบว่า เราเป็นขรัววัดนี้เอง สมัยที่ยังไม่ตายได้ทำบาปเพราะกินของสงฆ์...  ตายแล้วจึงต้องมาเป็นเปรตเฝ้าใช้หนี้สงฆ์อยู่อย่างนี้ ทุกข์ทรมานเหลือเกิน อยากจะไปเกิด แต่ก็ไม่มีใครทำบุญให้  ญาติพี่น้องก็ไม่เคยทำบุญให้เลย ชาวบ้านแถวนี้ก็ไม่มาวัดอีก เพราะเขากลัว เราพยายามตีกลองตีระฆังให้เขามากันเพื่อต้องการจะบอกว่าเราทุกข์ทรมานเหลือเกินช่วยทำบุญให้ด้วยเถิด..เขาก็พากันกลัว..  เราหวีดร้องเพื่อให้เขาได้ยินเสียงของเรา  เขาก็กลัวอีกเช่นกัน...จึงไม่รู้จะทำอย่างไร ทรมานอยู่อย่างนี้เป็นเวลานานมากแล้ว?..หลวงปู่ถามต่ออีกว่า  ท่านทำบาปอะไรไว้มากมายนักหรือ จึงไม่สิ้นบาปสักที...  เราเป็นสมภารก็จริง แต่ครูบาอาจารย์ไม่เคยบอกเราเลยว่า สิ่งของที่ชาวบ้านนำมาถวายวัดที่เป็นครุภัณฑ์ ประเภท จอบ เสียม มีด พร้า นั้นจัดเป็นของสงฆ์แจกแบ่งกันไม่ได้ แต่เราได้นำของสงฆ์เหล่านั้นไปให้ลูกหลาน ญาติพี่น้อง และของบางอย่างเราก็ขาย จึงเป็นบาปหนักเพราะเอาของสงฆ์ไปขาย.. และอีกอย่างหนึ่ง เมื่อชาวบ้าน เขาถวายภัตตาหารถวายสังฆทานด้วยคำว่า ภิกขุ สังฆัสสะ.. เราไม่เคยได้เผดียงสงฆ์อุปโลกน์ก่อนแจกเลย เราแจกเองกินเองโดยไม่ได้เผดียงสงฆ์  จึงชื่อว่าได้กินของสงฆ์มาโดยที่ไม่ได้อุปโลกน์ให้ถูกต้องตามพระวินัยเสียก่อน เราจึงกินของสงฆ์มาตั้งแต่บวชจนกระทั่งตาย  ตายแล้วก็ต้องมาเป็นเปรตเฝ้าวัดจัดระเบียบอยู่อย่างนี้ไปไหนไม่ได้ทรมานมาก โปรดช่วยเราด้วยเถิด.. วันพรุ่งนี้จะทำบุญอุทิศให้ เตรียมตัวเตรียมใจให้พร้อมในการรับส่วนกุศลเสียเถิดนะท่านสมภาร..หลวงปู่กล่าว...

                เช้าวันใหม่ท้องฟ้าแจ่มใสกว่าทุกวัน ชาวบ้านได้พร้อมใจกันมาทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้สมภารเปรตอีกครั้งตามที่หลวงปู่ขอร้อง  ได้พากันจัดหาสิ่งของต่างๆ ที่สมภารเอาของสงฆ์ไปขาย มาใช้คืนสงฆ์แทนให้ท่านสมภาร เช่น จอบ มีด พร้า เป็นต้น ครูบาอาจารย์สายปฏิบัติที่นิมนต์ไว้มาพร้อมแล้วหลวงปู่ก็เริ่มนำชาวบ้านประกอบพิธีทำบุญถวายทานโดยเฉพาะเจาะจงให้แก่ท่านสมภารที่เป็นเปรตโดยตรง ลำดับแรกบูชาพระรัตนตรัย ให้ญาติโยมรับศีลห้ากันทุกคน เสร็จแล้วได้กล่าวคำถวายสังฆทานว่า อิทัง เม ทานัง,ญาติกานัง, ทักขินัง โหตุ. ผลทานของพวกข้าพเจ้าทั้งหลาย, ที่กระทำในวันนี้, ข้าพเจ้าขอแผ่ผลอุทิศ ไปให้แก่ท่านสมภารวัดแห่งนี้ ที่ล่วงลับดับขันธ์ไปแล้วนั้น,  ถ้าหากว่า, ท่านสมภารวัดแห่งนี้, ยังไม่ทราบข่าวสารการทำบุญนี้, ข้าพเจ้าทั้งหลาย, ขอมอบข่าวสารการทำบุญนี้, แด่เทพดาเจ้าทั้งหลาย, มีรุกขเทวดา, ภุมมเทวดา, และอากาศเทวดาเป็นต้น, จงนำข่าวสารการทำบุญนี้, ไปแจ้งแก่, ท่านสมภารวัดแห่งนี้, จนกว่าจะได้รับทราบ, เมื่อทราบแล้ว, จงอนุโมทนา, เมื่ออนุโมทนาแล้ว, หากตกทุกข์ได้ยาก, ก็ขอให้พ้นจากทุกข์, เมื่อมีความสุขแล้ว, ก็ขอให้มีความสุข, ยิ่งๆ ขึ้นไป เทอญ .. เสร็จแล้วเพื่อความมั่นใจอีกครั้งหนึ่งหลวงปู่จึงพากล่าวคำกรวดน้ำตามแบบอย่างของพระเจ้าพิมพิสารว่า อิทัง เม ญาตีนัง โหตุ, สุขิตา โหนตุ ญาตะโย, ขอบุญนี้ จงสำเร็จแก่ญาติทั้งหลาย ของข้าพเจ้าทั้งหลายมีท่านสมภารวัดแห่งนี้เป็นต้น, จงมีความสุขเถิด ฯ....เปรตสมภารวัดซึ่งรอรับส่วนกุศลอยู่แล้วก็อนุโมทนาในตอนนั้นนั่นเอง ...

                ภายหลังจากได้ทำบุญถวายทานเป็นที่เรียบร้อยแล้ว หลวงปู่ได้พูดถึงการให้ทานที่มีผลมาก ซึ่งประกอบด้วยองค์แห่งทักษิณาทาน ๖ ประการ คือ องค์แห่งทายกคือผู้ให้ ๓ ประการ ได้แก่ ๑.ทายก ก่อนให้ทานก็มีใจยินดี    ๒. ทายก เมื่อกำลังให้ทานก็มีจิตใจเลื่อมใส   ๓. ทายก เมื่อให้ทานไปแล้ว ก็ให้ปลาบปลื้มใจ.. องค์แห่งฝ่ายปฏิคาหก คือ ผู้รับ ๓ ประการ ได้แก่ 
๑. เป็นสมณพราหมณ์ผู้ปราศจากราคะหรือเป็นผู้ปฏิบัติเพื่อปราศจากราคะ  ๒. เป็นสมณพราหมณ์ ผู้ปราศจากโทสะ หรือเป็นผู้ปฏิบัติเพื่อปราศจากโทสะ   ๓. สมณพราหมณ์ ผู้ปราศจากโมหะ หรือเป็นผู้ปฏิบัติเพื่อปราศจากโมหะ

ความบริสุทธิ์แห่งทักษิณาทาน  ๔ ประการ

๑. ทายกเป็นผู้มีศีล  ปฏิคาหกเป็นผู้ทุศีล  คือ ทักษิณาทานนั้น   บริสุทธิ์แต่ฝ่ายผู้ให้   ไม่บริสุทธิ์ฝ่ายผู้รับ

๒. ทายกเป็นผู้ทุศีล  ปฏิคาหกเป็นผู้มีศีล  คือ ทักษิณาทานนั้น   บริสุทธิ์ฝ่ายผู้รับ ไม่บริสุทธิ์ฝ่ายผู้ให้
๓. ทายกเป็นผู้ทุศีล  ปฏิคาหกเป็นผู้ทุศีล  คือ ทักษิณาทานนั้น ไม่บริสุทธิ์ทั้ง ๒ ฝ่าย (ได้บุญน้อยนิดเดียว)

๔.ทายกเป็นผู้มีศีล ปฏิคาหกเป็นผู้มีศีล คือ ทักษิณาทานนั้น บริสุทธิ์ทั้ง ๒ ฝ่าย (ได้บุญมากมายมหาศาล)

บุญนั้นจะสำเร็จด้วยเหตุ ๓ ประการ คือ
๑. ด้วยการอนุโมทนาของผู้รับ  ๒. ด้วยการอุทิศไปให้ของผู้ให้   ๓. ด้วยการถึงพร้อมด้วย ทักขิไณยบุคคล

องค์ประกอบที่บริสุทธิ์ อีก ๓ ประการ คือ
๑. วัตถุทานที่นำมาทำทานต้องเป็นของบริสุทธิ์  ๒. เจตนาของผู้ให้ต้องบริสุทธิ์ ทั้ง ๓ กาล   ๓. พระสงฆ์ผู้รับต้องเป็นผู้บริสุทธิ์

                ต่อมาภายหลังหลวงปู่ได้สอบถามผู้คนที่ผ่านไปมาถึงวัดดังกล่าว ก็ปรากฏว่ามีพระอยู่เป็นที่เรียบร้อย  สมภารเปรตนั้นก็เงียบหายไปไม่เคยมาหลอกหลอนใครอีกนับตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา ข่าวการทำบุญให้เปรตในครั้งนี้ทราบไปถึงท่านพระอาจารย์วัง ฐิติสาโร แห่งวัดภูลังกา พระอาจารย์วังจึงให้ญาติโยมมาติดต่อขอนิมนต์หลวงปู่ช่วยไปทำบุญให้เปรตที่วัดบ้านนางัวด้วยเพราะที่วัดบ้านนางัวนั้นก็มีเปรตอาละวาดหลอกหลอนชาวบ้านอยู่เช่นกัน


โปรดเปรตตาทา แห่งบ้านนางัว

                หลวงปู่ซึ่งตั้งใจว่าจะเดินทางไปศึกษากับท่านพระอาจารย์วัง ที่ภูลังกาอยู่แล้ว จึงรีบเดินทางไปกับญาติโยมที่มานิมนต์นั้นในคราวเดียวกัน เดินเข้าเขตวัดบ้านนางัวพร้อมกันกับท่านพระอาจารย์วัง ท่านพระอาจารย์วังจึงร้องเรียกขึ้นว่า  ..ทา เอ๊ย ทา ! อยู่แถวนี้หรือเปล่า..พรุ่งนี้จะทำบุญให้นะ ถ้าอยู่แถวนี้ก็ลองมาขึ้นต้นฝรั่งให้ดูหน่อยซิ.! จะได้รู้ว่ายังอยู่... พอจบคำของท่านพระอาจารย์วังเท่านั้นเอง ต้นฝรั่งที่อยู่ข้างทางเหมือนมีคนขึ้นไปอยู่บนต้นแล้วเขย่าอย่างแรง กิ่งฝรั่งถูกโยกซ้าย โยกขวา สลัดทั้งลูกทั้งใบหล่นให้เกลื่อนไปหมด ผู้คนที่เดินติดตามมาด้วยถึงกับขนหัวลุก..!ท่านพระอาจารย์วังจึงร้องบอกขึ้นอีกว่า  พอแล้วๆ เชื่อว่ายังอยู่ ก็ดีแล้วพรุ่งนี้จะทำบุญอุทิศให้ เตรียมตัวเตรียมใจรอรับส่วนกุศลเถิดนะจะได้ไปผุดไปเกิดเสียที..

                หลวงปู่ได้เล่าเอาไว้ว่าส่วนมากพวกผีเปรตเวทนานั้น ในสมัยที่ยังไม่ตายได้ทำบาปลักขโมยของสงฆ์นั่นเอง  พอตายแล้วก็ต้องมาชดใช้หนี้สงฆ์ด้วยการเป็นเปรตเวทนาทนทุกข์ทรมานอดหยากอย่างหิวโหย สาเหตุที่ตาทาต้องมาเป็นเปรตเฝ้าวัดจัดระเบียบอยู่อย่างนี้ก็คือ สมัยที่แกยังไม่ตาย ตาทาแกเป็นมัคนายกของวัดบ้านนางัวนี่เอง แกจะคอยติดตามพระเก็บปัจจัยไว้ให้พระ แต่แล้วแกมักจะยักยอกเอาปัจจัยของพระที่แกเก็บไว้นั้นไปใช้ส่วนตัวเสียหมด  เมื่อหมดปัจจัยของพระแล้ว  แกก็เอาปัจจัยที่ชาวบ้านได้ใส่ตู้รับบริจาคตามวัดนั่นเอง เมื่อหมดปัจจัยวัด แกก็เอาสิ่งของต่างๆ ภายในวัดไปขายบ้าง เอาไปให้ญาติพี่น้องที่บ้านแกใช้บ้าง  บางครั้งแกก็แอบหยิบเอาสังฆทานกลับไปบ้านทุกวัน พระสงฆ์องค์เจ้าบอกแกว่า ของวัดของสงฆ์อย่าเอาไปบ้านนะมันร้อน และบาปหนักด้วย คนที่เอาของสงฆ์ไปนั้นมักจะเป็นเปรต...  แกก็ไม่ฟัง พระบอกแกมากๆ แกก็กลั่นแกล้งให้พระเดือดร้อนเพื่อพระจะได้หนีไปให้พ้นแกนั่นเอง แกทำตัวอย่างนี้จนแกตาย...
                เมื่อตาทาแกตายแล้ว แกก็ต้องมารับวิบากกรรมที่แกทำไว้อย่างทุกข์ทรมาน แกเป็นเปรตอดอยากหิวโหยเฝ้าอยู่ที่วัดแห่งนี้มานานแล้ว แกถูกจองจำด้วยอำนาจของกรรม ไปผุดไปเกิดไม่ได้เพราะต้องชดใช้หนี้สงฆ์ที่แกทำเอาไว้  พระที่เดินทางมาจากต่างถิ่นเข้ามาพักแรมค้างคืนก็ไม่ได้ ตกกลางคืนเปรตตาทาก็จะออกมาเดินจัดระเบียบดึงหัวดึงตีน ไม่ต้องหลับไม่ต้องนอนกันทั้งคืน ข่าวเปรตตาทาจัดระเบียบแห่งวัดบ้านนางัว ได้แพร่สะพัดไปทั่วในแถบนั้น  จนไม่มีใครย่างกลายเข้าไปพักได้ จนวัดต้องร้างไประยะหนึ่ง แต่พอภายหลังจากที่ท่านพระอาจารย์วัง และหลวงปู่สมชายได้ทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้ในครั้งนั้นแล้วก็ปรากฏว่าไม่มีใครปรากฏพบเห็นเปรตตาทาอีกเลย การทำบุญให้เปรตของหลวงปู่สมชาย ก็ใช้แบบเดียวกันกับที่ท่านเคยทำและได้รับผลมาแล้วนั้นทุกที่ไป

                เมื่อเสร็จจากธุระที่ท่านพระอาจารย์วัง ฐิติสาโร ได้ขอให้ช่วยทำบุญสงเคราะห์เปรตตาทาแล้ว หลวงปู่สมชาย  ฐิตวิริโย ก็ได้ขอติดตามท่านพระอาจารย์วังขึ้นไปทำความเพียรบนภูลังกาและเพื่อจะได้ศึกษาวิชชาเร้นลับจากท่านพระอาจารย์วังด้วย ในเขตจังหวัดนครพนม-หนองคาย นี้ ชื่อเสียงของท่านพระอาจารย์วังจะโด่งดังมากในด้านอภิญญาสมาบัติ ท่านสามารถย่นระยะทางจากไกลให้ใกล้ จากยาวให้สั้นในทำนองนี้ ชาวบ้านมักจะล่ำลือกันว่า ท่านพระอาจารย์วัง สามารถไปไหนมาไหนได้เร็วเพียงลัดนิ้วมือ บางคนจะพบท่านบิณฑบาตอยู่ที่อำเภอบ้านแพงชาวบ้านได้ใส่บาตรท่านทุกเช้า แต่ในขณะเดียวกันบนภูลังกาก็จะพบท่านนั่งฉันภัตตาหารร่วมกับพระเณรตามปกติ ซึ่งถ้าท่านเดินลงไปบิณฑบาตตามปกติแล้วจะต้องใช้เวลาเป็นวันๆ จึงจะไปและกลับได้

                ภูลังกาเป็นภูเขาที่สูงและชันมาก โดยเฉพาะที่อยู่ของท่านพระอาจารย์วังนั้นยิ่งสูงขึ้นไปเรียกว่า ถ้ำไชยมงคล   และสถานที่ทำความเพียรของท่านก็อยู่ไปอีกไกลเรียกว่า ถ้ำสีไค ท่านจะฉันข้าวที่ถ้ำไชยมงคล  เสร็จแล้วท่านก็ไปทำความเพียรที่ถ้ำสีไค  เป็นกิจวัตรประจำทุกวันของท่านถ้าเดินด้วยเท้าตามปกติจะใช้เวลาเดินกันเป็นวันเพราะต้องปีนป่ายไปตามชะง่อนผาที่สูงชัน  หลวงปู่สมชายได้เฝ้าสังเกตดูก็ยอมรับว่า ข่าวล่ำลือทั้งพระเณรและญาติโยมที่พูดถึงท่านพระอาจารย์วังนั้นเป็นความจริงทีเดียว... 

                หลวงปู่สมชาย เล่าให้พระเณรฟังต่อไปอีกว่า วันหนึ่งขณะที่ผมนั่งสมาธิอยู่ที่ถ้ำไชยมงคล จิตผมสงบตามลำดับ ขณิกะ อุปจาระ อัปปนา เมื่อจิตดิ่งลึกมากๆ จิตจะเบา กายจะเบา เหมือนจะเหาะจะลอย.ผมก็นึกต่อไปว่า..ถ้าตัวเราเบาอย่างนี้ก็น่าจะเหาะไปถึงถ้ำสีไคได้..จึงนึกจินตนาการถึงสถานที่ภายในถ้ำว่าเป็นอย่างไร ?  มีอะไร ? เหล่านี้เป็นต้น..  ต่อจากนั้นก็มีความรู้สึกว่าสถานที่เรานั่งอยู่นี้ไม่ใช่ที่เดิมแล้ว..จึงได้ถอนจิตออกจากสมาธิ ลืมตาขึ้น มองดูทางโน้นทางนี้ แล้วก็ลุกเดินไปดูให้รู้ว่าคือที่ไหนกันแน่..ก็ได้พบกับแคร่ไม้ไผ่ตัวหนึ่ง มีหมอนไม้วางอยู่  ข้างหมอนไม้ก็มีกระป๋องยาเส้นตราแมวดำ ๑ กระป๋อง ไม้ขีดไฟตราพญานาค ๑ กลัก ส่วนที่ปลายเตียงเห็นมีร่องรอยกองไฟยังอุ่นๆ เพิ่งจะมอด  แสดงว่าผู้ที่อยู่ในถ้ำนี้เพิ่งจะออกไปยังไม่นานนี่เอง..ผมเดินต่อไปอีก พบข้อความเขียนด้วยถ่านหุงข้าวไว้บนผนังถ้ำว่า ข้าพเจ้า พระอาจารย์วัง ฐิติสาโร ได้มาทำความเพียร ที่ถ้ำนี้ เมื่อวัน...เดือน...ปี.. (จำวันเดือนปีที่เขียนไว้ไม่ได้) ผมเดินสำรวจดูโน่นดูนี่จนเวลาล่วงเลยใกล้ค่ำแล้วจึงคิดที่จะกลับถ้ำสีไคอย่างเดิม  คิดไปคิดมาว่าจะกลับวิธีไหน ?...จะกลับได้หรือเปล่า ? ..ตอนมาก็มาโดยบังเอิญ ?..ทบทวนไปมาแล้วจึงเข้าที่นั่งสมาธิยกระดับจิตไปตามลำดับ จิตดิ่งลงถึงอัปปนาสมาธิ แล้วจึงนึกถึงถ้ำไชยมงคล ว่ามีลักษณะอย่างนั้น ๆ ความรู้สึกรู้ว่าเรามาอยู่ในที่แห่งใหม่แล้ว จึงลืมตาขึ้นดู ก็ปรากฏว่า มาอยู่ที่ถ้ำไชยมงคลได้จริงๆ จึงคิดว่าที่ท่านพระอาจารย์วัง ท่านหายตัวไปโน่นไปนี่ท่านคงใช้วิธีการเข้าสมาธิไปอย่างที่เราเป็นอยู่นี้แน่นอน...
                เสร็จแล้วผมเดินไปที่ท่านพระอาจารย์วัง ซึ่งกำลังนั่งฉันน้ำร้อนกับพระเณรอยู่ จึงได้กราบเรียนท่านว่า...ท่านอาจารย์ครับ วันนี้กระผมไปทำความเพียรที่ถ้ำไชยมงคล โดยที่ไม่ได้ขออนุญาตท่านอาจารย์ก่อน กระผมมาขออนุญาตครับผม..ท่านพระอาจารย์วังทำท่างง ๆ แปลกๆ .ท่านคงคิดว่าอย่างไรก็ไม่มีทางไปถึงและกลับมาทันในวันนี้ถ้าไปโดยวิธีปกติคือเดินไปเดินกลับ  เว้นเสียแต่จะไปนอกเหนือจากเดินเท่านั้นจึงจะไปกลับในวันนี้ได้ทัน

                ยังไม่ทันที่ท่านพระอาจารย์วังจะพูดอะไรต่อไป...ผมจึงได้กราบเรียนท่านต่อไปว่า กระผมคงสวนทางกับท่านอาจารย์พอดี เพราะกองไฟที่ท่านอาจารย์ก่อไว้เพิ่งดับยังอุ่น ๆ อยู่เลย... ท่านพระอาจารย์วังเริ่มเอะใจว่าผมคงไปถึงมาจริง ๆ ท่านถามผมว่า ..แล้วมีอะไรอีก...ผมกราบเรียนท่านตามที่กล่าวแล้วข้างต้นว่ามีสิ่งนั้นๆ ..ไม่ทราบว่าท่านจะทดลองผมหรือท่านจะลืมจริง ๆ ไม่ทราบ ท่านบอกว่า  ผมลืมหัวกลดไว้ที่ช่องเหลือบหินด้านหลังแคร่ ถ้าไปอีกช่วยเอามาให้ด้วย... รุ่งขึ้นอีกวันผมก็ไปถ้ำสีไคอีกครั้งพร้อมกับนำหัวกลดมาถวายท่านพระอาจารย์วังตามที่ท่านสั่ง...หลังจากนั้นผมก็อยู่ศึกษาในสำนักกับท่านพระอาจารย์ต่อมาอีกระยะหนึ่งจึงกราบลาท่านพระอาจารย์วังกลับลงมาทางด้านภูวัว...

เทศน์พิเศษหลังสรงน้ำประจำวัน

                วันหนึ่งภายหลังจากพระภิกษุสามเณรได้ปฏิบัติอาจริยวัตรการสรงน้ำถวายหลวงปู่ประจำวันเสร็จแล้ว หลวงปู่ได้เล่าเรื่องในอดีตของท่านให้พระภิกษุสามเณรฟังเพื่อให้เกิดกำลังใจว่า ครั้งหนึ่งผมเคยนั่งสมาธิอยู่คนเดียวในกุฏิ นั่งกำหนดจับดูลมหายใจเข้าพุท-ออกโธๆ ๆ ไปเรื่อย จิตตกเข้าสู่อัปปนาสมาธิ จนตัวเบาสบาย.เหมือนจะเหาะจะลอย กำหนดไปๆ..รู้สึกว่ากำลังลอยขึ้นๆ. ลอยขึ้นไปจนศีรษะไปชนกับขื่อกุฏิ.เอ..? เราลอยขึ้นมาได้ขนาดนี้เชียวหรือนี่..!  แต่ผมก็ไม่กล้าที่จะลืมตาขึ้นมาดู เกรงว่าพอลืมตาปุ๊บ..ก็จะหล่นปั๊บ...ทำนองนั้น...จึงกำหนดจิตว่าให้ลอยลงๆ ลอยลงกลับมานั่งที่เดิม...ทีนี้ลองดูใหม่อีกครั้ง  ผมเอากลักไม้ขีดใส่ไว้ที่มือแล้วก็กำหนดเข้าสมาธิอีกครั้งหนึ่งโดยกำหนดแบบเดิม พุท-โธ ๆ. จิตตกกระแสอย่างเดิม.ผมรู้สึกว่าค่อยๆ ลอยขึ้นๆ จนรู้สึกว่าศีรษะชนขื่อกุฏิอีกครั้งหนึ่ง...จึงค่อย ๆ เอากลักไม้ขีดที่ติดมือมานั้นวางไว้บนขื่อ...แล้วก็กำหนดลงมานั่งที่เดิม.ค่อยๆ คลายสติออกจากสมาธิแล้วหยิบไฟฉายส่องขึ้นไปดูบนขื่อ ปรากฏว่ากลักไม้ขีดวางอยู่บนขื่อจริงๆ .ผมชอบทดลองเรื่องเหล่านี้ ชอบพิสูจน์ให้รู้ถูกรู้ผิดกับตัวเองก่อน เพราะคิดว่าต่อไปเราจะต้องเป็นครูบาอาจารย์อบรมสั่งสอนคนอื่น ถ้าไม่พิสูจน์ให้รู้กับตัวเองก่อน เวลาพูด เวลาสอนคนอื่น มันพูดได้ไม่เต็มปาก รู้ตามตำรา สอนตามตำรา กับรู้ตามประสบการณ์ สอนตามประสบการณ์มันต่างกัน ถ้าได้พิสูจน์อย่างนี้แล้ว คนสอนก็มั่นใจ คนฟังก็ซาบซึ้ง และไม่ต้องลังเลสงสัยว่าที่ครูบาอาจารย์นำมาพูดมาสอนนั้นท่านทำได้หรือเปล่าอย่างนี้เป็นต้น ถ้าครูบาอาจารย์ที่สอนเราเป็นผู้ปฏิบัติได้จริง ได้รับผลของการปฏิบัติมาแล้วจริงๆ และท่านได้ทดสอบทดลองมาแล้วจริงๆ อย่างนี้สิ.จึงจะมั่นใจและยอมทุ่มเทกับการปฏิบัติ..อภิญญาสมาบัตินั้นเป็นเพียงผลพลอยได้เล็กๆ น้อยๆ เท่านั้น ไม่ใช่ผลที่เราต้องการจริงๆ  ส่วนจุดประสงค์หรือหัวใจของการปฏิบัติของเรา นั้น คือ ต้องการทำลายภพชาติ ต้องการชำระกิเลสให้หมดไปจากจิตใจ ต้องการให้จิตใจของเราสะอาดผ่องใส ผ่องแผ้ว ปราศจากมลทินทั้งหยาบ กลาง ละเอียด ไม่ให้หลงเหลืออยู่ในดวงจิตของเราเลยแม้แต่นิดเดียว นั่นแหละคือความต้องการของเรา...!

                ส่วนอภิญญาสมาบัติ หรือผลพลอยได้เล็ก ๆ น้อย ๆ เหล่านี้ เปรียบเหมือนทางผ่านในระหว่างทางที่เราจะต้องเดินไปสู่จุดหมายปลายทาง ถ้าเราแวะลงเที่ยวเล่นก็จะทำให้เสียเวลาในการเดินทาง แต่ถ้าหากเราผ่านเฉยๆ เราไม่แวะ ไม่หลงเล่นอยู่กับสถานที่เพลิดเพลินทั้งหลายเหล่านั้น หรืออาจจะแวะเข้าไปชมดูแต่ชมอย่างมีสติ  อย่าชมแล้วหลงใหล อย่ายึดติด ก็ยังสามารถเดินเข้าถึงจุดหมายปลายทางได้ ถึงแม้ว่าอาจจะเสียเวลาไปบ้างช้าไปบ้างแต่ก็ยังเข้าถึงจุดหมายปลายทาง คือ แดนพระนิพพานได้เหมือนกัน.เปรียบเหมือนการเดินทาง จุดหมายปลายทางของเราอยู่ที่เมืองหลวง กรุงเทพฯ กว่าเราจะเดินทางถึงเมืองหลวงได้ก็จะต้องผ่านเมืองระยอง เมืองชลบุรี และเมืองย่อย ๆ อื่น ๆ อีกมากมาย ซึ่งล้วนแต่เป็นเมืองสวยงามน่าแวะน่าชมทั้งสิ้น ถ้าเราขาดสติเราก็จะจอดหรือแวะชมเมืองระหว่างทางเมืองใดเมืองหนึ่งก็จะทำให้เราถึงเมืองหลวงช้ากว่ากำหนด หรืออาจจะหลงใหลสนุกเพลิดเพลินเมืองใดเมืองหนึ่งที่สวยงามนั้น จนลืมเมืองหลวงไปก็ได้ เช่นเดียวกับการปฏิบัติของเรา  เราจะต้องผ่านอภิญญาสมาบัติ หรือเครื่องเล่นเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่อาจจะทำให้เรานี้หลงใหลใฝ่ฝันมากมายเหลือเกิน ล้วนแต่น่าหลง น่าติดทั้งสิ้น เช่น เหาะเหินเดินอากาศ  หูทิพย์ ตาทิพย์ รู้วาระจิตคนอื่น อะไรเหล่านี้เป็นต้น ล้วนเป็นทางผ่านที่น่าหลงใหลทั้งสิ้น...ถ้าเราขาดครูบาอาจารย์ผู้ที่รู้จริงเห็นจริงคอยแนะนำให้ เราก็จะเสียทีกิเลส หลงติดหลงเล่นอยู่อย่างนั้นไปไหนไม่ได้เลย..จนตาย..!

                ทางผ่านเหล่านี้ เปรียบอีกอย่างหนึ่งเหมือนกับชีวิตคนเรา ที่จะต้องผ่านวัยต่างๆ เช่น วัยทารก วัยเด็ก  วัยรุ่น วัยกลางคน วัยชรา ถ้าเปรียบเหมือนของเล่นสำหรับวัยต่างๆ ของเด็กแล้ว อภิญญาสมาบัติก็คือของเล่นชนิดหนึ่งสำหรับเด็ก ๆ ที่เด็กเล่นแล้วติดอกติดใจจนไม่อยากกินข้าวกินปลาไม่อยากกินอาหาร  สนุกเพลิดเพลินอยู่กับการเล่น  เด็กในวัยทารกก็เล่นอาจมของตัวเองที่ถ่ายออกมาโดยไร้เดียงสาไม่รู้ว่านั่นเป็นอาจม คนโตเห็นก็สะอิดสะเอียน..เด็กเล็กก็เล่นเป่ายาง โตขึ้นมาหน่อยก็เล่นวงล้อจักรยาน โตเป็นวัยรุ่นก็เล่นหรือเที่ยวเตร่แบบวัยรุ่น แต่พอเป็นผู้ใหญ่บรรลุนิติภาวะย่อมรู้ว่าสิ่งใดควรเล่น  สิ่งใดไม่ควรเล่น แต่ถ้ายังหวนกับไปเล่นของเล่นแบบเด็ก ๆ อีก เขาก็เรียกว่าบุคคลผู้นั้นยังไม่บรรลุนิติภาวะในทางโลกนั่นเอง

                ในทางธรรมก็เช่นกัน  ถ้าใครยังหลงติดอยู่กับอภิญญาสมาบัติ  เข้าไปเล่นอยู่กับเครื่องเล่นเหล่านั้นไม่ว่าจะเป็นการรู้วาระจิตผู้อื่น หูทิพย์ ตาทิพย์ เหาะเหินเดินอากาศ ดำดิน บินบนเหล่านี้เรียกว่าติดเครื่องเล่นในทางธรรม หรือเรียกว่าบุคคลผู้นั้นยังไม่บรรลุนิติภาวะในทางธรรมนั่นเอง...

                ผู้ใหญ่ในทางธรรม หรือผู้บรรลุนิติภาวะในทางธรรม  ทุกคนจะต้องผ่านสิ่งดังกล่าวมาทั้งหมด รู้ว่าสิ่งทั้งหลายเหล่านั้นไม่ใช่เครื่องช่วยกำจัดกิเลสอะไรได้เลย รู้แล้ว เห็นแล้ว ท่านให้ปล่อย วางไม่ให้ยึดติด แต่ให้นำมาใช้เป็นเครื่องมือในการถากถางทิฐิมานะ หรือให้นำมาทรมานบุคคลบางจำพวกได้ เหมือนอย่างครั้งพุทธกาล  ที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงนำมาใช้เพื่อทรมานทิฐิมานะความถือดีถือตัวของพวกเดียรถีย์นิครนถ์ก็ดี.ของเหล่าชฎิลสามพี่น้องก็ดี...หรือแม้แต่นำมาทรมานเหล่าพระประยูรญาติก็ดี...นำมาใช้ให้เกิดประโยชน์ได้ ผมเองก็นำมาใช้ทรมานคนอยู่หลายแห่งหลายที่เช่นกัน.. ที่เขาไทรสายัณห์ก็ดี ที่เนินดินแดงก็ดี ที่เขาสุกิมเองก็ดีสมัยที่ขึ้นมาอยู่ใหม่ๆ ถ้าไม่มีอะไรดีผมถูกไล่ลงเขาไปนานแล้ว ลองถามคนเก่าๆ ได้ว่าผมทำอะไรให้ดูบ้าง บางครั้งเมื่อถึงคราวจำเป็นก็ต้องเล่นกันบ้างเล็กๆ น้อย สมัยที่ผมอยู่ถ้ำเป็ดนะครับ ลิงป่าตัวโตๆ ยังลงมาหาหน่อไม้ช่วยชาวบ้านได้ คืออะไรคิดดูเอาเอง.?..และเรื่องวันนี้จะมีใครมาหาผม.?.. มากี่คน?..มาแล้วเขาจะมีปัญหามาถามเรื่องอะไร?...คนไหนถามอะไร ?..บางคนเขียนปัญหามาเต็มหน้ากระดาษเก็บไว้ในกระเป๋าอย่างดียังไม่ทันได้เอาออกมาด้วยซ้ำ ผมตอบปัญหาในกระเป๋าของเขาได้เลย.!..แต่ละวัน ผมบอกพระไว้ก่อนล่วงหน้าแล้วครับว่า..เดี๋ยวจะมีคนมาหาเท่านั้นคน เท่านี้คน ให้ปูเสื่อจัดน้ำไว้รอได้เลย รับรองไม่มีพลาดสักครั้งเดียว!...หรือถามทิดเสาร์ ให้ทิดเสาร์เล่าให้ฟังว่า สมัยที่ผมไปพักที่นั่น  คนแห่กันมาทั้งหมู่บ้าน (บ้านเดิ่นเห็ดหิน จ.นครราชสีมา) คนทั้งหมู่บ้านเขามองเห็นที่ผมพักอยู่มีไฟลุกท่วมถึงยอดไม้ เขานึกว่าผมตายแล้วร้องบอกกันมาดู  เพื่อช่วยชีวิตผมแต่พอมาถึงเห็นผมก็นั่งภาวนาอยู่ในกลดตามปกติ... ถามเขาว่ามาทำไมกัน.!..  ต่างคนต่างไม่ฟังเสียงไม่รู้มือใครเป็นมือใครคนโน้นขอ..คนนี้ขอ..จีวรทั้งผืนที่ผมห่มขอเอาไปฉีกแบ่งกันทั้งหมู่บ้าน ทิดเสาร์ก็ติดตามมารับใช้ผมจนทุกวันนี้แหละครับ เมื่อสองสามวันนี้มีเรื่องยุ่งๆ ก็ไม่อยากพบแขกพบคนเท่าไรนัก แต่จำเป็นก็ต้องไปเพราะรับท่านไว้นานแล้วท่านนิมนต์ไปนั่งปรกที่วัดหลวงปู่ดูลย์ จังหวัดสุรินทร์ ช่างภาพช่างกล้องมากมายหลายคน...กล้องเป็นสิบๆ ตัว ถ่ายภาพกันได้ทั้งงานตลอดพิธี แต่ถ่ายมาถึงผมไฟดับทั้งงานเหมือนกัน สองรอบ..สามรอบ..ดับทุกครั้งที่หันกล้องมาใส่ผม ไม่มีใครได้รูปผมแม้แต่คนเดียว อย่าคิดว่าเป็นเรื่องบังเอิญ... พอไม่มีใครมาถ่ายรูปผมไฟก็ติดจนงานเลิกเสร็จพิธี อย่างนี้เป็นต้น...พวกเรา(พระเณรที่นั่งฟังในวันนั้น) กำลังคิดอะไรอยู่ นึกอะไรอยู่เวลานี้จะให้ผมพูดไหม ?..แต่ผมพูดแล้วพวกเราจะร้อนใจแล้วจะพาผ้าเหลืองร้อนด้วย  เหมือนกับที่ผมเคยพูดกับทิดฮุม..ทิดฮุมเวลาเดินจงกรม จิตไม่ได้อยู่กับพุท-โธ อะไรเลย เดินจงกรมอยู่ที่นี่แต่จิตไปคิดปรุงแต่งอยู่ที่บ้าน  คิดทำไร่ไถนา คิดกั้นฝาย เอาน้ำเข้านา..ผมเรียกมาบอกว่า  ฮุม..เวลาภาวนาก็ให้ภาวนาดูจิตที่จิตที่ใจของเรานี่  ไม่ใช่ขาเดินจงกรม แต่จิตไปคิดกั้นฝายเอาน้ำเข้านาอย่างนี้มันไม่ถูก  เสียเวลาภาวนาเปล่าๆ..เห็นเดินจงกรมทั้งวันทั้งคืน แทนที่ใจจะสงบ กับไปเดินสร้างวิมานบนอากาศอย่างนี้เสียเวลา...ผมเตือนสติเพียงแค่นี้วันรุ่งขึ้นมากราบลาสึกทันที...บอกว่าที่ผมคิดเรื่องอื่นๆ อีกมากมายอาจารย์ก็คงรู้ความคิดของผมหมดแล้ว  ผมอายอาจารย์ขอกราบลาสิกขา อายอาจารย์เหลือเกิน!..ครูบาสุวิทย์นี่ก็เหมือนกันชอบเดินจงกรมสร้างวิมานบนอากาศ  ผมไม่อยากพูด ผมพูดเดี๋ยวก็ต้องลาสึกอีกจนได้...เรื่องความคิดบางทีเราก็เตือนด้วยความหวังดี เตือนด้วยความเมตตา แต่เตือนแล้วเขาเกิดละอายตัวเอง อายไปอายมาก็ลาสึก ตอนหลังผมจึงไม่ไปตามความคิดของใคร เพราะตาม แล้วก็ต้องเตือนเป็นธรรมดา...

(ฐานข้อมูล โดย ทอดมาจากเทปบันทึกเสียงที่หลวงปู่เคยพูดคุยกับ พระ เณร ภายหลังจากถวายการสรงน้ำเสร็จแล้ว)   

พ.ศ.๒๔๙๖
จำพรรษาที่ภูเก้า
บ้านคำนางโอก ตำบลร่มเกล้า อำเภอนิคมคำสร้อย จังหวัดมุกดาหาร

                ปีพ.ศ.๒๔๙๖ หลวงปู่สมชาย ฐิตวิริโย ได้ออกเดินทางหาสถานที่วิเวกไปทางจังหวัดนครพนมในครั้งนี้ได้มีพระภิกษุสามเณรติดตามไปด้วยหลายรูป เดินเรื่อยไป พักบำเพ็ญไปตามรายทางที่ผ่านแห่งละคืนบ้างสองคืนบ้างจนกระ ทั่งผ่านเข้าไปถึง  ภูเก้า กิ่งอำเภอหนองสูง จังหวัดมุกดาหาร (ปัจจุบันนี้เป็นอำเภอนิคมคำสร้อย จังหวัดมุกดาหาร) เห็นว่าเป็นสถานที่สงบวิเวกน่าบำเพ็ญดี ประจวบกับอีกไม่นานจะถึงเวลาเข้าพรรษา จึงได้ตัดสินใจอยู่จำพรรษา ณ ภูเก้าแห่งนี้ ๑ พรรษา สำหรับการบำเพ็ญในพรรษานี้ก็เป็นไปได้ดีมาก  และมีพระ เณรจำพรรษาอยู่ด้วยกันทั้งหมด ๘ รูป คือ

                ๑. หลวงปู่สมชาย ฐิตวิริโย เป็นประธาน ๒. หลวงปู่มุล ธมฺมวีโร ๓. หลวงปู่พรหมา ๔. ครูบาสุดใจ ๕. สามเณรไสว  ๖. สามเณรสุดชา ๗. สามเณรทองม้วน  ๘. สามเณรบุญเถิง

                ตลอดฤดูกาลพรรษาหลวงปู่ก็นำพาพระภิกษุสามเณรประพฤติปฏิบัติตลอดทั้งกลางวันและกลางคืน    สำหรับหลวงปู่นั้นต้องรับภาระหนักกว่าหมู่เพราะว่าเป็นหัวหน้าคณะ นอกจากจะนำพาปฏิบัติแล้วในตอนกลางวันท่านก็ยังได้นำเอาหนังสือบุพพสิกขาวรรณนา มาอ่านและอธิบายให้พระเณรฟังเกี่ยวกับเรื่องของพระวินัยเป็นประจำตลอดฤดูพรรษาและได้นำพาทำทุกอย่างทั้งเรื่องการบำเพ็ญภาวนา เรื่องข้อวัตร กิจวัตร ที่ท่านได้จำมาจากหลวงปู่มั่นท่านก็ได้นำมาถ่ายทอดให้พระเณรฟังและพาปฏิบัติ เป็นต้นว่า การเดินจงกรม นั่งสมาธิ การบิณฑบาต  กวาดตาด  สวดมนต์ทำวัตร เป็นต้น ท่านจะเป็นผู้นำพาทำทุกวันมิได้ขาด นอกเหนือจากนั้นแล้วก็ยังได้อบรมสั่งสอนชาวบ้านให้เข้าถึงพระรัตนตรัยเป็นจำนวนมาก มีชาวบ้านหมู่บ้านโคกกลาง-บ้านคำนางโอก-บ้านหลุมปึ้ง-บ้านเหล่าน้อย-บ้านแวง-บ้านคำพี-บ้านเป้า-บ้านภู เป็นต้น ญาติโยมทั้ง ๘ หมู่บ้านนี้มีความเลื่อมใสศรัทธาท่านเป็นอย่างมาก

                ภายหลังจากออกพรรษา พ.ศ.๒๔๙๖ แล้วหลวงปู่ก็ได้นำพาพระและเณรลงจากภูเก้ามาพักบำเพ็ญที่วัดป่าอรัญญวิเวก (หนองโต่งโต้น) ตั้งอยู่ระหว่างกึ่งกลางหมู่บ้านโคกกลาง บ้านหลุมปึ้ง บ้านเหล่าน้อย ซึ่งเป็นวัดร้าง ไม่มีพระภิกษุสามเณรอยู่ ชาวบ้านทั้งหมดจึงได้ขอกราบอาราธนานิมนต์ท่านอยู่อบรมสั่งสอนชาวบ้านที่นี่ต่อไป เนื่องจากญาติโยมในหมู่บ้านแถบนี้เหินห่างจากการได้ทำบุญมาเป็นเวลานานแล้ว ท่านจึงได้รับนิมนต์อยู่ฉลองศรัทธาของชาวบ้านเรื่อยมา ในระหว่างที่กำลังทำความเพียรอยู่ที่วัดป่าอรัญญวิเวกนี้ ก็ให้มีเหตุต้องเดินทางกลับบ้านเกิดที่จังหวัดร้อยเอ็ด  


กลับภูมิลำเนาโปรดญาติ

                นับว่าเป็นระยะเวลานานพอสมควร ที่หลวงปู่ไม่เคยเดินทางกลับไปเยี่ยมญาติพี่น้องในถิ่นบ้านเกิด เพราะไม่มีห่วงกังวลใด ๆ อีกอย่างหนึ่งก็กำลังเพลิดเพลินอยู่กับการปฏิบัติภาวนา จิตใจกำลังก้าวหน้าอยู่กับการประกอบความเพียรนั่นเอง  ส่วนบรรดาญาติพี่น้องทางบ้านเกิดก็เช่นกัน นับจากหลวงปู่ออกบวช ก็ไม่มีใครห่วงกังวลแต่อย่างใด  ปล่อยให้หลวงปู่ไปแบบอิสระเพื่อไม่ต้องห่วงหน้าห่วงหลัง  แต่บัดนี้ถึงเวลาที่ญาติพี่น้องจะต้องออกติดตามสอบถามข่าวคราว ว่าขณะนี้หลวงปู่ไปบำเพ็ญเพียรอยู่แห่งหนตำบลใด สาเหตุที่ต้องออกติดตามนั้นเพราะญาติผู้พี่ของหลวงปู่ตั้งแต่เสียชีวิตลงก็ไม่ได้ไปสู่ภพภูมิสุขคติ ยังอยู่เที่ยวหลอกหลอน สร้างความเดือดร้อนกังวลใจให้แก่ผู้ที่ยังมีชีวิตอยู่เป็นอย่างมาก  ญาติพี่น้องทำบุญอุทิศให้หลายครั้งหลายหนก็ไม่เป็นผล ยังเป็นสัมภเวสีอาละวาดหลอกหลอนผู้คนให้หวาดกลัวเดือดร้อนกันทั้งหมู่บ้าน จนเป็นที่กล่าวขานกันจากบ้านนี้ต่อไปบ้านโน้นจนหนาหูขึ้นเรื่อยๆ ว่า ผีเปรต บักขี้ยา อาละวาดหลอกหลอนผู้คนที่ผ่านไปผ่านมาในแถบนั้น หลอกแม้กระทั่งวัวควายที่ผูกไว้ในคอก ยังดิ้นจนเชือกขาดกระจุยเป็นฝูงๆ..  เมื่อมีญาติมาติดตามและแจ้งข่าวให้ทราบดังนี้แล้ว หลวงปู่พร้อมด้วยพระสงฆ์จำนวนหนึ่งจึงต้องออกเดินทางกลับบ้านเกิด ที่จังหวัดร้อยเอ็ดพร้อมกับญาติที่มาตาม  สำหรับหมู่สงฆ์อีกส่วนหนึ่งก็ให้พักรออยู่ที่ภูเก้าต่อไปก่อน

                เมื่อหลวงปู่เดินทางถึงร้อยเอ็ด บรรดาญาติพี่น้องต่างก็มาเล่าความเป็นมาของเรื่องสัมภเวสี ผีเปรต ว่า ญาติของเราผู้นี้ เมื่อยังมีชีวิตอยู่ก็ทำตัวเป็นนักเลงหัวไม้เกะกะระรานไปทั่ว เห็นของใครเป็นขโมยไปหมด เป็นสิงห์เฮโรอิน สูบฝิ่นกินเหล้า เมากัญชา  ลักเล็กขโมยน้อยเอาหมดทุกอย่าง  การงานไม่ทำ ไปที่ไหนใครเห็นเขาก็เรียกว่า บักขี้ฝิ่น หรือบักขี้ยา เพราะว่าวันๆ ไม่รู้จักทำมาหากินอย่างชาวบ้านเขา เอาแต่เที่ยวแล้วก็สูบฝิ่น สูบกัญชา ไม่มีเงินก็ลักขโมย วันไหนขโมยของชาวบ้านไม่ได้ก็ขโมยของตามวัดวาอาราม วัดในละแวกนี้ต่างพากันเดือดร้อนตาม ๆ กัน เห็นอะไรที่จะขายเป็นเงินซื้อฝิ่นซื้อกัญชาได้ เป็นหยิบฉวยเอาดื้อๆ ไม่ว่าเสื่อ-หมอน-ถ้วย-จาน หยิบอะไรได้เอาหมด แม้แต่พระพุทธรูปตามโต๊ะหมู่บูชา สมภารเผลอเป็นว่าถูกขโมย วัดไหนบ้านไหน เมื่อได้ยินว่าบักขี้ฝิ่นมาแล้วเป็นต้องปิดประตูหนีกันเลยทีเดียว

                ญาติเล่าต่อไปว่า วันหนึ่งเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ติดตามจับเอาตัวมาลงโทษ  แต่ในขณะที่เดินทางจะนำไปฝากขังในเมืองนั้น  บักขี้ฝิ่นคงหิวยาขึ้นมาอย่างรุนแรง หรืออยากยาจนขึ้นสมอง จึงช็อกตายในระหว่างทาง หรือที่เรียกว่า ลงแดงตาย นั่นเอง ตายทั้งๆ ที่โซ่ตรวนยังมัดอยู่ที่ขาทั้งสองข้าง (สมัยก่อนนั้นคนร้ายเมื่อถูกจับจะถูกตีตรวนล่ามโซ่)  เมื่อบักขี้ฝิ่นมาตายในระหว่างทางเช่นนั้น ตำรวจจึงนำศพไปฝังไว้ที่ป่าช้าวัดใกล้บ้านนั่นเอง  ...ถูกฝังทั้งโซ่ตรวนยังล่ามอยู่ที่ขาทั้งสองข้าง กรรมเวรจริงๆ ..เมื่อรู้ว่าตายแล้วญาติพี่น้องก็พากันทำบุญอุทิศส่วนกุศลไปให้ เพื่อจะได้หมดเวรหมดกรรม ไปผุดไปเกิด..แต่ไม่ทราบเป็นเพราะเหตุใดจึงยังไม่ได้รับส่วนกุศลยังวนเวียนเที่ยวหลอกหลอนผู้คนอยู่เป็นประจำ แม้แต่พระที่วัดก็พากันหวาดกลัวผีเปรตบักขี้ฝิ่นไปตามๆ กัน หมู่ญาติพี่น้องพากันเล่าเรื่องราวให้หลวงปู่ฟังเพื่อจะได้หาทางแก้ไขกันต่อไป...

                หลวงปู่จึงถามว่า.ที่ทำบุญกรวดน้ำไปให้ครั้งก่อนๆ นั้นได้พากันทำอย่างไร?.ทำไมพี่ของเราจึงไม่ได้รับส่วนกุศล ยังเป็นเปรตเวทนา ไม่ไปผุดไม่ไปเกิดอีก..พวกโยมจึงได้เล่าถวายว่า ได้ทำตามที่เห็นเขาทำๆ กัน คือได้นิมนต์หลวงพ่อหลวงตาที่วัดใกล้ๆ บ้านซึ่งพอหาได้ นิมนต์มารับไทยทานอาหารคาวหวาน ตามที่พวกเราได้ช่วยกันล้มหมู ล้มควายอย่างละตัว แล้วก็มีสุราสาโท มาเลี้ยงคนที่มาร่วมงานบุญ ซึ่งเมื่อคนทราบข่าวก็พากันมาเกือบหมดหมู่บ้าน หมู และควายที่ฆ่าไว้ เกือบไม่พอเลี้ยงแขกทีเดียว...ญาติกล่าว !

เทศน์กัณฑ์พิเศษ

                หลวงปู่ปรารภขึ้นว่า.ที่พวกญาติโยมพากันทำมาทั้งหมดนั้น เหมือนตำน้ำพริกละลายแม่น้ำ เป็นการสร้างบาปทำบุญ จะทำอีกกี่ร้อยครั้งก็ตามคนตายก็ยังเป็นผีเปรตอยู่อย่างเดิม เพราะการทำบุญไม่ถูกบุญ พรุ่งนี้อาตมาจะพาทำ แต่ก่อนอื่นจะขอเทศนาอธิบายวิธีการที่ถูกต้องให้พวกเราได้เข้าใจเสียก่อนว่า การทำบุญ จะทำอย่างไรจึงจะเรียกว่า เป็นการลงทุนแล้วได้บุญมากที่สุด ทานหรือบุญที่จะทำนั้น จะต้องประกอบด้วยองค์ ๓ ประการ ถ้าประกอบและถึงพร้อมด้วยองค์ ๓ ประการ ทานนั้นย่อมได้ผลมาก เป็นบุญมาก คือ ต้องถึงพร้อมด้วยบริสุทธิ์ ๓.  ดังต่อไปนี้...

                บริสุทธิ์ข้อที่ ๑ ได้แก่ วัตถุทานที่จะให้ต้องบริสุทธิ์

                วัตถุทานบริสุทธิ์ ได้แก่สิ่งของทรัพย์สมบัติที่จะสละให้เป็นทานนั้นต้องเป็นสิ่งของ ของตนที่หาได้มาโดยบริสุทธิ์  ไม่ได้มาโดยการเบียดเบียนบุคคลอื่น สัตว์อื่น ไม่ลักไม่ปล้นไม่ยักยอก ฉ้อโกง ของจากใครทั้งสิ้นแม้แต่พริก เกลือ มะเขือ ก็ตาม ต้องบริสุทธิ์ทั้งสิ้น ไม่เบียดเบียนชีวิต เลือดเนื้อของสัตว์ทุกชนิด เช่น ปลา โค กระบือ หมู เป็ด ไก่ หรืออื่นๆ ก็ตาม อย่างที่พวกเราพากันฆ่าหมู ฆ่าควาย เอาเลือดเอาเนื้อของเขามาทำอาหารถวายพระ หรือนำมาเลี้ยงแขก ทั้งหลายเหล่านั้นเป็นการสร้างบาปทำบุญ วัตถุทานที่เป็นเนื้อสัตว์นั้น เป็นของไม่บริสุทธิ์  แม้จะพูดกันว่าทำบุญๆ ย่อมไม่ได้บุญเลยแม้แต่นิดเดียวและย่อมจะเป็นบาปเพิ่มขึ้นอีกด้วย ถ้าการทำอาหารของเราจำเป็นจะต้องประกอบด้วยเนื้อสัตว์ก็ให้ไปจัดหากันมาจากตลาดสดที่เขามีไว้ขายสำเร็จแล้ว โดยที่เราไม่มีส่วนรู้เห็นในการฆ่านั้น เนื้อสัตว์จึงจะเป็นวัตถุทานที่บริสุทธิ์อย่างนี้จึงจะนำมาประกอบเป็นวัตถุทานได้ และที่ว่าไม่ลักขโมย หรือยักยอกสิ่งของใดๆ มาทำบุญ สิ่งของนั้นย่อมเป็นของบริสุทธิ์ ถ้าลักขโมยหรือหยิบฉวยโดยที่เจ้าของเขายังไม่อนุญาต สิ่งของนั้นย่อมเป็นของไม่บริสุทธิ์ เป็นของร้อน อย่าคิดว่าเพียงของเล็กน้อยแม้แต่พริก เกลือ มะเขือ เหล่านี้ก็ตามถ้าไม่ใช่ของเรา เราต้องขอให้เจ้าของเขาอนุญาตก่อนหรือจัดซื้อมาจากตลาด จึงจะจัดเป็น ทานที่บริสุทธิ์

                บริสุทธิ์ข้อที่ ๒ ได้แก่ เจตนาในการให้ทานต้องบริสุทธิ์

                การให้ทานนั้น เจตนาที่แท้จริงแล้วเป็นการขจัดความโลภ ความขี้ตระหนี่เหนียวแน่น และการให้ก็เพื่อเป็นการสงเคราะห์ผู้อื่นให้ได้รับความสุขด้วยความเมตตาของตน และต้องให้โดย.เจตนาสัมปทา ๓ ประการ. คือ

                ๑. ปุพฺพเจตนา เจตนาก่อนให้ทาน ก็ต้องมีจิตใจเบิกบานชื่นชมยินดีว่าตนจะให้ทาน

                ๒. มุญฺจนเจตนา เจตนาขณะกำลังให้ทาน ก็มีจิตใจเบิกบาน ผ่องใส

                ๓. อปราปรเจตนา เจตนาหลังจากการให้ทาน จะผ่านไปนานสักเท่าไรก็ปลื้มใจยินดี ไม่คิดเสียดายใน ภายหลัง
                เจตนาอันบริสุทธิ์ในการทำทานนั้นอยู่ที่ การทำจิตให้โสมนัส เบิกบาน รื่นเริง ยินดี ประกอบในการทำทานนั้นเป็นสำคัญ และสำคัญที่สุด คือให้มุ่งเพื่อที่จะสงเคราะห์สัมภเวสี ผีเปรตเวทนาตนนั้น เพื่อให้เขาได้พ้นจากความทุกข์ ให้ผีเปรตเหล่านั้นได้รับความสุขเพราะทานของเรานั่นเอง นี่แหละจึงเรียกว่าการทำทานโดยใช้สติปัญญา ไม่ใช่ทำด้วยความโง่เขลาเบาปัญญา หรืองมงายปราศจากหลักที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสสั่งสอนไว้ ไม่จำเป็นว่าวัตถุทานจะมากหรือน้อย จะเป็นของเลวหรือประณีต ให้ทำตามกำลังทรัพย์ตามกำลังศรัทธาที่ตนมีอยู่ การทำทานแต่ละครั้งต้องอย่าให้เบียดเบียนตนเองหรือครอบครัว เช่น มีน้อยก็อย่าฝืนใจทำให้มากเกินกำลังของตัวเอง จนตัวเองและครอบครัวเดือดร้อน เป็นทุกข์ เศร้าหมอง และอย่าฝืนใจทำ อย่าทำโดยเสียไม่ได้ ถ้ายังไม่พร้อมก็อย่าเพิ่งทำเสียเลยจะดีกว่า

                บริสุทธิ์ข้อที่ ๓ ได้แก่ เนื้อนาบุญต้องบริสุทธิ์

                เนื้อนาบุญที่จะกล่าวถึงนี้ ได้แก่บุคคล หรือปฏิคาหกผู้รับทานจากพวกเรานั่นเอง หรือพูดให้ง่ายขึ้นก็คือพระสงฆ์ครูบาอาจารย์ที่พวกเราได้นิมนต์ท่านมาเป็นผู้รับทานนั้น นับว่าเป็นองค์ประกอบที่มีความหมายสำคัญที่สุด  ในจำนวนองค์ประกอบทั้ง ๓ ประการ..วัตถุทานอันบริสุทธิ์ก็ดี.เจตนาในการทำทานบริสุทธิ์ทั้ง ๓ กาลก็ดี.แต่ถ้าเราได้ปฏิคาหกผู้รับทานของเราเป็นคนไม่ดี เป็นคนไม่มีศีล ย่อมไม่ใช่เนื้อนาบุญที่บริสุทธิ์.นับเป็นเนื้อนาบุญที่เลว.ทานที่เราทำไปนั้นย่อมมีอานิสงส์ลดน้อยถอยลงอย่างน่าเสียดาย

                ขอยกรูปแบบมาเปรียบให้เข้าใจง่ายขึ้นว่า เหมือนกับการหว่านเมล็ดข้าวเปลือกลงในนา

หว่านด้วยเมล็ดข้าวที่เป็นพันธุ์ดี พร้อมที่จะงอกงามเจริญเติบโต (วัตถุทานบริสุทธิ์)

                ผู้หว่านข้าว คือ เจ้าของนาก็มีเจตนาเพื่อทำนาให้เกิดผลผลิตโดยสมบูรณ์ (เจตนาบริสุทธิ์)

                นาที่หว่านข้าวลงไปนั้นอุดมสมบูรณ์ เปรียบดังพระสงฆ์ผู้รับไทยทาน

                เป็นผู้ประพฤติดีปฏิบัติชอบ (บุญเขตบริสุทธิ์)

                แต่ถ้าหากที่นานั้นเป็นพื้นนาที่ไม่สม่ำเสมอกัน เมล็ดข้าวที่งอกเงยก็ย่อมไม่เหมือนกัน เมล็ดข้าวที่ไปตกในที่มีดินดี มีปุ๋ย มีน้ำอุดมสมบูรณ์ดี ข้าวก็งอกงามมีผลผลิตที่สมบูรณ์.ส่วนเมล็ดที่ไปตกในที่แห้งแล้งกันดาร เช่น เป็นที่ทราย ที่ขาดน้ำขาดปุ๋ย ข้าวก็จะแห้งเหี่ยวเฉาและตาย ย่อมไม่ได้ผลใดๆ แก่ผู้ที่เป็นเจ้าของผืนนา

                การทำทานนั้น ผลิตผลที่เราต้องการ คือ บุญ หากปฏิคาหก หรือพระสงฆ์นั้นไม่เป็นเนื้อนาบุญที่ดีสำหรับการทำทานแล้ว ผลของทานที่เรียกกันว่า บุญ  บุญนั้นก็จะบังเกิดขึ้นกับเราอย่างไม่สมบูรณ์ ตรงนี้ปฏิคาหกผู้รับทานของเรานับว่าเป็นสิ่งที่มีความสำคัญมากที่สุด เราผู้ทำทานจะได้บุญมากหรือน้อย บุญที่เราจะอุทิศส่วนกุศลไปให้กับญาติของเราที่วายชนม์ไปสู่ปรโลกเบื้องหน้าจะได้รับส่วนกุศลของเราหรือไม่นั้น ก็ขึ้นอยู่กับพระสงฆ์ผู้เป็นปฏิคาหกผู้ที่รับไทยทานของพวกเราด้วยเป็นสำคัญ...

                ในทางตรงกันข้าม ถ้าพระสงฆ์ผู้รับทานของเรานั้น ท่านเป็นผู้มีศีลที่สมบูรณ์ มีคุณธรรมสูงส่งด้วยแล้วนั่นชื่อว่าเป็น เนื้อนาบุญที่ดีเยี่ยม เป็นเนื้อนาบุญที่ประเสริฐ ทานที่เราทำไปย่อมบังเกิดเป็นผลมากอย่างหาที่สุดไม่ได้เลย การทำบุญทำทานของเรานั้นจึงอย่าสักแต่ว่าทำ จะทำทั้งทีควรเลือกหาสถานที่ทำ เลือกเนื้อนาบุญที่ดี เราจะไม่เหนื่อยเปล่า ไม่เสียของฟรีๆ

                สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสเอาไว้อีกว่า แม้วัตถุทานจะบริสุทธิ์ เจตนาในการทำบริสุทธิ์ ทานนั้นจะมีผลมากหรือน้อย ขึ้นอยู่กับเนื้อนาบุญเป็นลำดับดังนี้

                ทำทานแก่สัตว์เดรัจฉาน ๑๐๐ ครั้ง ได้บุญน้อยกว่าทำทานแก่มนุษย์ ผู้ไม่มีศีลเพียงครั้งเดียว (เพราะสัตว์เดรัจฉานนั้น ไม่ใช่เนื้อนาบุญ)

                ทำทานกับมนุษย์ผู้ไม่มีศีลไม่มีธรรม ๑๐๐ ครั้ง ได้บุญน้อยกว่าทำทานกับมนุษย์ผู้มีศีลห้า เพียงครั้งเดียว

                ทำทานกับมนุษย์ผู้มีศีลห้า ๑๐๐ ครั้ง ได้บุญน้อยกว่าทำทานกับมนุษย์ผู้มีศีลแปด เพียงครั้งเดียว

                ทำทานกับมนุษย์ผู้มีศีลแปด ๑๐๐ ครั้ง ได้บุญน้อยกว่าทำทานกับมนุษย์ผู้มีศีลสิบ เพียงครั้งเดียว

                ถวายทานแก่สามเณรผู้มีศีลสิบ ๑๐๐ ครั้งได้บุญน้อยกว่าทำทานแก่สมมุติสงฆ์ผู้มีศีล๒๒๗ เพียงครั้งเดียว

                ถวายทานแก่สมมุติสงฆ์ผู้มีศีล ๒๒๗ ถึง ๑๐๐ ครั้งได้บุญน้อยกว่าถวายทานแก่พระโสดาบัน เพียงครั้งเดียว

                ถวายทานแก่พระโสดาบัน ๑๐๐ ครั้ง ยังได้บุญน้อยกว่าถวายทานแก่ พระสกทาคามีเพียงครั้งเดียว 

                ถวายทานแก่พระสกทาคามี ๑๐๐ ครั้ง ก็ยังได้บุญน้อยกว่าถวายทานแก่พระอนาคามีบุคคล เพียงครั้งเดียว

ถวายทานแก่พระอนาคามีบุคคล ๑๐๐ ครั้ง ก็ยังได้บุญน้อยกว่าถวายทานแก่พระอรหันต์เพียงครั้งเดียว

ถวายทานแก่พระอรหันต์ ๑๐๐ ครั้ง ก็ยังได้บุญน้อยกว่าถวายทานแก่พระปัจเจกพุทธเจ้าเพียงครั้งเดียว

ถวายทายแก่พระปัจเจกพุทธเจ้า ๑๐๐ ครั้ง ก็ยังได้บุญน้อยกว่าถวายทานแก่พระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพียงครั้งเดียว

ถวายทานแก่พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ๑๐๐ ครั้ง ก็ยังได้บุญน้อยกว่าการถวายสังฆทานที่มีสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นประธาน แม้เพียงครั้งเดียว 

ถวายสังฆทานที่มีพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นประธาน ๑๐๐ ครั้ง ก็ยังได้บุญน้อยกว่าการถวายวิหารทานเพียงครั้งเดียว

ถวายวิหารทาน ๑๐๐ ครั้ง ยังได้บุญน้อยกว่าการให้ธรรมทาน เพียงครั้งเดียว

การให้ธรรมทาน ๑๐ ๐ ครั้ง ยังได้บุญน้อยกว่าการให้ อภัยทาน เพียงครั้งเดียว การให้อภัยทาน คือ การไม่ผูกโกรธ ไม่อาฆาตจองเวร ไม่พยาบาทคิดร้ายผู้อื่น

                อย่างไรก็ตาม การทำทาน ตามลำดับที่กล่าวมาทั้งหมด ผลบุญที่ได้นั้นก็ยังต่ำกว่า ศีล ไม่ว่าจะเป็นศีลห้า ศีลแปด หรือศีลสองร้อยยี่สิบเจ็ด ซึ่งมีอานิสงส์เพิ่มยิ่งขึ้นไปตามประเภทของศีลที่รักษา

                แต่ศีลนั้นแม้จะมีอานิสงส์มากมายเพียงไร ก็ยังได้บุญน้อยกว่าการ  ภาวนา  เพราะว่าการภาวนานั้นเป็นการรักษาจิตใจ เป็นการซักฟอกให้จิตสะอาด เบาบางหมดจดจากกิเลส คือ ความโลภ โกรธ หลง อันเป็นเครื่องร้อยรัดให้สรรพสัตว์ทั้งหลายต้องเวียนวนอยู่ในสังสารวัฏ การภาวนาจึงเป็นการบำเพ็ญบุญบารมีขั้นสูงสุด ประเสริฐที่สุดในทางพระพุทธศาสนา จัดเป็นแก่นแท้ของพระพุทธศาสนา

                ดังนั้น พวกเราที่ต้องการทำบุญทำทานอุทิศกุศลผลบุญไปให้เปรตชนของพวกเราที่ล่วงลับไปให้เขาได้รับผลอานิสงส์จากการทำบุญของพวกเราแล้ว ต้องวางเจตนาให้ถูกต้อง จึงจะมีบุญเพียงพอที่จะอุทิศไปให้ญาติของพวกเราได้ดังที่อธิบายมา ก็หวังว่าญาติโยมคงเข้าใจกันบ้าง จึงขอสรุปลงไว้แต่เพียงนี้ก่อน วันพรุ่งนี้ให้พากันจัดเตรียมสิ่งของที่จะใช้ทำบุญเสียใหม่ให้ถูกต้อง ว่าแล้วหลวงปู่ก็ขอตัวไปพักผ่อนยังวัดใกล้ๆ บ้านซึ่งเป็นวัดที่ฝังศพญาติไว้นั่นเอง...

                หลังจากนั้น ญาติพี่น้องก็ช่วยสะพายอัฐบริขารตามไปส่งหลวงปู่ หลวงปู่เข้าพักยังกุฏิหลังเล็กๆ ซึ่งอยู่ไม่ห่างจากหลุมฝังศพบักขี้ยานั่นเอง ตกกลางคืนหลังจากหลวงปู่สวดมนต์นั่งสมาธิภาวนาเสร็จแล้ว ประมาณยามหนึ่ง ความเงียบของป่าช้าสมัยนั้นเงียบเชียบอย่างที่สุด หลวงปู่เอนกายเพื่อจะจำวัด พลันก็ได้ยินเสียงคนตักน้ำล้างเท้าที่ตั้งอยู่ตีนบันได เสียงขันกระทบตุ่มน้ำดังแก๊งๆ !.เสียงพื้นกระดานด้านนอกกุฏิดัง ออดๆ แอดๆ เหมือนมีคนเดินขึ้นมาหา..หลวงปู่เข้าใจว่าคงมีพระเณรในวัดที่เคยรู้จักกันมาเยี่ยมจึงลุกขึ้นเดินไปเปิดประตูทันที.ว่าง.!ไม่ปรากฏเห็นร่างอาคันตุกะใดๆ ทั้งสิ้น มองไปที่ตุ่มน้ำยังเห็นขันแกว่งไปมา หลวงปู่หันหลังกำลังจะเดินกลับไปยังที่พักอีกครั้ง เสียงแบบเดียวกันก็ดังขึ้นอีกเป็นครั้งที่สอง หลวงปู่ ผลักประตูออกทันที.ว่าง.! พร้อมกับมีเสียงคล้ายคนกระโดดลงจากกุฏิ ดังตุบ !..หลวงปู่จึงเดินตามลงไปที่เสียงนั้นท่ามกลางแสงเดือนสลัวๆ มองไม่เห็นร่างว่าเป็นผู้ใด มีแต่เสียงเดินลากโซ่ตรวนดัง .ก๊อง.แก๊งๆ.!.เดินอ้อมกุฏิด้านนี้เสียงลากโซ่ก็ดังอยู่ฝั่งตรงข้าม หลวงปู่จึงตัดสินใจเดินไปที่หลุมศพแล้วเอาผ้าสรงน้ำปูนอนข้างๆ หลุมศพนั่นเองหลังจากนั้นก็ไม่มีเสียงเดินลากโซ่ตรวนให้ได้ยินอีกเลยจนสว่าง รุ่งเช้าวันใหม่จึงได้ช่วยกันจัดเตรียมพิธีทำบุญเพื่ออุทิศส่วนกุศลให้กับญาติกัน...

พิธีทำบุญให้เปรต

                เช้าวันใหม่ หลวงปู่ได้สำรวจตรวจดูสิ่งของต่างๆ ที่ได้กะเกณฑ์ให้ญาติพี่น้องจัดหามาทำทานจะเป็นประเภทครุภัณฑ์ก็ดีซึ่งมี มีด จอบ เสียม เสื่อ เพื่อจะได้ถวายใช้หนี้คืนสงฆ์ อาหารคาวหวานที่จะถวายพระสงฆ์ก็ดี ญาติโยมก็ได้จัดไว้ตามที่หลวงปู่บอกทั้งสิ้น ครูบาอาจารย์สายปฏิบัติที่นิมนต์มารับไทยทานมาพร้อมแล้ว หลวงปู่ก็เริ่มประกอบพิธี ให้ญาติพี่น้องทุกคนบูชาพระรัตนตรัย รับศีลห้า ต่อจากนั้นหลวงปู่ก็นำกล่าวคำถวายทานด้วยตัวเองว่า นะโม ๓ จบ...อิทัง  เม  ทานัง,  ญาติกานัง, เปตานัง, ทักขินัง โหตุ.. ผลทานของพวกข้าพเจ้าทั้งหลาย, ที่กระทำในวันนี้,  ข้าพเจ้าทั้งหลาย, ขอแผ่ผลอุทิศ,ไปให้แก่ญาติของข้าพเจ้าทั้งหลาย,  ที่ล่วงลับไปสู่ปรโลกเบื้องหน้า, มีนามว่า  นาย..(ออกชื่อ นามสกุล).. ถ้าหากว่าญาติของข้าพเจ้า..นาย ..(ออกชื่อนามสกุล), ยังไม่ทราบข่าวสารนี้ ข้าพเจ้าทั้งหลายขอฝากข่าวสารการทำบุญนี้แด่เทพเจ้าทั้งหลายมี  รุกขเทวดา  ภุมมเทวดา และอากาศเทวดา เป็นต้น จงนำข่าวสารการทำบุญนี้ไปแจ้งแก่ญาติของข้าพเจ้าทั้งหลาย มีนามว่า นาย.......(ออกชื่อ), จนกว่าจะได้รับทราบ เมื่อทราบแล้ว ขอจงได้อนุโมทนา เมื่ออนุโมทนาแล้ว หากตกทุกข์ได้ยาก ก็ขอให้พ้นจากทุกข์ เมื่อมีความสุขแล้ว ก็ขอให้มีความสุขยิ่งๆ ขึ้นไป เทอญ...
( คำถวายทานอุทิศข้างต้นนี้ หลวงปู่ได้นำมาใช้ที่วัดเขาสุกิมจนถึงทุกวันนี้ แต่ปรับปรุงให้สละสลวยเหมาะสมกับพื้นบ้านเล็กน้อย )

                หลวงปู่ได้กล่าวเสริมไว้อีกว่า การทำบุญนอกจากองค์ประกอบทั้ง ๓ ตามตำนานดังกล่าวข้างต้นนั้นแล้ว ก็ยังต้องเพิ่มการกล่าวคำอุทิศให้เฉพาะเจาะจง ออก ชื่อ นามสกุล และน้อมจิตให้ดิ่งเป็นสมาธิในขณะกล่าว ให้นึกเห็นเป็นรูปร่างหน้าตา กิริยาท่าทางของบุคคลที่เราต้องการอุทิศส่วนกุศลไปให้นั้นได้ยิ่งดี ถ้าทำได้อย่างนี้บุญกุศลไม่มีตกหล่นไปไหน ย่อมถึงแก่เปรตชนผู้รอรับส่วนกุศลอย่างแน่นอน...
                หลวงปู่ได้เดินทางกลับไปโปรดให้ญาติได้พ้นจากทุกข์ในครั้งนี้ เป็นที่อนุโมทนาสาธุการของชาวบ้านและญาติพี่น้องเป็นอย่างยิ่ง และนับจากวันนั้นเป็นต้นมา ก็ไม่ปรากฏว่ามีใครพบเห็นหรือถูกผีเปรตบักขี้ยาหลอกหลอนอีก

หลวงปู่เล่าเรื่องทำบุญอุทิศให้คนตายแต่คนเป็นได้รับ

                เรื่องที่นำมากล่าวต่อไปนี้เป็นเรื่องที่หลวงปู่เคยเล่าให้พระภิกษุสามเณรฟังที่วัดเขาสุกิมในเวลาหลังจากถวายการสรงน้ำที่พระเณรได้ปฏิบัติเป็นอาจริยวัตรประจำทุกเย็น...วันหนึ่งหลวงปู่ได้เล่าว่า  การทำบุญอุทิศส่วนกุศลไปให้แก่ผู้ที่อยู่ในปรโลกนั้น เปรียบเสมือนการส่งจดหมายไปให้ญาติ

                พระสงฆ์ผู้มีศีลบริสุทธิ์ซึ่งเป็นผู้รับไทยทานของเรานั้นเปรียบเหมือนบุรุษไปรษณีย์ที่ซื่อสัตย์ต่อหน้าที่

                วัตถุทานที่บริสุทธิ์ด้วยองค์สามเปรียบเหมือนซองจดหมายปิดผนึกที่บรรจุข้อความถูกต้องดีแล้ว

                การกล่าวคำถวายและน้อมจิตออกชื่อนามสกุล เปรียบเหมือนการจ่าหน้าซองปิดแสตมป์ เขียนชื่อ ที่อยู่ บ้านเลขที่ ชัดเจน ทำได้อย่างนี้จดหมายนั้นย่อมไม่ตกหล่นไปทางไหน ถึงมือผู้รับอย่างแน่นอน จะอยู่อเมริกาหรือบ้านเราก็ได้รับ เพราะถูกต้องตามกฎกติกา

                การทำบุญที่ถูกต้องก็เช่นกัน บุญกุศลย่อมถึงผู้ที่ล่วงลับวายชนม์ ซึ่งกำลังรอคอยบุญซึ่งเป็นอาหารทิพย์จากญาติพี่น้อง..เขาต้องได้รับอย่างแน่นอน อย่าว่าแต่คนตายเลย แม้แต่คนเป็นๆ ที่บ้านผมยังเคยมีเป็นตัวอย่างมาแล้ว ที่ได้รับพลานิสงส์จากคนเป็นด้วยกันทำบุญไปให้เพราะเข้าใจผิดคิดว่าตายแล้ว.นับว่าเป็นเรื่องที่เหลือเชื่อจริงๆ แต่ก็เกิดขึ้นมาแล้ว สมัยหนึ่ง มีญาติพี่น้องของผมอยู่ที่จังหวัดร้อยเอ็ด มีอาชีพทำนา เมื่อเสร็จจากฤดูเก็บเกี่ยวข้าวแล้วก็หมดงานทำ จึงบอกลูกบอกภรรยาว่า จะลงไปหางานทำทางภาคกลางที่อยุธยา แล้วจะกลับขึ้นมาภายในเดือนหก เพื่อมาจัดเตรียมพื้นนาตกกล้าปักดำในฤดูต่อไป แต่ถ้าถึงเดือนหกแล้วฉันยังไม่กลับมาถึงบ้าน ก็ให้ถือว่าฉันตาย ช่วยทำบุญไปให้ด้วย (ทำบุญอุทิศ) แกสั่งลาลูกและภรรยาแล้วแกก็ออกเดินทางจากจังหวัดร้อยเอ็ดไปจังหวัดอยุธยา ต่อมาแกเกิดไปพบแม่ม่ายลูกติดมีสตางค์เข้าคนหนึ่งจึงอยู่กินด้วยกันอย่างสุขสบาย จนลืมลูกและภรรยาทางบ้าน ลืมคำมั่นสัญญาที่ให้ไว้ว่าเดือนหกจะกลับบ้าน

                ส่วนลูกและภรรยาทางบ้านก็เฝ้าแต่รอคอยมาจนถึงเดือนเจ็ด รอวันรอคืน ก็ไม่มีวี่แววว่าสามีจะกลับสักที ข่าวคราวสามีก็ไม่เคยส่งให้ทราบเลยว่าเป็นตายร้ายดีอย่างไร จึงได้ปรึกษาหารือญาติผู้ใหญ่ว่า สงสัยว่าสามีของแกจะตายไปแล้วจริง ๆ นี่เดือนเจ็ดแล้วยังไม่กลับ อีกอย่างหนึ่งที่สามีสั่งไว้ว่าถ้าถึงเดือนหกไม่กลับก็ให้ทำบุญไปให้ด้วย...จึงได้นัดญาติพี่น้องให้มารวมกันเพื่อทำบุญให้สามีของแกในวันแรมสองค่ำ เดือนเจ็ด  ฝ่ายสามีของแก ที่ไปทำงานจนได้ดิบได้ดีตกถังข้าวสารได้ครอบครัวใหม่อยู่ที่อยุธยา อยู่ดีมีความสุขจนลืมคิดถึงคำมั่นสัญญาที่ให้ไว้กับครอบครัว เวลาผ่านไปหนึ่งปีแกเพิ่งจะฝันถึงทางบ้านเมื่อคืนนี้เองว่า..ภรรยาและญาติพี่น้องที่จังหวัดร้อยเอ็ดทำบุญไปให้ตนซึ่งมีอาหารคาวเท่านั้นอย่างและ มีอาหารหวานเท่านั้นอย่าง ในฝันแกกินอย่างอิ่มหนำสำราญ พอรุ่งเช้าของวันใหม่แกก็รู้สึกอิ่มเหมือนได้กินข้าวปลาอาหาร แกอิ่มอกอิ่มใจ อิ่มปากอิ่มท้อง โดยที่แกไม่ได้กินข้าวไม่ได้กินน้ำ อยู่ถึง ๗ วันเต็มๆ เมื่อความแปลกประหลาดเกิดขึ้นกับแก แกก็เริ่มทบทวนเรื่องอดีต แล้วแกก็นึกขึ้นได้ว่า ก่อนที่จะมาจากร้อยเอ็ดได้ให้คำมั่นสัญญาไว้กับทางบ้านว่า จะกลับบ้านภายในเดือนหก ถ้าไม่กลับให้ถือว่าตายแล้ว ให้ทางบ้านทำบุญไปให้ด้วย เมื่อแกคิดได้ ก็หาทางกลับบ้านทันที เมื่อแกมาถึงจังหวัดร้อยเอ็ด เข้าถึงบ้านญาติพี่น้องต่างพากันร้องห่มร้องไห้ ต่อว่าต่อขานแกสารพัด ภรรยาแกบอกว่าเพิ่งทำบุญให้เมื่อแรมสองค่ำเดือนเจ็ดตามที่แกสั่งไว้นี่เอง  ฝ่ายสามีแกก็เล่าความเป็นมาเป็นไปสารภาพผิดกับภรรยาและลูก แล้วแกก็เล่าเรื่องแปลกประหลาดของแกเองที่อิ่มข้าวอิ่มน้ำในวันดังกล่าวนั้น ซึ่งก็ตรงกันกับวันที่ภรรยาและญาติพี่น้องทำบุญอุทิศส่วนกุศลไปให้แกนั่นเอง จึงเป็นสิ่งบอกเหตุให้แกต้องเดินทางกลับบ้านในครั้งนี้...

                หลวงปู่สมชายบอกว่า เรื่องนี้เป็นเรื่องจริงที่เหลือเชื่อ แต่ก็เกิดขึ้นแล้วกับญาติของหลวงปู่เอง ที่ได้รับอานิสงส์จากการทำบุญอุทิศไปให้จากภรรยาของแก ทั้งๆ ที่แกยังไม่ตาย จึงเรียกว่าอิ่มทิพย์ แกอิ่มทิพย์โดยที่ไม่ต้องกินข้าวปลาอาหารอยู่ถึง ๗ วันดังกล่าว

พ.ศ.๒๔๙๗
จำพรรษาที่วัดป่าอรัญญวิเวก (บ้านหนองโต่งโต้น)
อำเภอหนองสูง จังหวัดมุกดาหาร

                หลวงปู่สมชาย ฐิตวิริโย ได้เดินทางกลับไปเยี่ยมบ้านเกิดเพื่อทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้กับญาติที่ล่วงลับไป  เมื่อเสร็จจากการทำบุญแล้วหลวงปู่ก็บอกลาญาติพี่น้องออกเดินทางกลับมายังวัดบ้านหนองโต่งโต้นอีกครั้งหนึ่ง เพื่ออธิษฐานพรรษาร่วมกับพระภิกษุสามเณรที่จัดเตรียมสถานที่รออยู่ก่อนแล้ว พ.ศ.๒๔๙๗ ก็ได้จำพรรษาอยู่ที่วัดอรัญญวิเวก อำเภอหนองสูง จังหวัดมุกดาหาร๑ พรรษา ในพรรษานี้มีพระภิกษุสามเณร ๑๔ รูป คือ

                ๑. หลวงปู่สมชาย ฐิตวิริโย เป็นหัวหน้า

                ๒. หลวงปู่มุล ธมฺมวีโร ๓. หลวงปู่พรหมา ๔. ครูบาสุดใจ ๕. ครูบาสวรรค์ ๖. ครูบาหนูเทพ 

                ๗. สามเณรไสว ๘. สามเณรสุดใจ ๙. สามเณรทองม้วน ๑๐. สามเณรบุญเถิง ๑๑. สามเณรสี  ๑๒. สามเณรประไพ ๑๓. สามเณรทองเบ้า ๑๔. สามเณรบุญมา

                ตลอดพรรษาในปีนี้ หลวงปู่ ได้นำประพฤติปฏิบัติเหมือนกับที่อยู่บนภูเก้า ส่วนญาติโยมชาวบ้านนั้นก็เพิ่มจำนวนมากขึ้น เพราะมีความเลื่อมใสศรัทธาในข้อวัตรปฏิบัติของหลวงปู่ และพระภิกษุสามเณร

                พอออกพรรษาแล้วญาติโยมก็ได้จัดให้มีการทอดกฐินตามประเพณี รับกฐินเสร็จเรียบร้อย หลวงปู่จึงได้ถือโอกาสบอกลาญาติโยมเพื่อจะเดินทางไปหาสถานที่บำเพ็ญภาวนาแห่งใหม่ต่อไป ญาติโยมส่วนใหญ่ถึงกับร้องไห้อาลัยอาวรณ์ ด้วยความสงสารชาวบ้านหลวงปู่จึงได้ให้หลวงปู่มุล ธมฺมวีโร และหลวงปู่พรหมา กับสามเณรอีกสามรูป อยู่ฉลองศรัทธาญาติโยมต่อไปอีกระยะหนึ่ง ส่วนท่านและพระเณรรวม ๘ รูป ก็ได้ออกเดินทางเพื่อหาสถานที่บำเพ็ญต่อไป ในระหว่างทางนั้นก็ได้แวะไปกราบท่านพระอาจารย์คำ คมฺภีโร วัดสิลาวิเวก จังหวัดมุกดาหาร และได้พักอยู่ ๒-๓ คืน ก็กราบลาท่านพระอาจารย์คำ ออกเดินทางต่อมุ่งหน้าไปทางจังหวัดนครพนม

                การเดินทางของหลวงปู่สมชาย ฐิตวิริโย นั้นได้แบ่งเวลาดังนี้ คือ เดิน ๕๐ นาที พัก ๑๐ นาที ค่ำที่ไหนก็หาป่าช้าหรือวัดร้างพักผ่อนไปตลอดระยะทางในครั้งนี้เดินอยู่หลายวันก็มาถึงจังหวัดนครพนม และได้เข้าไปพักที่ป่าช้าบ้านหนองเค็ม เห็นว่าเป็นสถานที่วิเวกดี น่าบำเพ็ญ จึงได้พักอยู่ประมาณ ๒-๓ เดือน ตลอดระยะเวลาก็ได้พากันประกอบความเพียร มีการเดินจงกรม นั่งสมาธิกันมิได้ขาด หลวงปู่ได้อบรมทั้งพระภิกษุและสามเณรในเวลาค่ำด้วยการนำเอาหนังสือบุพพสิกขา
วรรณนาที่เกี่ยวกับพระวินัยของพระมาอธิบายให้ฟังทุกวัน จนพวกเราต่างเข้าใจในสิกขาบทต่างๆ ได้เป็นอย่างดี ส่วนในด้านญาติโยมนั้นหลวงปู่ก็ได้อบรมสั่งสอนแนะนำในเวลาที่ญาติโยมมาถวายอาหารเป็นประจำทุกวัน

                ในปีนี้อากาศหนาวจัดมากกว่าทุกปีที่ผ่านมา คนเฒ่าคนแก่ยังบ่นกันว่าภาคอีสานบ้านเราไม่เคยหนาวขนาดนี้เลย นับแต่เกิดมาก็เพิ่งจะเจอปีนี้ที่อากาศเย็นมาก ถึงขนาดนกหนาวตายเป็นจำนวนมาก ต้นกล้วยตามหมู่บ้านเหี่ยวเฉาเพราะไส้ต้นกล้วยเย็นเป็นน้ำแข็งตายกันทุกไร่เลยทีเดียว พระเณรทั้งหมดก็หนาวแทบทนไม่ไหว บางองค์เป็นตะคริวเกร็งแข็งไปหมดทั้งตัว หลวงปู่จึงได้ปรึกษาพระเณรว่าจะทำอย่างไรดี ผ้าห่มที่นอกเหนือไปกว่าจีวรก็ไม่มีแล้ว ถ้าไม่ได้ผ้าห่มมาเพิ่มเห็นทีจะแย่แน่ ครั้นจะไปแสวงหาบอกบุญกับญาติโยมหรือก็ไม่รู้จักใคร ยังไม่คุ้นเคยกับญาติโยมในท้องถิ่นนี้เท่าไรนัก อีกอย่างหนึ่งหลวงปู่ก็ไม่มีนิสัยที่จะไปบอกบุญหรือเที่ยวขอสิ่งของจากชาวบ้านอยู่แล้ว ในขณะที่ปรึกษากันอยู่ได้ไม่นานนั่นเอง ก็ได้มีญาติโยมกลุ่มหนึ่งนำผ้าห่มมาถวายเป็นจำนวนมาก สอบถามจึงได้ทราบว่า โยมผู้ชายชื่อว่า อาจารย์เชวง ศิริรัตน์ โยมผู้หญิงชื่อคุณนายทองพูน ศิริรัตน์ ซึ่งเป็นผู้ที่มีศรัทธาจัดหาผ้าห่มมาถวายพระภิกษุสามเณรตามวัดต่างๆ เพราะทราบดีถึงความจำเป็นที่อากาศหนาวจัดอย่างขณะนี้  ตั้งแต่บัดนั้นโยมทั้งสองท่านก็ได้ปวารณาตัวขอเป็นโยมอุปัฏฐากมาโดยตลอด แม้ภายหลังหลวงปู่มาอยู่จังหวัดจันทบุรีแล้ว คุณโยมอาจารย์เชวง และคุณนายทองพูน ศิริรัตน์ ก็ยังมีศรัทธาเดินทางมากราบเยี่ยมอย่างสม่ำเสมอ ในครั้งนั้นหลวงปู่ก็ ได้อยู่ภาวนาฉลองศรัทธาญาติโยมได้ประมาณ ๓ เดือนเศษ ก็ต้องอำลาญาติโยมเพื่อหาสถานที่บำเพ็ญแห่งใหม่ต่อไป (และปัจจุบันนี้สถานที่บำเพ็ญในครั้งนั้นก็ได้เกิดเป็นวัดป่าช้าบ้านหนองเค็มนั่นเอง)

บำเพ็ญธรรมที่ถ้ำพระภูวัว

                หลวงปู่สมชาย ฐิตวิริโย ท่านมักจะเล่าถวายพระเณรฟังอยู่เสมอๆ ว่าภูวัวเป็นสถานที่ที่ท่านได้รับธรรมมากที่สุดอีกแห่งหนึ่ง ภูวัวเป็นสถานที่ที่มีความสงบวิเวก อากาศดี น้ำท่าอุดมสมบูรณ์ สถานที่สำหรับหลบบำเพ็ญก็มีหลายแห่ง แต่สถานที่สำหรับโคจรบิณฑบาตนั้นออกจะลำบากไปสักหน่อย เพราะว่า หมู่บ้านอยู่ห่างไกลมากถึง ๗ กม. ทางเข้าออกก็ลำบาก สัตว์ร้ายก็ชุกชุมมาก ถ้าจะไปอยู่ที่นั้นต้องอุทิศชีวิตเพื่อพระศาสนากันเลยทีเดียว พระภิกษุสามเณรทุกองค์เมื่อได้ยินได้ฟังแล้วก็เกิดความอยากจะสัมผัสกับสถานที่แห่งนี้กันทุกรูป อยากจะบำเพ็ญภาวนาตั้งแต่ยังไม่เห็นสถานที่กันเลยทีเดียว และทุกองค์ก็พร้อมที่จะอุทิศชีวิตเพื่อปฏิบัติบูชา เหมือนอย่างที่หลวงปู่ได้เล่าให้ฟัง เมื่อท่านเห็นว่าพระเณรอยากไปภูวัวกันทุกรูป ไม่มีรูปไหนที่ไม่อยากไป เมื่ออำลาญาติโยมเรียบร้อยแล้ว พระภิกษุสามเณรก็ได้จัดเตรียมสมณบริขารเท่าที่จำเป็นเพื่อออกเดินทางมุ่งหน้าไปภูวัว หาสถานที่บำเพ็ญ เพื่อความเจริญก้าวหน้าทางด้านสมาธิจิตต่อไป ในครั้งนี้อาจารย์เชวง และคุณนายทองพูน ศิริรัตน์ พร้อมทั้งญาติโยมชาวบ้านจำนวนมากได้ติดตามไปส่งถึงท่าเรือ ในครั้งนี้หลวงปู่ได้นำพาหมู่คณะเดินทางโดยทางเรือ ผ่านมาทางอำเภอศรีสงคราม อำเภอบ้านแพง ถึงอำเภอบ้านแพงเวลาบ่าย ๕ โมงเย็นพอดี จึงได้เข้าไปพักที่ป่าช้าริมทางข้างที่ว่าการอำเภอบ้านแพง พอไปถึงไม่ทราบว่าญาติโยมมาจากไหนกันมากมาย มาต้อนรับพูดคุยสนทนาเป็นกันเองดีมาก ต่อจากนั้นหลวงปู่จึงได้ให้พระเณรแยกย้ายกันหาที่พักในป่าช้าบ้านแพงนั้น พักอยู่ ๑ คืน รุ่งเช้าออกบิณฑบาตฉันภัตตาหารเสร็จเรียบร้อยแล้ว ก็อำลาญาติโยมออกเดินทางต่อ และตั้งใจว่าจะเดินทางให้ถึงภูวัวในวันนี้ ได้เดินทางกันตลอดทั้งวันแทบไม่ได้พักกันเลยทีเดียว จนกระทั่งเวลาเย็นมากแล้วก็มาถึงบ้านโพธิ์หมากแข้ง ซึ่งอยู่ใกล้ๆ กับภูลังกา พักอยู่ที่นี้ ๑ คืน รุ่งเช้าเสร็จภัตกิจแล้วก็ออกเดินทางต่อ หลวงปู่ได้พาเดินลัดเลาะไปตามบึงโขงหลง แล้วก็ผ่านมาถึงบ้านต้อง บ้านดอนเสียด ได้มีญาติโยมออกมาให้การต้อนรับและติดตามไปส่งถึงภูวัว และตั้งใจว่าจะไปปักหลักบำเพ็ญที่ถ้ำพระ
                ถึงถ้ำพระแล้วก็แยกย้ายกันออกหาสถานที่กางกลด ไม่ให้อยู่รวมกันเป็นกลุ่ม ให้มุ่งภาวนากันจริงๆ จะมารวมกันได้ก็ตอนเช้าเวลาฉัน เวลาเดียวเท่านั้น สำหรับเรื่องอาหารการขบฉันนั้นก็ได้มีญาติโยมชาวบ้านนำข้าวสารขึ้นมาไว้ให้สามเณรเป็นผู้เก็บรักษา และสามเณรนั้นก็มีหน้าที่ในการจัดภัตตาหารเพื่อถวายในตอนเช้าเป็นประจำทุกวัน เว้นไว้แต่วันไหนที่มีญาติโยมขึ้นมาบำเพ็ญด้วยก็เป็นหน้าที่ของญาติโยมเป็นผู้จัดทำ ส่วนกับข้าวนั้นก็มีเกลือและพริกแห้งเป็นอาหารหลักประจำวัน บางวันสามเณรก็ต้องจัดหาอาหารเสริม ได้แก่ข่าป่า หวายอ่อน หรือผักหนาม ซึ่งเป็นอาหารประเภทผักป่าพอหาได้ตามลำธารบนภูวัวนั้น แล้วนำมาต้มรวมกันกับข้าว ส่วนวิธีการหุงข้าวต้มผักนั้น สามเณรจะต้องใช้ข้าวเพียงวันละหนึ่งแก้วต่อพระเณรสิบกว่ารูป แล้วก็ใส่ผักหนาม หัวข่าป่า หรือหวายอ่อนให้มากๆหน่อย ถ้าใช้ข้าวสารเกินกว่าหนึ่งแก้วแล้ว ข้าวสารจะหมดก่อนกำหนด คือ ๑๕ วัน ญาติโยมชาวบ้านจะนำข้าวสารขึ้นมาส่งครั้งหนึ่งเท่านั้น เมื่อสามเณรหุงหาเสร็จเรียบร้อยแล้วก็ตีระฆังให้สัญญาณนิมนต์พระที่ท่านภาวนาอยู่ตามสถานที่ต่างๆ ให้มารวมพร้อมกันเพื่อฉันภัตตาหาร

                ในครั้งนี้ได้บำเพ็ญอยู่ที่ภูวัวประมาน ๓ เดือน ตลอดระยะเวลา ๓ เดือน ญาติโยมชาวบ้านดอนเสียด และบ้านต้อง ก็ได้ผลัดเปลี่ยนกันนำข้าวสาร พริกแห้ง เกลือ มาส่งทุกๆ ๑๕ วันต่อ ๑ ครั้ง ครั้งหนึ่งจะได้ข้าวสารประมาณครึ่งถัง จะให้ดีหรือให้มากไปกว่านี้ก็ไม่ได้เพราะความยากจนของชาวบ้านที่เพิ่งเข้ามาสร้างบ้าน ครอบครัวกันใหม่ๆ แต่ทุกคนก็ทำด้วยความเลื่อมใสศรัทธาอย่างจริงใจและจริงจัง อีกทั้งเส้นทางที่จะนำของขึ้นไปส่งก็ลำบากมาก และเสี่ยงอันตรายนานาชนิด ผู้ที่จะนำเสบียงไปส่งจะต้องเป็นชายวัยฉกรรจ์และต้องมีความชำนาญป่าจริงๆ ทางขึ้นภูวัวสมัยนั้นก็ไม่เหมือนสมัยนี้ต้องปีนป่ายเถาวัลย์ไต่ขึ้นไปตามหน้าผาที่สูงชัน โดยเอาเสบียงทั้งหมดมัดติดกับหลังไม่ให้หลุดได้ ถ้าหากพลาดท่าเสียทีก็หมายถึงชีวิตกันเลยทีเดียว ถ้าไม่มีความเลื่อมใสศรัทธาหรือไม่มีความทรหดอดทนจริงๆ จะไปไม่ได้เลย การบำเพ็ญภาวนาของพระภิกษุสามเณรก็รู้สึกว่าเป็นไปได้ดีมาก ทุกท่านทุกองค์ตั้งหน้าตั้งตาประพฤติปฏิบัติอย่างเอาจริงเอาจัง ทั้งกลางวันกลางคืนแทบจะไม่ได้พักผ่อนกันเลยทีเดียว แต่พอมานึกถึงความลำบากของญาติโยมที่จะต้องคอยส่งเสบียงแล้วก็รู้สึกสงสารเห็นใจญาติโยมชาวบ้าน ในครั้งนี้อยู่ได้ประมาณ ๓ เดือนจึงได้ลงจากภูวัว

                หลวงปู่สมชาย ได้นำหมู่คณะลงมาจากภูวัวแล้วก็ได้พาไปกราบคารวะหลวงปู่ฝั้น อาจาโร ที่วัดป่าอุดมสมพร แต่ไปไม่พบ ทราบว่าท่านไปบำเพ็ญที่ถ้ำขาม หลวงปู่จึงได้พาคณะออกเดินทางต่อไปจนถึงถ้ำขามได้กราบนมัสการหลวงปู่ฝั้น ได้อยู่ฟังธรรมและปฏิบัติอยู่กับท่านที่ถ้ำขามประมาณ ๑๕ วัน จึงได้กราบลาหลวงปู่ฝั้นเพื่อไปหาสถานที่บำเพ็ญภาวนาทางอำเภอวานรนิวาส จังหวัดสกลนครโดยพักอยู่ที่วัดอรัญญวิเวก บ้านกุดเรือใหญ่ ได้ระยะหนึ่งก็มาพักที่วัดอรัญญวาส บ้านกุดเรือน้อย ซึ่งอยู่ใกล้ๆ กัน จากนั้นก็ได้ออกเดินทางต่อเพื่อแสวงหาที่วิเวก

พ.ศ.๒๔๙๘
จำพรรษาที่ป่าช้าบ้านหนองท่มท่ากะดัน
อำเภอบ้านม่วง จังหวัดสกลนคร

                ในปี พ.ศ.๒๔๙๘ ภายหลังจากได้กราบลาหลวงปู่ฝั้น ลงมาจากถ้ำขามแล้ว หลวงปู่ก็ได้นำพาหมู่คณะมุ่งหน้าไปทางอำเภอวานรนิวาส ได้ไปพักอยู่ที่บ้านหนองแอก บ้านหนองท่มท่ากะดัน และบ้านดงหม้อทอง ได้สับเปลี่ยนที่บำเพ็ญระหว่างสามหมู่บ้านนี้มาเรื่อยๆ จนใกล้จะถึงเวลาเข้าพรรษา จึงได้ตกลงใจพาหมู่คณะไปจำพรรษาที่ป่าช้าบ้านหนองท่มท่ากะดัน ท่านพระอาจารย์จวน กุลเชฏฺโฐ ได้มาจำพรรษาที่บ้านดงหม้อทอง และท่านพระอาจารย์สุภาพ ธมฺมปญฺโญ ก็ได้มาจำพรรษาที่บ้านหนองแอก หลวงปู่สมชาย จำพรรษาที่ป่าช้าบ้านหนองท่มท่ากะดัน ทั้งสามหมู่บ้านนี้อยู่ไม่ห่างไกลกันนัก พอถึงวันอุโบสถหนึ่งๆ ครูบาอาจารย์ท่านก็ได้มารวมกันสวดปาติโมกข์หมุนเวียนปักข์ละแห่ง คือ ปักข์นี้ที่ดงหม้อทอง ปักข์หน้าที่หนองแอก ปักข์ต่อไปที่หนองท่มท่ากะดัน เป็นเช่นนี้ตลอดพรรษา และก็ได้สนทนาแลกเปลี่ยนถึงเรื่องอุบายวิธีการปฏิบัติระหว่างกันและกันเป็นประจำตลอดฤดูกาลพรรษา

                ป่าช้าบ้านหนองท่มท่ากะดันสมัยนั้นมีสภาพเป็นป่าแฝก ต้นไม้ใหญ่ๆ ก็มีอยู่อย่างหนาแน่น สัตว์ป่า เก้ง กวาง ก็ชุกชุมและเชื่องมากไม่ค่อยกลัวคน ตกกลางคืนมักจะมานอนใต้ถุนกุฏิพระ ทุกๆ เช้าใต้ถุนกุฏิจะมีทั้งรอยเสือ รอยเก้ง รอยกวาง เต็มไปหมด สมัยนั้นเสือยังชุกชุมมาก จึงได้ช่วยกันปลูกกุฏิทีเดียว ๑๔ หลัง พระเณรได้ช่วยกันบูรณะพัฒนาสภาพ ป่าช้าให้โล่งโปร่ง อากาศถ่ายเทได้สะดวก จะได้ไม่เป็นที่หลบซ่อนของสัตว์ร้าย และทำให้สะดวกในการบำเพ็ญสมณธรรมยิ่งขึ้น ตลอดพรรษาพระเณรทุกองค์ได้เร่งทำความเพียรกันทั้งกลางวันและกลางคืน ตอนกลางวันหลวงปู่ก็ได้นำหนังสือบุพพสิกขาวรรณนา ซึ่งเป็นหนังสือเกี่ยวกับพระวินัยมาอ่านถวายความรู้แก่พระภิกษุสามเณรเป็นประจำทุกวันตลอดพรรษา เป็นข้อวัตรที่ปฏิบัติตลอดมาเหมือนกันทุกแห่งที่เคยอยู่จำพรรษามา ในวันพระ ๘ ค่ำ ๑๕ ค่ำ ท่านก็ต้องเป็นภาระอบรมสั่งสอนชาวบ้านที่มารักษาศีลฟังธรรม โดยท่านอบรมด้วย  นำปฏิบัติภาวนาด้วย พอตอนกลางคืนพระ เณร เดินจงกรมหรือนั่งสมาธิก็ต้องคอยระมัดระวังเสือให้ดี เพราะไม่รู้ว่ามันจะแอบมาคาบไปเมื่อไร กุฏิหลังไหนที่เห็นว่าจะเป็นทางผ่านของเสือ ซึ่งอาจจะเป็นอันตรายแก่พระเณรแล้ว หลวงปู่สมชายท่านจะต้องไปอยู่กุฏิหลังนั้น เพื่อคอยระมัดระวังอันตรายอันจะเกิดขึ้นกับหมู่คณะ และให้พระเล็กเณรน้อยอบอุ่นใจมากขึ้น ท่านมีนิสัยรักหมู่คณะตลอดมา สิ่งไหนที่ไม่ดีหรืออาจจะเป็นอันตรายแก่หมู่คณะหรือครูบาอาจารย์ท่านก็จะขอรับเสียเองก่อน ก่อนที่อันตรายนั้นจะไปถึงหมู่คณะหรือครูบาอาจารย์

                ได้พักบำเพ็ญที่ป่าช้าบ้านหนองท่มท่ากะดัน ๑ พรรษา พอออกพรรษาแล้วก็ได้อำลาญาติโยมผู้ให้การอุปถัมภ์ มีสารวัตรแสน-พ่อออกอาจารย์ลี พ่อออกอาจารย์บุญ และแม่ออกนา เป็นต้น เสร็จแล้วก็ออกเดินทางมุ่งหน้าไปทางอำเภอโพนพิสัย จังหวัดหนองคาย ผ่านบ้านหนองยอง บ้านหนองเข็ง จนกระทั่งถึงริมฝั่งโขง และถึงบ้านโพนแพง ในช่วงนั้นพอดีตรงกับงานนมัสการรอยพระบาทเรียกกันว่า รอยพระบาทบ้านโพนแพง จึงได้พากันเข้าไปนมัสการรอยพระบาทก่อนออกเดินทางต่อ เห็นมีประชาชนเดินทางไปนมัสการกันเป็นจำนวนมากไม่ขาดระยะ เพราะเชื่อกันว่าเป็นรอยพระบาทที่ศักดิ์สิทธิ์มาก สำหรับฝั่งตรงข้ามคือด้านประเทศลาว ก็มีรอยพระบาทอย่างเดียวกันนี้อีกหนึ่งรอย เรียกกันว่า รอยพระบาทบ้านโพนสัน ก็เชื่อกันว่าเป็นของจริงและศักดิ์สิทธิ์อีกเช่นกัน ในสมัยนั้นจึงเป็นธรรมเนียมที่ว่าเมื่อนมัสการรอยพระบาทบ้านโพนแพงแล้ว ก็ต้องข้ามไปนมัสการรอยพระบาทบ้านโพนสันทางฝั่งลาวด้วย จึงจะถือว่าเป็นสิริมงคลอย่างยิ่งทีเดียว 

มุ่งสู่นครเวียงจันทน์

                ภายหลังจากที่ได้ไปกราบนมัสการรอยพระบาทบ้านโพนแพงแล้ว หลวงปู่ก็ได้พาข้ามไปทางฝั่งลาว เพื่อนมัสการรอยพระบาทบ้านโพนสันอีกครั้งหนึ่ง ที่บ้านโพนสันนี้มีพระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์อยู่องค์หนึ่ง หลวงปู่จึงได้ลองยกเพื่อเสี่ยงทายว่า คณะของท่านทั้งหมดจะได้เดินทางไปถึงนครเวียงจันทน์หรือไม่ .แล้วท่านก็ได้ลองยกองค์พระ ปรากฏว่ายกขึ้นได้เพียงคืบเดียวก็กลับหนักและยกไม่ขึ้นอีกเลย จะลองยกอีกเท่าไรก็ยกไม่ขึ้น ซึ่งเป็นเรื่องแปลกมาก

                ต่อจากนั้นหลวงปู่สมชาย ก็ได้พาหมู่คณะพระเณรออกเดินทางมุ่งตรงไปยังนครเวียงจันทน์ วันนั้นเดินได้ประมาณ ๕ กม. ก็บังเอิญมีรถยนต์ผ่านมา คนขับได้จอดรถแล้วลงมาถามว่า พระคุณเจ้าจะเดินทางไปที่ไหน ? หลวงปู่ตอบว่า อาตมาและคณะมีความประสงค์ที่จะเดินทางไปยังนครเวียงจันทน์  เจ้าของรถคันนั้นจึงได้กราบนิมนต์ให้ขึ้นรถ เพราะว่ากำลังจะไปนครเวียงจันทน์พอดี จึงนับว่าเป็นโชคของคณะเป็นอย่างยิ่ง หลวงปู่จึงได้สั่งให้นำบริขารขึ้นรถ เมื่อรถวิ่งไปถึงนครเวียงจันทน์แล้ว หลวงปู่ก็ได้บอกให้คนขับรถช่วยไปส่งที่วัดจอมไตร บ้านดงนาซก คนขับก็ช่างมีน้ำใจ ได้นำหลวงปู่และคณะไปถึงยังวัดจอมไตรด้วยความเรียบร้อยเป็นอย่างดี เมื่อไปถึงวัดจอมไตรแล้ว ก็ได้มีพระเจ้าของถิ่นออกมาให้การต้อนรับเป็นอย่างดี แต่แปลกที่ว่า พระที่วัดนี้มีแต่หลวงพ่อ หลวงตา อายุมากๆ กันทั้งนั้น จึงได้เข้าไปกราบ ท่านพระอาจารย์อ่อนสี ซึ่งเป็นเจ้าอาวาส เสร็จแล้วจึงแยกย้ายกันไปสู่ที่พักที่ทางเจ้าอาวาสสั่งให้สามเณรพาไปส่ง วัดจอมไตรเป็นวัดคณะธรรมยุตที่มีชื่อเสียงในประเทศลาว แต่มีพระเณรไม่มากนัก มีหลวงพ่อลิด-หลวงพ่อลา-หลวงพ่อหอม-หลวงพ่อคิ้ม และสามเณรอีก ๔-๕ รูปเท่านั้น ในระหว่างนั้นท่านพระอาจารย์อ่อนสี ได้อาพาธเป็นวัณโรคเรื้อรังชนิดร้ายแรงอยู่ในระหว่างอันตราย หลวงปู่จึงได้มีโอกาสช่วยรักษาพยาบาล บางครั้งก็ต้องข้ามกลับมาซื้อยาที่กรุงเทพฯนำไปรักษา แต่อาการก็ไม่ทุเลาลงเพราะอยู่ในขั้นหนักมากแล้ว หลวงปู่สมชาย ก็ได้ให้การดูแลรักษาพยาบาลเป็นอย่างดีจนถึงที่สุด ท่านพระอาจารย์อ่อนสี ก็ได้มรณภาพในเวลาต่อมา คือในปี พ.ศ. ๒๔๙๙

                บรรดาพระภิกษุสามเณร และญาติโยมชาวบ้านตลอดทั้งบุคคลชั้นนำของประเทศ ก็ได้มีมติให้หลวงปู่ สมชาย เป็นประธานดำเนินงานจัดการเรื่องศพของท่านพระอาจารย์อ่อนสี เมื่อได้จัดบำเพ็ญกุศลตามประเพณีพอสมควรแก่เวลาแล้วจึงได้จัดงานถวายเพลิงศพอีกครั้งหนึ่ง ซึ่งเป็นงานที่ยิ่งใหญ่และสมเกียรติที่สุด

                เมื่อได้จัดการถวายเพลิงศพท่านพระอาจารย์อ่อนสีเสร็จเรียบร้อยแล้ว ท่านก็ตั้งใจว่าจะนำพาหมู่คณะหาสถานที่วิเวกในเมืองลาวเพื่ออยู่บำเพ็ญต่อไปเรื่อยๆ แต่พอพระภิกษุสามเณรและประชาชนชาวบ้านได้ทราบว่าท่านจะเดินทางต่อ ก็พร้อมใจกันมาขอนิมนต์ให้ท่านเป็นประธานบริหารวัดจอมไตร และคณะสงฆ์ธรรมยุตทั้งหมดในประเทศลาวแทนท่านพระอาจารย์อ่อนสี เพราะว่าคณะสงฆ์และประชาชนมีความเลื่อมใสศรัทธาต่อข้อวัตรปฏิบัติ และพอใจในความรู้ความสามารถของท่านเป็นอย่างยิ่ง หลวงปู่สมชายพร้อมด้วยคณะของท่านจึงได้อยู่ที่วัดจอมไตรเพื่อฉลองศรัทธาพระภิกษุสามเณรและประชาชนต่อมาอีกระยะหนึ่ง ในระหว่างนั้นก็ได้นำพาพัฒนาก่อสร้างถาวรวัตถุไว้ที่วัดจอมไตรเป็นจำนวนมาก เช่น ได้สร้างอุโบสถ ๑ หลัง ศาลาการเปรียญ ๑ หลัง กุฏิคอนกรีตอีกหลายหลัง ซึ่งทั้งอุโบสถและศาลาการเปรียญ เป็นงานที่ท่านพระอาจารย์อ่อนสี ทำค้างไว้ยังไม่ทันเสร็จก็มาล้มป่วยลง และได้สร้างส้วมซึมอีกสิบกว่าห้อง ได้เปลี่ยนจากระบบส้วมปล่อย (หรือเวจกุฎี)ซึ่งมีอยู่ทั่วไปตามวัดต่างๆ ในประเทศลาวให้มาใช้ส้วมซึมทั้งหมด ซึ่งเป็นการพัฒนาด้านสุขอนามัยของวัดและบ้านให้ดีขึ้น

พ.ศ. ๒๔๙๙
จำพรรษาที่วัดจอมไตร
บ้านดงนาซก นครเวียงจันทน์ สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว

                เมื่อฤดูกาลพรรษามาถึงก็ได้อธิษฐานจำพรรษาที่วัดจอมไตรในปี พ.ศ. ๒๔๙๙ ในระหว่างพรรษาท่านก็ได้นำระเบียบอันดีงามที่เคยใช้สมัยอยู่ในประเทศไทยไปเผยแพร่ในประเทศลาว เช่น ตอนกลางวันให้พระเณรทุกองค์มาประชุมกันแล้วท่านเป็นผู้อ่านหนังสือบุพพสิกขาวรรณนา พร้อมทั้งได้อธิบายถึงหัวข้อธรรมวินัยให้เข้าใจแล้วนำไปปฏิบัติกันให้ถูกต้อง เช้าและเย็นให้มีการทำวัตรสวดมนต์เป็นประจำวัน สลับกับการบำเพ็ญภาวนา เวลาบ่ายสามโมงให้มีการทำความสะอาดปัดกวาดบริเวณวัด ตอนกลางคืนหลังจากทำวัตรค่ำแล้ว ให้มีการเดินจงกรมและนั่งสมาธิกันทุกคืน   

                ส่วนทางด้านญาติโยมท่านก็ได้เทศนาอบรมสั่งสอนทุกวันธรรมสวนะ ให้มีการรักษาอุโบสถศีลทุกวันอุโบสถ และอบรมสั่งสอนให้รู้จักทำความสงบจิตใจด้วยการฝึกสมาธิกันเป็นประจำ ญาติโยมส่วนใหญ่ที่มาให้การสนับสนุนในสมัยนั้นล้วนแต่เป็นบุคคลชั้นนำของประเทศ เช่น เจ้าสาย เจ้าคำแสน เป็นต้น การเผยแพร่พระพุทธศาสนาในประเทศลาวในครั้งนั้นเป็นไปได้ดีมากพอสมควร จนเป็นที่เชื่อถือของพระภิกษุสามเณรและประชาชนในประเทศลาวเป็นจำนวนมาก ทางด้านพระสงฆ์ในประเทศลาวก็ได้หันเข้ามาเคร่งครัดต่อระเบียบวินัยเพิ่มขึ้น ประชาชนชาวบ้านเห็นพระภิกษุสามเณรมีสิกขาวินัยดีกว่าแต่ก่อนมาก ก็หันเข้ามาให้ความสนับสนุนอุปถัมภ์บำรุงเป็นอย่างดี

                พอออกพรรษาในปีพ.ศ. ๒๔๙๙ นั้นแล้ว ท่านพระอาจารย์ก็ได้นำพาหมู่คณะพระเณรที่ไปจากเมืองไทยทั้งหมดออกไปหาสถานที่วิเวก เพื่อเปิดโอกาสให้พระเณรเปลี่ยนสถานที่ในการบำเพ็ญ ท่านได้พาไปถึงภูเขาควาย ซึ่งเป็นภูเขาที่สูงใหญ่ที่สุดในประเทศลาว และมีความสงบวิเวกยอดเยี่ยมที่สุด เปลี่ยนจากภูเขาควาย ก็ไปที่ ภูเขาโนนสาวเอ้ ภูหอ ภูโฮง ไปถึงวัดปากแฮด วัดบ้านนาเดื่อ บ้านดูนน้อย ภูเขาหินคันนา คอกม้า หมาเห่าเต่า และอีกหลายๆ สถานที่ ที่เหมาะแก่การบำเพ็ญสมณธรรมท่านได้พาไปเกือบหมด ไปจนถึงบ้านตลิ่งชัน บ้านน้ำงึม บ้านเกิน เมืองกุละคม เป็นต้น ไปจนเกือบจะได้เวลาเข้าพรรษาปีพ.ศ.๒๕๐๐ จึงได้หวนกลับมาเตรียมตัวเพื่อจำพรรษาที่วัดจอมไตร บ้านดงนาซก อีกครั้งหนึ่งซึ่งเป็นพรรษาที่สอง 

พ.ศ. ๒๕๐๐
จำพรรษาที่วัดจอมไตร
บ้านดงนาซก นครเวียงจันทน์ สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว
(พรรษาที่ ๒)

                เนื่องจากพรรษาแรกหลวงปู่สมชายได้ปลูกฝังศรัทธาญาติโยมไว้เป็นอย่างดีแล้ว ด้วยการประพฤติดีปฏิบัติชอบ สร้างสรรค์และนำพาทั้งด้านธรรมและวัตถุ เป็นที่ประจักษ์แก่สายตาของบุคคลทั่วไป เมื่อมีฝ่ายสนับสนุนก็มีฝ่ายขัดขวาง ตลอดพรรษาได้มีประชาชนชาวบ้านทุกระดับชั้นมาทำบุญที่วัดจอมไตรกันเป็นจำนวนมากเป็นประวัติการณ์อย่างไม่เคยมีมาก่อน จนกระทั่งวัดในนครเวียงจันทน์จำนวนหลายวัดนั้นไม่ค่อยมีญาติโยมไปทำบุญหรือสนับสนุนเหมือนแต่ก่อน หันมาสนับสนุนที่วัดจอมไตรกันจนเกือบหมด จึงเป็นเหตุให้พระเณรวัดอื่นๆ ตั้งข้อรังเกียจ หาทางโจมตีให้ร้ายทุกวิถีทาง คอยยุแหย่ให้ชาวบ้านรังเกียจ และไม่ให้ชาวบ้านไปทำบุญที่วัดจอมไตร โดยกล่าวหาว่า เป็นพระปลอมบ้างเป็นพระคอมมิวนิสต์บ้าง เป็นไส้ศึกจากเมืองไทยบ้าง สุดแล้วแต่เขาจะว่ากัน บางครั้งเขาแจ้งตำรวจให้มาจับไปสอบสวน

                ในพรรษานี้ไม่ค่อยสงบเหมือนพรรษาแรกเท่าไรนัก เพราะว่าเป็นช่วงที่ประเทศลาวเริ่มเปลี่ยนแปลงระบบการปกครองจากระบอบประชาธิปไตยซึ่งมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขของชาติ และมีศาสนาพุทธเป็นศาสนาประจำชาติ ให้ไปเป็นระบบสังคมนิยมคอมมิวนิสต์ ซึ่งไม่มีกษัตริย์ ไม่มีศาสนาให้เสมอภาคกันทั้งหมด พระสงฆ์ในเมืองลาวทั้งหมดจึงถูกใช้เป็นเครื่องมือในการทำงานของพวกเขา พระสงฆ์ถูกเปลี่ยนระบบจากเคยมีระเบียบวินัย มีสิกขาบทต่างๆ เป็นเครื่องควบคุม เป็นพระสงฆ์ที่ไม่มีสิกขาวินัยทั้งหมด โดยหลงเชื่องมงายกับพวกเขา ซึ่งเขาพยายามกล่าวว่าสิกขาวินัยนั้นไม่มีประโยชน์เป็นเรื่องยุ่งยากลำบากต่อการรักษา จะทำอะไรตามใจชอบก็ไม่ได้ ถ้าไม่ถือสิกขาวินัยแล้วก็สบายจะทำอะไรก็ได้ไม่ผิด พระสงฆ์ส่วนใหญ่ก็เอียงคล้อยตามเป็นจำนวนมาก แล้วหันเข้าโจมตีพวกเดียวกันที่รักษาสิกขาวินัยว่าเป็นพวกงมงายไร้สาระ และอื่นๆ อีกมากมาย แต่สรุปแล้วก็มีไม่มากนักสำหรับฝ่ายที่ต่อต้านโจมตี ส่วนใหญ่แล้วล้วนมีความเลื่อมใสศรัทธาคอยเป็นกำลังช่วยสนับสนุน แต่ถึงอย่างไรเหตุการณ์ก็ไม่สงบเท่าไรนัก  

                พอออกพรรษาแล้วหลวงปู่สมชาย ท่านจึงได้นำพาหมู่คณะทั้งหมดข้ามกลับมาทางฝั่งไทย และก็ได้เดินหาสถานที่วิเวกมาเรื่อยๆ ได้มาพักอยู่ที่วัดป่าศรัทธารวม จังหวัดนครราชสีมา พอดีในช่วงนั้นทางรัฐบาลไทยได้จัดให้มีงานทำบุญฉลองสมโภช ครบ ๒๕๐๐ ปี หรือ ๒๕ พุทธศตวรรษ พอออกจากวัดป่าศรัทธารวม ก็ผ่านไปทางอำเภอโนนสูง บ้านดอนใหญ่ บ้านเดิ่น บ้านหัวหนอง และวนเวียนหาสถานที่ภาวนาอยู่แถบนั้นเป็นเวลาหลายเดือน

ถูกนิมนต์กลับประเทศลาวอีกครั้งหนึ่ง

                ในระหว่างที่กำลังสนุกเพลิดเพลินอยู่กับการบำเพ็ญภาวนาในแถบจังหวัดนครราชสีมานั้น ก็ต้องมีเหตุจำเป็นที่จะต้องเดินทางกลับไปยังประเทศลาวอีกครั้งหนึ่ง กล่าวคือภายหลังจากได้ข้ามออกมาจากประเทศลาวแล้ว ประเทศลาวก็ได้เปลี่ยนแปลงระบบการปกครองจากประชาธิปไตยโดยมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข เป็นระบบสังคมนิยมคอมมิวนิสต์อย่างเต็มตัว สถาบันพระมหากษัตริย์ถูกทำลายล้าง สถาบันศาสนากำลังถูกย่ำยี พระสงฆ์ดีๆ ที่มีความเคร่งครัดทางเรื่องสิกขาวินัย ถูกต่อต้านขับไล่ให้ออกจากประเทศ บางองค์ก็ถูกนำไปสัมมนาชนิดไม่ต้องกลับมาเหยียบแผ่นดินอีกต่อไปก็มีพระที่เลวๆ ย่อหย่อนต่อพระธรรมวินัยถูกยกย่องสรรเสริญว่าเป็นพระดี ทั้งนี้ก็เพื่อเขาต้องการให้ชาวบ้านเบื่อหน่ายต่อการประพฤติปฏิบัติของพระสงฆ์ หรือเพื่อทำลายล้างสถาบันศาสนาทางอ้อมนั่นเอง

                คณะผู้บริหารบ้านเมืองทั้งประเทศไทยและประเทศลาว จึงได้กราบอาราธนานิมนต์ให้หลวงปู่สมชาย พร้อมด้วยคณะพระสงฆ์ที่ติดตามท่าน เดินทางกลับไปประเทศลาวอีกครั้งหนึ่งเพื่ออบรมสั่งสอนประชาชน และเพื่อช่วยปรับปรุงระเบียบการปกครองคณะสงฆ์ในประเทศลาวให้ดีขึ้น หลวงปู่สมชายจึงได้รับนิมนต์และเดินทางกลับไปประเทศลาวอีกครั้งหนึ่งเมื่อปลายปีพ.ศ.๒๕๐๐ เมื่อข้ามไปถึงแล้วก็ได้ปรับปรุงระเบียบการปกครองคณะสงฆ์ในประเทศลาวหลายอย่าง ให้พระภิกษุสามเณรประพฤติปฏิบัติเคร่งครัดเป็นตัวอย่างของชาวบ้าน และได้อบรมสั่งสอนประชาชนชาวบ้านให้ตั้งอยู่ในไตรสรณาคมน์ ให้เป็นผู้ที่รักชาติ รักพระศาสนา ซึ่งเป็นบ้านเกิดเมืองนอนของตนเอง ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากบุคคลชั้นผู้นำของประเทศเป็นอย่างดี แต่ก็ไม่พ้นที่จะต้องถูกพวกคลั่งลัทธิใหม่โจมตี เพราะว่าท่านไปขัดขวางการดำเนินงานของพวกเขา จนบางครั้งเขามาจับตัวไปสัมมนาที่นครเวียงจันทน์ เท่าที่ทราบนั้นถ้าพวกเขาได้จับพระรูปไหนไปสัมมนาแล้วก็จะไม่ได้เห็นพระรูปนั้นได้กลับมาอีกเลยแม้แต่รูปเดียว แต่สำหรับหลวงปู่นั้นพวกเขาถือว่าเป็นพระที่สำคัญมากรูปหนึ่ง เขาจึงไม่กล้าทำอะไรรุนแรงมากนัก เพียงแค่จับไปขังไว้ในคุกขี้ไก่แล้วก็ปล่อยตัวกลับมาอีก ครั้งแล้วครั้งเล่า รวมถึง ๖ ครั้งด้วยกัน เมื่อท่านกลับออกมาท่านก็ได้ทำหน้าที่อบรมสั่งสอนประชาชนอย่างเดิมอีก เป็นอยู่อย่างนี้ ซึ่งก็เป็นการไปขัดขวางการเผยแพร่ลัทธิของพวกเขา

                ครั้งที่ ๗ พวกคลั่งลัทธิเหล่านั้นได้พากันมาจับเอาตัวท่านไปอีก ครั้งนี้ทราบว่าเขาต้องการนำไปสัมมนาชนิดที่ไม่ต้องกลับมาอีกต่อไป ในครั้งนี้ทราบว่ามีพระรูปสำคัญๆ ในนครเวียงจันทน์ถูกจับมาด้วยอีก ๓ รูป เขาได้นำพานั่งเรือล่องไปตามลำน้ำโขง และก็ยังไม่ทราบว่าเขาจะพาไปยังแห่งหนตำบลใดแต่เท่าที่ทราบว่าพวกเขาได้จับเอาพระรูปสำคัญๆ ไปสัมมนาแบบเดียวกันนี้ครั้งแล้วครั้งเล่าไม่เคยเห็นพระที่ไปด้วยนั้นได้กลับมาแม้แต่รูปเดียว ในครั้งนี้ก็คงจะเช่นกันทุกรูปทราบดีว่าอะไรกำลังจะเกิดขึ้นกับตัวท่านเอง ต่างรูปต่างก็ร้องขอชีวิตร้องขอความเมตตาจากพวกคลั่งลัทธิเหล่านั้น ตลอดระยะทางที่เรือล่องไปตามลำน้ำโขงนั้น

                แต่สำหรับท่านหลวงปู่สมชาย นั้นท่านไม่เคยสนใจเลยว่าเหตุการณ์อะไรจะเกิดขึ้นกับตัวท่านเอง ท่านนั่งสงบ นิ่งเงียบ กำหนดทำสมาธิภาวนาของท่านไปตลอดทาง โดยไม่ร้องขอชีวิตจากใครทั้งสิ้น ไม่สะทกสะท้านต่อเหตุการณ์ใดๆ ทั้งสิ้น เตรียมพร้อมอยู่ตลอดเวลาไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นกับท่าน เรือเพชฌฆาตลำนั้นได้ล่องไปตามลำน้ำโขงกะว่าไปไกลพอสมควร เมื่อถึงสถานที่สงัดปลอดจากสายตาของผู้คนที่จะพบเห็นแล้ว ...นาทีหฤโหดก็ได้เกิดขึ้นในบัดนั้น ปากกระบอกปืนได้ถูกหันไปยังเป้าหมาย คือ พระสงฆ์ผู้บริสุทธิ์ ที่นั่งร้องขอชีวิตอยู่นั้นทีละรูปๆ เป็นภาพที่น่าสลดสังเวชเป็นอย่างยิ่ง... สามรูปผ่านไป ปากกระบอกปืนได้หันมายังรูปที่สี่ ซึ่งเป็นรูปสุดท้าย จะด้วยเดชเดชะบารมีหรือเหตุบังเอิญก็ไม่ทราบได้ เพชฌฆาตที่กำลังยกปืนจ้องอยู่นั้นถึงกับเข่าอ่อนทรุดลงนั่ง แล้วค่อยๆ คลานเข้ามากราบที่เท้า กล่าวคำขอขมาลาโทษ

                แทนที่เพชฌฆาตนั้นจะนำท่านกลับไปทางฝั่งลาว แต่กลับนำท่านมาส่งขึ้นทางฝั่งไทย และขอร้องไม่ให้ท่านข้ามกลับไปอีก เพราะเขาเกรงว่าหัวหน้าใหญ่เขาทราบเข้า ตัวเขาจะต้องมีความผิดด้วย เมื่อมาถึงฝั่งไทยแล้ว ท่านก็ได้เดินทางไปพักอยู่ที่วัดศรีเมือง จังหวัดหนองคาย ต่อจากนั้นจึงได้สั่งให้ญาติโยมอีกคณะหนึ่งข้ามไปรับพระเณรคณะของท่านที่ยังตกค้างอยู่ที่ฝั่งลาวกลับมาทั้งหมด คณะพระเณรทุกรูปได้พักอยู่ที่วัดศรีเมืองไม่นานนัก ก็ได้ย้ายไปพักบำเพ็ญที่วัดอรุณรังสี  ได้พักอยู่ประมาณ ๘ เดือน หลวงปู่ได้นำพาบำเพ็ญภาวนาด้วย และพัฒนาวัดไปด้วย ได้ช่วยกันสร้างรั้วเพื่อกั้นเขตวัด ทำเป็นเสาคอนกรีตเสริมเหล็กอย่างดีพร้อมล้อมลวดหนามรอบบริเวณวัด และได้ก่อสร้างเสนาสนะอื่นๆ อีกหลายอย่าง อยู่ที่นี่จนถึงปีพ.ศ.๒๕๐๑ ท่านจึงได้พาออกจากวัดอรุณรังสี และได้ลงมาทางจังหวัดนครราชสีมา ได้เวียนไปเวียนมาอยู่หลายแห่ง อยู่ที่วัดป่าสาลวันบ้าง มาอยู่ที่วัดป่าศรัทธารวมบ้าง ต่อมาก็ได้ย้ายลงมาทางอำเภอปากช่อง ลงไปถึงอำเภอแก่งคอย และได้ไปพักอยู่ที่บ้านพระบาทน้อยระยะหนึ่ง พอจวนใกล้จะเข้าพรรษาในปีนั้นจึงได้หวนกลับขึ้นมาจำพรรษาที่วัดเขาไทรสายัณห์ อำเภอปากช่อง จังหวัดนครราชสีมา ตามคำชักชวนของท่านพระอาจารย์ โง่น  โสรโย

บทความจากนิตยสารลานโพธิ์

                ปี พ.ศ. ๒๕๐๑หลวงปู่สมชาย ท่านได้พาหมู่คณะลงมาจากภาคอีสานตอนบนเดินทางล่องลง ตามรายทางแวะพักหาความสงบทำความเพียรตามป่าเขาลำเนาไพร ผ่านลงมาจนกระทั่งเข้าเขตจังหวัดนครราชสีมาดังกล่าวแล้ว แต่เมื่อกาลพรรษาใกล้เข้ามา หลวงปู่จึงได้พาหมู่คณะมาจำพรรษาที่ วัดเขาไทรสายัณห์ อำเภอปากช่อง จังหวัดนครราชสีมา 

                ก่อนอื่นจะขอนำบทความของนักเขียนชื่อดังเจ้าของพื้นที่ ซึ่งเป็นคนปากช่องโดยกำเนิด เป็นนักเขียนนามปากกาว่า บัว ปากช่อง ที่เคยเขียนไว้ในนิตยสารลานโพธิ์ ในหัวข้อเรื่อง แนวอภินิหาร จากประสบการณ์จริงของผู้เขียน นำมาให้ท่านผู้สนใจได้อ่านได้รับทราบประวัติเพิ่มเติมจากผู้ที่ได้รับประสบการณ์จริง  (คัดมาเฉพาะเพียงบางตอนเท่านั้น และไม่ได้แปลงคำพูด หากท่านอ่านแล้วขัดไปบ้างก็ขออภัย)

                เหตุเกิดในดงพญาเย็น.ปีนั้นหลวงปู่สมชาย ท่านได้เข้าไปจำพรรษา และสร้างวัดอยู่ในป่าดงพญาเย็น ที่อำเภอปากช่อง  จังหวัดนครราชสีมา เหตุการณ์มหัศจรรย์ นาทีระทึกใจในครั้งนั้น ยังติดตาและอยู่ในความทรงจำของผู้เขียนมาตราบเท่าทุกวันนี้
                ข้าพเจ้าผู้เขียนนี้ เป็นศิษย์คนหนึ่งที่ได้อยู่รับใช้พระอาจารย์สมชาย สมัยเมื่อท่านเข้าไปอยู่จำพรรษาในป่าดงพญาเย็นแห่งนั้น เรื่องราวและเหตุการณ์ที่ข้าพเจ้าจะได้เขียนเล่าต่อไปนี้ เป็นเรื่องราวเหตุการณ์ที่ข้าพเจ้าได้ประสบได้ยินได้ฟังมากับตัวของข้าพเจ้าเอง.พระอาจารย์สมชายที่ปัจจุบันผู้คนเคารพเลื่อมใสต่างได้กล่าวเป็นเสียงเดียวกันว่า...ท่านคือ เทพเจ้าแห่งชายทะเลภาคตะวันออก ท่านเป็นพระเกจิอาจารย์อาวุโสองค์หนึ่งในศิษย์สาย หลวงปู่มั่น ภูริทฺตโต ที่มีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักของผู้คนทั่วไปทั้งชาวไทยและต่างประเทศขณะนี้ แม้ทุกวันนี้หากข้าพเจ้า มีโอกาสก็เฝ้าเวียนไปนมัสการท่านอยู่มิได้ขาด.กับพระธุดงค์กรรมฐานสายหลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต นี้ ดูเหมือนว่าข้าพเจ้าจะมีบุญวาสนาอยู่ที่ได้มีโอกาสไปอยู่รับใช้ท่านมาหลายองค์ นับตั้งแต่พระอุปัชฌาย์ของข้าพเจ้า พระเดชพระคุณท่านเจ้าคุณพระราชวุฒาจารย์ หลวงปู่ดูลย์ วัดบูรพาราม จังหวัดสุรินทร์แล้ว หลวงปู่โชติ พระเดชพระคุณท่านเจ้าคุณ พระเทพสุทธาจารย์ วัดวชิราลงกรณ์ ข้าพเจ้านั้นกินข้าวก้นบาตรมาตั้งแต่เป็นเด็ก กับหลวงปู่สาม หลวงปู่ฝั้น หลวงปู่อ่อน  หลวงปู่เทสก์ หลวงปู่สิม  ข้าพเจ้าก็ได้ปรนนิบัติรับใช้ท่านมาแล้วทั้งสิ้น ที่ข้าพเจ้าเล่ามานี้ มิได้มีเจตนาที่จะคุยโอ่ตัวเอง แต่ต้องการบอกกับท่านผู้อ่านว่า อัตตชีวประวัติระหว่างพระอาจารย์สมชายกับบรรดาพระเกจิอาจารย์ที่กล่าวมานั้น อัตตชีวประวัติของพระอาจารย์สมชาย ดูเหมือนว่าจะไม่เหมือนใคร

                พระอาจารย์สมชายได้ตระเวนจาริกธุดงค์ไปในดินแดนอีสานจนทั่วทั้งฝั่งประเทศลาว และในป่าเขตแดนพม่า เขมร ตามโคนต้นไม้ บ้านว่าง เรือนร้าง ป่าช้า ถ้ำ และภูเขา ในสถานที่อันสงัด เพื่อเร่งบำเพ็ญเพียรเจริญภาวนาสมาธิวิปัสสนากรรมฐาน จนในปีนั้นพระอาจารย์สมชาย ได้มาอยู่จำพรรษาในป่าดงพญาเย็น ที่อำเภอปากช่อง จังหวัดนครราชสีมา อันเป็นบ้านเกิดของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าเกิดมาในครอบครัวพรานป่า บรรพบุรุษข้าพเจ้ามีอาชีพเป็นพรานป่าแต่ครั้งปู่ย่า  บิดาข้าพเจ้ารับราชการเป็นพรานประจำหน่วยงานปศุสัตว์ กระทรวงเกษตรฯ บ้านพักในหน่วยงานของบิดาข้าพเจ้า อยู่ไม่ไกลจากสำนักสงฆ์ที่พระอาจารย์สมชาย ได้นำลูกศิษย์ภิกษุสามเณรไปอยู่จำพรรษา และต่อมาที่ตรงนั้นได้เป็นวัดมีหลักฐานเจริญใหญ่โต.วัดพระอาจารย์สมชายอยู่บนภูเขาริมทางรถไฟ วัดนั้นชื่อ วัดเขาไทรสายัณห์

                ผู้คนในอำเภอปากช่อง นับตั้งแต่พระอาจารย์สมชายเข้าไปบุกเบิกสร้างวัดใหม่ๆ มีความเคารพเลื่อมใสในตัวท่าน พากันหลั่งไหลไปทำบุญฟังเทศน์ ครอบครัวข้าพเจ้าเข้าไปทำบุญที่วัดนี้ และบิดามารดาของข้าพเจ้ามีความคุ้นเคยกับพระอาจารย์สมชาย ปีนั้นข้าพเจ้าอยู่ระหว่างเป็นนักเรียนโข่ง เริ่มเป็นหนุ่ม บิดาจึงให้ไปคอยรับใช้พระอาจารย์สมชายที่วัดยามว่างจากเรียน ดงพญาเย็นแต่ก่อนมาอุดมสมบูรณ์ไปด้วยป่าไม้นานาพันธ์ สัตว์ป่าก็มีชุกชุมทั้งเสือ ช้าง กวาง เก้ง หมูป่า และฝูงนก ต่อมาเมื่อทางราชการได้บุกเบิกตัดถนนมิตรภาพเข้าไป ทั้งป่าและสัตว์ป่าก็ลดน้อยลง ป่าไม้ถูกแผ้วถางเป็นไร่เป็นฟาร์มขนาดใหญ่ เมื่อป่าไม้ไม่มี สัตว์ป่าก็เริ่มถอยร่นอพยพหนีเข้าป่าลึกไปเรื่อยๆ  ในบริเวณใกล้เคียงตัวอำเภอ ป่าไม้ที่ยังพอจะหลงเหลือให้เห็นอุดมสมบูรณ์ คือ ที่วัดเขาไทรสายัณห์ของพระอาจารย์สมชาย ที่บริเวณภูเขาอันเป็นที่ตั้งวัดนั้น สัตว์ป่าทั้งเก้ง และกวางพากันไปอาศัยอยู่จำนวนมาก รวมทั้งฝูงนก ลิงค่างไต่กันยั้วเยี้ย ในขณะที่บริเวณอื่นๆ เดินทางครึ่งค่อนวันก็ยากที่จะได้ยิงสัตว์ อาชีพพรานป่า ข้าพเจ้าและบรรดาลูกพรานป่าล้วนยิงปืนเป็นกันมาแต่เด็กและล่าสัตว์เป็นตั้งแต่พอรู้ภาษา การเข้าป่าล่าสัตว์นั้นผู้ใหญ่ไม่เคยห้ามมาก่อนเลย แม้แต่บนภูเขาที่พระอาจารย์สมชายไปตั้งวัดในตอนแรกๆ ข้าพเจ้าและเพื่อนก็ได้ไปยิงเก้ง กวาง ที่บริเวณป่า ในช่วงด้านหลังสุด ลึกไปจากที่ตั้งวัด

                เรายังออกไปยิงสัตว์กันอยู่เรื่อยๆ จนระยะต่อมาพบว่าบรรดาสัตว์ได้พากันอพยพหากินใกล้ที่ตั้งวัดเข้ามาเรื่อยๆ จนกระทั่งในที่สุดบรรดาเก้ง กวาง ก็พากันหลบหนีภัยเข้าไปอาศัยหากินอยู่ในบริเวณป่า เลาะริมวัด บางครั้งก็เข้าไปอาศัยหลบฝนหลบแดดตามชายคาศาลาการเปรียญวัดพระอาจารย์สมชาย ถึงตอนนี้บรรดาผู้หลักผู้ใหญ่ ทั้งบิดามารดาของข้าพเจ้าและของเพื่อนๆ ที่ไปยิงเก้งกวางด้วยกัน พอรู้เช่นนั้นก็เริ่มออกปากห้าม บรรดาผู้เฒ่าผู้แก่ตามหมู่บ้านเชิงเขาใกล้ๆ กับวัดไม่เป็นอันทำอะไร พอเห็นพวกข้าพเจ้าแบกปืนเข้าป่าเพื่อไปแอบซุ่มยิงสัตว์ที่วัดของพระอาจารย์สมชาย หรือขอให้ได้ยินเสียงปืนดังเถอะ  เป็นพากันตะโกนด่าเสียงโหวก เหวกๆ ไอ้พวกเด็กจัญไร ยิงสัตว์ในวัด ฤทธิ์ที่เป็นหนุ่มคะนอง เสียงผู้เฒ่าผู้แก่ที่ตะโกนด่านั้นกลับยิ่งพาให้ตื่นเต้นเพิ่มรสชาติในการล่าสัตว์ในวัด ตอนนั้นมีความรู้สึกกันอย่างนี้จริงๆ ข้าพเจ้าและเพื่อนๆ ลูกพรานป่าด้วยกันจึงหาได้ยอมฟังเสียงใครที่ห้ามไม่

                จนในที่สุดชักจะเห็นว่าพวกข้าพเจ้าจะออกลายลากหางไปกันใหญ่ พระอาจารย์สมชายท่านจึงได้ประกาศห้ามอย่างเด็ดขาด..! ทีนี้แหละทั้งบิดามารดาของข้าพเจ้าและของเพื่อนๆ ถึงกับเต้นพอทราบข่าวการประกาศห้ามยิงสัตว์ในวัดของพระอาจารย์ นอกจากจะมีคำสั่งห้ามไปยิงสัตว์ในวัดอีกต่อไปแล้วยังคาดโทษเอาไว้ด้วย และยังได้บอกอีกว่า  ...อย่าได้พากันไปลองดีกับอาจารย์สมชายทีเดียว ประเดี๋ยวจะรู้สึก...!  ได้ฟังคำเตือนว่า จะพากันรู้สึก..ในตอนนั้นข้าพเจ้าและเพื่อนๆ กลับเห็นว่า ท่านนั้นขลาด เกรงกลัวในสิ่งไร้สาระ ไปเชื่อตามกิตติศัพท์พระอาจารย์สมชายที่ผู้คนพากันล่ำลือ..แม้ว่าจะถูกคาดโทษก็เถอะ ข้าพเจ้าและเพื่อนก็คอยจ้องหาโอกาสยามผู้ใหญ่เผลอ คอยนัดหมายกันไว้ได้โอกาสเมื่อไหร่ก็เมื่อนั้น อย่าได้เผลอก็แล้วกัน เผลอเมื่อไหร่จะขโมยปืนพ่อบุกป่าปีนเขาแอบเข้าไปยิงกวางพระอาจารย์สมชายให้จงได้...

                แล้วโอกาสก็เป็นของข้าพเจ้าและเพื่อนๆ ในวันที่พ่อเผลอ ท่านไปทำงาน ทางบ้านข้าพเจ้าและเพื่อนอีก ๒ คน จำได้ว่า เป็น บุญธง แรงสูงเนิน ปัจจุบันรับราชการเป็นครูอยู่ที่อำเภอปากช่อง อีกคนเป็นลูกชายเจ้าของไร่ฝ้าย มีโรงหีบฝ้ายใหญ่ที่สุดในภาคอีสาน  ชื่อ ชิน ถอุพาณิชานนท์ ข้าพเจ้าพร้อมเพื่อนทั้ง ๓ คน ต่างขโมยปืนพ่อมา สำหรับลูกพรานจึงไม่ใช่เรื่องยากที่จะพากันแบกปืนแฝงกายลัดเลาะตัดป่าไปจนถึงวัดพระอาจารย์สมชาย โดยไม่มีผู้เฒ่าผู้แก่ทันเห็น และดูช่างเป็นโอกาสเหมาะ เพราะพระเณรในวัดก็พากันเงียบอยู่ในกุฏิ เมื่อพากันแอบคลานแหวกป่าเข้าไปจนถึงศาลาการเปรียญ ก็แลเห็นแต่ไกล ที่ใต้ต้นไม้ใหญ่.เจ้ากวางหน้าโง่เขางามนอนเคี้ยวเอื้องหลบแดดอยู่ตรงนั้น.!  เกิดเป็นลูกพรานป่ารู้จักยิงปืนล่าสัตว์มาตั้งแต่ยังไม่รู้จักนุ่งผ้า ถ้าเหนี่ยวไกปืนออกไปเมื่อไหร่ ตูมเดียวก็เป็นได้พากันลากไอ้กวางหนุ่มหน้าโง่ตัวนี้วิ่งลงภูเขาได้เมื่อนั้น...

                แต่งานนี้มาด้วยกัน ๓ คน จะให้ใครเป็นพระเอกคนเดียวนั้นคงยอมให้กันไม่ได้ เพราะมีกวางอยู่ตัวเดียว..งานนี้สมควรที่จะเป็นพระเอกกันให้พร้อมหน้า.ปืนลูกซองที่ขโมยพ่อมาได้ถูกข้าพเจ้าและเพื่อนประทับเล็งพร้อมๆ กัน วิสัยพรานพอหันมาสบตา ก็ไม่จำเป็นต้องมีสัญญาณอะไรอีก เป็นที่รู้กันนาทีนั้น ปืนทั้ง ๓ กระบอก แผดเสียงดังสนั่น...บึม..!  บึม..!  บึม..!

                เสียงระเบิดผิดปกติจากเสียงปืนดังก้องไปทั้งหุบเขา.ข้าพเจ้าและเพื่อนรู้สึกหูอื้อ หน้ามืด ลืมสติ ประสาทสั่งงานดับวูบ.นี่มันอะไรกัน.!  พอได้สติข้าพเจ้าและเพื่อนๆ พากันตะลึงงัน ปรากฏว่า ปืนที่ประทับยิงออกไปได้ร้าวแตกเป็นเสี่ยงๆ ทั้ง ๓ กระบอก.!  เจ้ากวางตัวในเขตวัดของพระอาจารย์ตัวนั้นมันยังนอนเคี้ยวเอื้องเฉย.!  ...งานนี้ข้าพเจ้าและเพื่อน ถูกพ่อจับมัดโยงเฆี่ยนด้วยหวาย จนฉี่ราด...
(คัดบางตอนมาจากบทความของนักเขียนชื่อดัง บัว ปากช่อง จากหนังสือนิตยสารลานโพธิ์)

พ.ศ.๒๕๐๑
จำพรรษาที่วัดเขาไทรสายัณห์
อำเภอปากช่อง  จังหวัดนครราชสีมา

                ย้อนกลับมาสู่เรื่องของหลวงปู่สมชายในช่วงที่อยู่วัดเขาไทรสายัณห์ต่อไปใหม่ ในระหว่างปีพ.ศ.๒๕๐๑ นี้ หลวงปู่สมชาย ท่านได้นำพาหมู่คณะมาจำพรรษา ที่วัดเขาไทรสายัณห์ ซึ่งท่านพระอาจารย์โง่น โสรโย เป็นประธานสงฆ์ และรู้จักคุ้นเคยกับหลวงปู่มาก่อนนานแล้ว ในพรรษานี้จึงมีพระภิกษุสามเณรจำพรรษาด้วยกัน คือ

                ๑. ท่านพระอาจารย์โง่น โสรโย  ๒. หลวงปู่สมชาย  ฐิตวิริโย  ๓. ท่านพระอาจารย์สมเพียร  สุวโจ  ๔.  พระทิวา  อาภากโร (พระอาจารย์ทิวา) ๕. พระพันเอกพิเศษอาจารย์ณรงค์  แสงมณี  ๖.สามเณรประไพ  รูปเหลี่ยม  ๗ สามเณรทองสา  มันทะราและสามเณรอื่นอีก ๖ รูป ซึ่งจำชื่อไม่ได้

                ในพรรษาของปีนี้หลวงปู่ก็ได้เร่งความเพียรอย่างยิ่งยวด ดูเหมือนว่าท่านจะทดลองผลสมาธิบางอย่าง คือ ๗ วันท่านจะฉันภัตตาหารครั้งหนึ่งบ้าง บางครั้งก็ ๑๕ วันฉันครั้งหนึ่งบ้าง และยังได้อธิษฐานเนสัชชิกังคะทุกวันตลอดพรรษา คือ ไม่เอนกายลงนอนจำวัดทั้งกลางวันและกลางคืน สำหรับตอนกลางวันนั้นก็ยังได้ช่วยก่อสร้างอีกด้วย  ซึ่งช่วงนี้ก็พอดีทางวัดกำลังก่อสร้างโบสถ์ และวิหารบนยอดเขา ทั้งหลวงปู่และพระเณรจึงได้ช่วยงานในครั้งนี้อย่างเต็มที่ สำหรับหลวงปู่นั้นเหมือนกับท่านต้องการให้พระเณรได้ประจักษ์กับผลของการปฏิบัติ ผลของสมาธิ ว่านอกจากจะทำให้ใจสงบ ใจสบาย และเป็นหนทางพ้นทุกข์ได้จริงแล้ว ยังมีอานิสงส์และผลพลอยได้อื่นๆ อีกมาก ยากที่จะสรรหาสิ่งใดมาเปรียบเทียบกับผลของการปฏิบัติให้เห็นได้ แต่ละวันท่านจึงได้อบรมและนำพาปฏิบัติเสียเป็นส่วนมาก  ท่านได้ทำเป็นตัวอย่างให้ดูตลอดเวลา เป็นต้นว่า การควบคุมจิต ตลอดทั้งวันไม่ว่าจะทำงานหรือไม่ทำงานก็ตาม ท่านจะเงียบ สงบเสงี่ยม สำรวม ตลอดเวลา ท่านบอกว่าถ้าควบคุมจิตไม่ให้เผลอได้ตลอดวันก็จะเป็นพระอริยเจ้าได้วันหนึ่ง ถ้าควบคุมจิตไม่ให้เผลอได้ ๑ ชั่วโมงก็เป็นพระอริยเจ้าได้ ๑ ชั่วโมง เพราะว่าพระอริยเจ้าท่านจะมีสติตลอดเวลา ท่านไม่เผลอ หลวงปู่ท่านว่าอย่างนั้น

                ในปีนี้สังเกตได้ชัดว่า ท่านเร่งความเพียรเป็นพิเศษจริงๆ ว่างจากช่วยหลวงปู่โง่นเมื่อไร ก็จะเห็นท่านเข้าสู่ทางเดินจงกรมหรือเข้าที่นั่งสมาธิทันที นอกจากนี้ท่านยังเพิ่มธุดงค์วัตรอีกหลายข้อ เช่น ถือเนสัชชิกังคะ เป็นต้น  และ ๗วัน ๑๕ วัน ฉันครั้งหนึ่ง แล้วในตอนกลางวันท่านยังสามารถช่วยทางวัดแบกปูนจากข้างล่างขึ้นไปบนเขาได้อีกโดยแบกครั้งละ ๒ ลูก หนึ่งวันท่านสามารถแบกปูนได้ถึง ๔๒ ลูก ถ้าเทียบกับคนงานที่จ้างแบกแล้วนั้น คนงานแบกได้เที่ยวละ ๑ ลูก ตลอดวันคนงานแบกได้เพียงวันละ ๒๐ ลูก เท่านั้น จึงเป็นเรื่องแปลกสำหรับข้าพเจ้าผู้ได้พบเห็น ว่าท่านเอากำลังร่างกายจากไหนมาทำงานได้อย่างนี้ ถ้าไม่ใช่จากกำลังหรือผลของสมาธิแล้ว คนธรรมดาไม่สามารถทำได้อย่างนั้นแน่นอน นอกจากช่วยแบกปูน ขนวัสดุสิ่งของขึ้นไปก่อสร้างแล้ว ท่านยังได้ลงมือก่อสร้างจับอิฐก่อปูนเองด้วย จนกระทั่งโบสถ์และวิหารที่วัดเขาไทรสายัณห์เสร็จเรียบร้อย ถ้าเรามีโอกาสผ่านไปก็จะเห็นตั้งตระหง่านงามอยู่บนยอดเขานั่นเอง ตลอดระยะเวลาที่อยู่วัดเขาไทรสายัณห์นี้ ก็ได้คุณหลวงปริญญาโยควิบูลย์ และได้คุณหมอเรืองเป็นผู้อุปถัมภ์  ซึ่งในปีนี้ คุณหลวงปริญญาโยควิบูลย์ ก็ได้อุปสมบทบุตรชาย คือ ร.ต.ทิวา เมื่อทำการอุปสมบทแล้วก็ได้นำมาฝากให้ศึกษาธรรมจากหลวงปู่ และปีนี้ พันเอกพิเศษ อาจารย์ณรงค์  แสงมณี ก็ได้อุปสมบทและได้มาจำพรรษาด้วยกัน หลังจากออกพรรษาแล้วอาจารย์ณรงค์ แสงมณี ก็ลาสิกขาไปปฏิบัติราชการต่อ ส่วนพระอาจารย์ทิวา อาภากโร ได้รับผลจากการบวชปฏิบัติธรรมมีความซาบซึ้งมาก จึงได้ลาออกราชการขอรับใช้พระศาสนามาตลอดจนถึงปัจจุบันนี้ 

                ในระหว่างพรรษานี้ก็มีเหตุการณ์เรื่องราวที่สมควรบันทึกไว้ให้บรรดาศิษยานุศิษย์รุ่นหลังๆ ได้มีโอกาสศึกษาเป็นแนวทางว่า ในอดีตบรรดาศิษย์รุ่นต้นๆ นั้นได้รับการอบรมได้รับการทรมานจากหลวงปู่มาอย่างไรบ้างเพื่อไว้สดับสติปัญญาบ้าง ดังนี้.-

สะกดจิตหนึ่งต่อสอง

                พันเอกพิเศษ อาจารย์ณรงค์ แสงมณี ภายหลังจากลาสิกขาออกมาแล้วก็ได้รับใช้ประเทศชาติด้วยความสามารถพิเศษประจำตัวที่มีอยู่ กล่าวคือ ๑. มีความสามารถยิงธนู ได้แม่นยำ มีความเชี่ยวชาญเรื่องการยิงธนูจนได้รับการแต่งตั้งให้เป็นอุปนายกสมาคมยิงธนูแห่งประเทศไทย ๒. มีความสามารถยิงปืนได้แม่นยำทั้งปืนสั้น และปืนยาว เคยเปิดสถานฝึกสอนการยิงปืนเอกชน ที่พัทยา จ.ชลบุรี เมื่อเกษียณอายุราชการและหยุดกิจการส่วนตัวจึงพักผ่อนอยู่กับบ้าน และมาช่วยหลวงปู่พัฒนาวัดเป็นครั้งคราว ต่อมาเมื่อปีพ.ศ.๒๕๒๓ เข้ามาช่วยหลวงปู่ ควบคุมการขุดสระน้ำหน้าวัดเขาสุกิม วางแบบแปลนและควบคุมคนงานก่อสร้างเกาะกลางสระน้ำ เป็นต้น ตกตอนเย็นหลังจากเลิกงานอาจารย์ณรงค์ ก็จะขึ้นสวดมนต์ทำวัตรร่วมกับพระภิกษุ สามเณร เมื่อมีเวลาว่าง ก็มักจะเล่าเรื่องอดีตสมัยที่บวชพระอยู่กับหลวงปู่ที่วัดเขาไทรสายันห์ให้พระหนุ่มเณรน้อยรุ่นหลังๆ ได้รับฟังอยู่เสมอๆ วันหนึ่ง หลังจากทำวัตรเสร็จ อาจารย์ณรงค์ เล่าว่า...
                ผม(ณรงค์ แสงมณี) และท่านพระอาจารย์ทิวา บวชคู่นาคกัน เป็นลูกศิษย์ท่านเจ้าคุณพระราชมุนี (โฮม)วัดปทุมวนาราม ท่านเป็นผู้สร้างวัดเขาไทรสายันห์ อีกอย่างหนึ่งท่านก็รู้จักกับท่านอาจารย์ใหญ่(หลวงปู่สมชาย)ของเรามาก่อนแล้ว ท่านบอกพวกผมว่า บวชแล้วจะเอาไปฝากปฏิบัติธรรมอยู่กับท่านอาจารย์สมชาย ที่วัดเขาไทรสายัณห์ พวกผมยังไม่รู้จักว่าอาจารย์สมชาย เป็นใคร มีอะไรดีหรือ ถึงขนาดระดับท่านเจ้าคุณราชมุนี ผู้มีชื่อเสียงในเมืองกรุงยังจะต้องเอาพวกผมมาฝากให้ท่านอาจารย์สมชายฝึกฝนอบรม ?.ทั้งผมและท่านพระอาจารย์ทิวาเมื่อมาแล้วก็เฝ้าสังเกตดูว่าอาจารย์สมชาย ที่ท่านเจ้าคุณราชมุนียกย่องนั้นท่านมีดีอะไร ?..ดูภายนอกท่านก็ไม่แปลกอะไรไปจากพระทั่วๆ ไป ยอมรับตรงที่ท่านสำรวม เรียบร้อย ทำความเพียรทั้งวันทั้งคืน ไม่ค่อยหลับไม่ค่อยนอน อาหารก็ไม่ค่อยฉัน ๗ วันบ้าง ๑๕ วันบ้าง ท่านจึงจะฉันสักครั้งหนึ่ง แต่ท่านทำงานขนหินขนปูนช่วยก่อสร้างวัดได้อย่างคนปกติทั่วไป นานๆ ท่านก็อบรมพวกผมครั้งหนึ่ง วันหนึ่งท่านอบรมเสร็จแล้ว ท่านก็พูดมาถึงเรื่องการทำสมาธิว่า ..มีอำนาจ มีพลัง ถ้าทำได้ดีแล้วสามารถนำเอาพลังของอำนาจสมาธิจิตนั้นมาทำประโยชน์ได้หลายอย่างบุคคลที่มีความสามารถด้านต่างๆ เช่น ยิงปืน ยิงธนูได้แม่นยำ ก็อาศัยสมาธิหรืออำนาจจิตเข้าช่วย...  ผมเถียงขึ้นมาทันทีว่า ..อำนาจสมาธิหรืออำนาจจิตนั้นผมไม่รู้จัก แต่ที่ผมยิงปืนหรือยิงธนูได้แม่นนี้ผมใช้ความสามารถส่วนตัวของผมเอง ..ผมเถียงด้วยทิฐิและความโง่ของผมนั่นเอง.ท่านอาจารย์จึงกล่าวต่อว่า คุณมีสมาธิอยู่ตลอดเวลาแต่คุณไม่รู้มากกว่า ถ้าคุณไม่มีสติ ไม่มีสมาธิ คุณจะมานั่งฟังอยู่อย่างนี้ไม่ได้ คุณจะต้องทำอะไรอย่างสัตว์ทั่วๆ ไปอำนาจสมาธินำมาใช้บังคับกิริยาอาการให้สงบเสงี่ยมเรียบร้อย หรือนำมาใช้ในอาชีพการงานได้เป็นอย่างดี..รวมทั้ง สามารถนำมาสะกดจิตคนก็ได้อย่างนักจิตวิทยา เป็นต้น นำมาสะกดหรือบังคับสัตว์ต่างๆ ก็ได้ สัตว์ตัวเล็กเราไม่ต้องใช้พลังจิตมากก็สามารถบังคับได้ ผมเคยเอาอำนาจจิตของผมทดลองบังคับให้สุนัขเดินหน้า ถอยหลัง และทำอย่างอื่นตามที่ผมสั่งได้... ในขณะที่ท่านอาจารย์กล่าวอยู่นั้น ได้มีฝูงมดดำตัวโตๆ ชักแถวเดินออกจากรูมาเป็นร้อย ๆ ตัวซึ่งอยู่บริเวณที่นั่งคุยกันอยู่นั้น ด้วยความอยากเห็นกับตาของผมว่า..ที่ท่านอาจารย์พูดนั้นจะเป็นจริงอย่างไร. หรือบอกตรงๆ ว่าอยากทดสอบท่านนั่นเองว่า ท่านจะทำได้จริงอย่างที่ท่านพูดหรือไม่ เพราะส่วนมากเห็นมีแต่ประเภทพูดได้ทำไม่ได้เสียมากกว่า ผมจึงพูดไปอย่างนั้นๆ เอง ไม่ได้นึกหวังผลอะไรหรอกครับว่า! ผมกราบเรียนท่านอาจารย์ต่อไปว่า..ที่ท่านอาจารย์พูดมาทั้งหมดนั้นผมก็เคยศึกษามา แต่ไม่เคยเห็นใครทำได้..ส่วนมากก็เป็นลูกคุยกันเสียมากกว่า ท่านอาจารย์พูดสวนผมขึ้นมาทันทีว่า...คุณดูมดฝูงนี้ก็แล้วกัน !..ผมและท่านอาจารย์ทิวาหันไปมองดูมดฝูงที่กำลังชักแถวเดินอยู่นั้นอย่างพร้อมกัน มดทั้งฝูงนับจำนวนเป็นร้อยๆ ที่กำลังมุ่งหน้าเดินไปข้างหน้า ต้องหยุดอยู่กับที่ไม่เคลื่อนไหวใด ๆ เหมือนไม่มีชีวิตทุกตัวหยุดนิ่งไปเลย..คู่ต่อมาท่านอาจารย์ท่านบอกว่า. ถอยหลัง..เป็นสิ่งที่เหลือเชื่อจริงๆ ที่ฝูงมดเดินถอยหลังกลับเข้ารูโดยไม่ได้กลับตัว นี่เป็นเรื่องมหัศจรรย์ครั้งแรกที่ผมพบเห็นจากท่านอาจารย์ใหญ่ของเรา...ท่านอาจารย์ทิวานั่งอยู่ในเหตุการณ์ด้วยกันฟังจบแล้ว ไม่ทราบท่านคิดอย่างไร

                ท่านจึงพูดขึ้นว่า..ขอโอกาสครับท่านอาจารย์ ผมมีความมั่นใจว่าจิตของผมแข็งไม่มีใครสามารถสะกดจิตผมได้ ผมเคยทดลองให้นักสะกดจิตชาวฝรั่งระดับด๊อกเตอร์สะกดผมมาแล้ว ไม่สามารถทำอะไรผมได้เลยแม้แต่คนเดียว..

                ท่านอาจารย์สมชายกล่าวว่า.. นั่นมันด๊อกเตอร์ แต่ถ้าผมสะกดท่านได้ จะว่าอย่างไร?

                พระอาจารย์ทิวาตอบด้วยอารมณ์ทิฐิว่า..ผมจะยอมเป็นศิษย์ท่านอาจารย์ตลอดชีวิต จะไม่ยอมสึกเลย

                ท่านอาจารย์สมชาย กล่าวต่อว่า..ท่านรูปเดียวไม่พอมือผมหรอก ผมต่อให้ท่านหาผู้ช่วยได้อีก ๑ รูป รวมเป็น ๒ รูป  ..ผม(อ.ณรงค์)กล่าวขึ้นทันทีเลยว่า..ผมขออาสาเป็นผู้ช่วยเองครับ แต่มีข้อแม้ว่า ท่านอาจารย์ต้องสะกดผมคราวเดียวสองรูปก่อน.เสร็จแล้วถ้าท่านอาจารย์สะกดผมทั้งสองรูปไม่ได้ในคราวเดียว ผมทั้งสองจะช่วยกันสะกดท่านอาจารย์ เรียกว่า สองต่อหนึ่งนั่นเอง.อย่างนี้ได้ไหมครับ?.. ผมพูดออกไปด้วยความกล้าๆ กลัวๆ แต่ก็อยากลอง อยากรู้จึงเสนอตัวไป

                ท่านอาจารย์ถามอีกว่า.. แล้วพวกคุณจะพร้อมให้เริ่มเมื่อไร ?

                พระอาจารย์ทิวากล่าว..คืนนี้สี่ทุ่ม ท่านกล่าวออกไปด้วยความมั่นใจของท่าน

                ท่านอาจารย์กล่าวต่อว่า..โดยมีกติกาอย่างนี้..เราจะสะกดกันโดยไม่ต้องเห็นหน้ากัน ให้ท่านทั้งสองรูปกลับไปเตรียมตัวที่กุฏิอย่างเต็มที่ จะนั่งสมาธิเตรียมตัวก็ได้ จะเดินจงกรม หรือจะทำอะไรก็ได้ ที่คิดว่าพลังจิตของผมจะไปสะกดท่านไม่ได้ และ เมื่อเข็มนาฬิกาตรงสี่ทุ่มปุ๊บ ผมจะสะกดให้ท่านล้มลงทันที จะไม่ให้อวัยวะร่างกายของท่านเคลื่อนไหวได้เลย ผมจะสะกดจนกว่าท่านจะยอมแพ้จึงจะคลายพลังจิตออกจากการสะกดให้นั่นถือว่า..ท่านแพ้ผม... ถ้าถึงเวลาแล้วผมทำอะไรท่านไม่ได้เป็นอันว่า ...ผมแพ้ท่าน... และก็เป็นโอกาสที่ท่านทั้งสององค์จะต้องสะกดผมจนกว่าผมจะยอมแพ้...

                คืนนั้นหลังจากตกลงกันเสร็จแล้วผมกับท่านอาจารย์ทิวาก็นัดกันว่าก่อนสี่ทุ่มคืนนี้เราทั้งสองรูปจะต้องนั่งสมาธิให้จิตสงบแข็งแกร่งที่สุดเพื่อเตรียมตัวรับมืออย่างเต็มที่ คงไม่มีใครที่ไหนสามารถมาทำอะไรได้.ต่างคนต่างเตรียมพร้อมอย่างเต็มที่ ...สี่ทุ่มตรง ผมหงายหลังทั้งๆ ที่ขายังขัดสมาธิอยู่นั่นเอง ผมรู้ตัวว่าผมถูกสะกดแล้ว ผมก็ดิ้นๆ พยายามดิ้นเพื่อให้ร่างกายเคลื่อนไหว พยายามที่จะลุกขึ้นนั่ง พยายามที่จะร้องเรียกท่านอาจารย์ทิวา แต่ก็ทำอะไรไม่ได้สักอย่าง ผมพยามยามดิ้นอยู่พักใหญ่ ชักเริ่มหายใจไม่ออกแล้ว เหงื่อเม็ดโตๆ เริ่มออกมาท่วมตัวผมแล้ว  จิตใจผมรู้หมดทุกอย่าง แต่ร่างกายอึดอัดเหมือนถูกจับมัด จะขยับส่วนไหนก็ไม่ได้ทั้งสิ้น ผมเห็นท่าจะไม่ไหวแน่แล้ว ขืนทนต่อไปต้องขาดใจตายแน่.จิตตัวผู้รู้ของผมจึงบอกว่า.ยอมแพ้แล้วครับท่านอาจารย์.! เท่านั้นเอง อาการอึดอัดของผมเริ่มหายใจปกติขึ้น ค่อยๆ คืนสู่สภาพปกติ ผมจึงนึกถึงท่านอาจารย์ทิวา ว่าอาการจะเหมือนอย่างผมไหม?... จึงรีบเดินไปที่กุฏิท่านอาจารย์ทิวา.อาการคงไม่ต่างกัน แต่จิตท่านแข็งกว่าผม ท่านยังไม่ยอมแพ้ง่าย ๆ ...เสียงดิ้น ตึงตังๆ.อยู่ในกุฏิ เสียงลมหายใจดัง.ฟืดฟาดๆ.จิตท่านแข็งจริงๆ ท่านต่อสู่ทางพลังจิตกับท่านอาจารย์อยู่ได้ถึง ๔๐ นาที ผลสุดท้ายเห็นท่าจะไม่ไหวจริงๆ แล้ว ก็ต้องยอมแพ้โดยดุษฎี เหมือนอย่างผม...หลังจากที่ท่านอาจารย์คลายพลังจิตออกจากการสะกดท่านอาจารย์ทิวาแล้ว พวกผมก็เอาผ้าชุบน้ำเข้าไปเช็ดตัวให้ เห็นเหงื่อท่านอาจารย์ทิวาเปียกไปทั้งตัวเหมือนกับเพิ่งสรงน้ำเสร็จใหม่ๆ หลังจากนั้น ผมและท่านอาจารย์ทิวาก็นำดอกไม้ธูปเทียนเดินไปที่กุฏิท่านอาจารย์กราบขอขมาลาโทษที่ล่วงเกินท่าน ยอมรับท่านเป็นครูบาอาจารย์ตั้งแต่บัดนั้นจนถึงทุกวันนี้แหละครับ.พันเอกพิเศษ อาจารย์ณรงค์ แสงมณี เล่าจบลงด้วยความสนอกสนใจของพระภิกษุสามเณรเป็นอย่างมากทีเดียวสำหรับเรื่องนี้.ภายหลังจากเหตุการณ์ทดลองพลังจิตระหว่างศิษย์กับอาจารย์ในครั้งนั้นผ่านไปแล้ว ทั้งผม และท่านอาจารย์ทิวา ไม่ว่าท่านอาจารย์จะบอกอะไร สอนอะไร ให้ทำอะไร เป็นอันว่ายอมทำตามทุกอย่างโดยที่ไม่มีทิฐิมานะภายในจิตใจใดๆ ทั้งสิ้น

อภิญญาสมาบัติ

                หลายวันต่อมา พันเอกพิเศษ อาจารย์ณรงค์ แสงมณี ได้เล่าถวายพระภิกษุสามเณรอีกว่า เรื่องพลังจิตของท่านอาจารย์ใหญ่ของเรา (หลวงปู่สมชาย)นั้นไวมาก อยู่คนละจังหวัด ห่างไกลเป็นร้อยกิโลเมตร ท่านยังสามารถจับจิตของเราได้ ผมได้ประสบกับตัวผมเองมาแล้วเช่นกัน ในระหว่างที่อยู่วัดเขาไทรสายันห์สมัยนั้นเป็นสมัยก่อสร้างโบสถ์ พระเณรต้องทำงานขนหินขนทรายกันเอง แม้แต่ท่านอาจารย์ใหญ่ของเราก็ต้องทำงาน ผมเป็นฝ่ายติดต่อประสานงานภายนอกกับผู้มีศรัทธาทำบุญ วันหนึ่งผมได้ติดต่อกับโรงปูนที่สระบุรีเพื่อขอรับบริจาคปูนมาก่อสร้างโบสถ์ เขายินดีบริจาคแต่ให้เราเอารถไปขนเอง ผมก็นั่งไปกับรถบรรทุกและได้ปูนมาเต็มคันรถขากลับรถบรรทุกปูนคันที่ผมนั่งมานั้นเกิดอุบัติเหตุชนกับรถบขส. ที่มีผู้โดยสารมาเต็มคันรถ ในระหว่างนั้นเป็นทางขึ้นเขาคดเคี้ยวมากรถบรรทุกปูนทั้งคันก็หนักเกือบ ๒๐ตัน รถ บขส.ก็วิ่งลงเขามาด้วยความเร็วสูง โชเฟอร์ประมาทมากเพราะต้องการทำเวลาแย่งผู้โดยสารกันนั่นเอง ผมนั่งข้างคนขับหน้ารถมองเห็นเหตุการณ์แล้วว่ารถต้องชนกันแน่นอนอย่างไรก็หลบไม่พ้น.เปรี้ยง !.โครม !.รถทั้งสองคันเข้าประสานงานกันเต็มที่ ในพริบตานั่นเองผมนึกถึงบารมีท่านอาจารย์ (หลวงปู่สมชาย)ในใจทันที ขออย่าให้ใครถึงแก่ชีวิตเลย รถยนต์ยับเยินทั้งสองฝ่าย ผมคิดแต่ว่าทำอย่างไรดีปูนไปไม่ทันวันนี้แน่ พลางล้วงนาฬิกาที่ติดย่ามมา ๑๘.๔๕น.(โดยประมาณผมค่อนข้างจะลืมไปแล้ว) มีโยมใจดีคนหนึ่งขับรถผ่านมาประสบเหตุการณ์สอบถามรู้เรื่องแล้วก็อาสาพาผมมาส่งกลับวัดเขาไทรสายันห์ ส่วนโชเฟอร์รถปูนก็เฝ้ารถรอรถคันใหม่มาถ่ายปูนนำมาส่งเราที่วัดในวันพรุ่งนี้...ผมกลับถึงวัดมืดแล้ว ทั้งพระ เณรในวัดยืนรอผมอยู่เต็มไปหมดด้วยอาการตื่นตระหนก..เข้ามาถามผมว่ารถชนกันใช่ไหม? ๆ.. ผมเอะใจ!..จึงถามว่า ใครบอกทำไมรู้กันเร็วนัก..พวกผมทุกรูปกำลังช่วยท่านอาจารย์ทุบหินที่ข้างโบสถ์ จู่ ๆ ท่านอาจารย์ก็วางค้อนลงแล้วอุทานขึ้นว่า โ.อ๊ะ !..รถขนปูนของอาจารย์ณรงค์ ชนกับรถ บขส. รถเสียหายมากเสียด้วยแต่คนไม่เป็นไรทั้งสองฝ่าย คงมาไม่ได้แน่..วันนี้คงใช้ปูนไม่ทัน พระเล่าต่อไปอีกว่า .พวกผมจึงเฝ้ารออาจารย์ณรงค์กลับมาด้วยความเป็นห่วงนี่แหละครับ..

                ผมอัศจรรย์ตรงที่ว่าท่านอาจารย์ท่านไม่ได้เข้าสมาธิ ทั้งที่ท่านกำลังทุบปูนทุบหินกำลังทำงานอยู่แท้ๆ แต่อำนาจสมาธิของท่านนั้นแรงมากรถผมชนกันอยู่ที่สระบุรี แต่มากระทบจิตท่านที่ปากช่องได้อย่างไร แถมท่านยังบอกหมายเลขทะเบียนรถ เมื่อผมไปกราบรายงานท่านว่าเกิดเหตุดังกล่าว ท่านถามผมว่า รถชนกันเวลาหกโมสีสิบห้าใช่ไหม เลขทะเบียนนี้ใช่ไหม..ตรงเป๊ะเลยครับ แล้วใครมาบอกท่าน?..ก็ญาณที่แก่กล้าของท่านนั่นเอง ทั้งผมและท่านอาจารย์ทิวา จึงเลื่อมใสศรัทธาในปฏิปทาของท่านหลายๆ อย่าง...เรื่องวินัยนี่ไม่ได้เลยนิดๆ หน่อยๆ ท่านต้องแสดงอาบัติทันที ท่านสอนว่าอาบัติเล็กน้อยก็เป็นมลทิน ทำให้การบำเพ็ญติดขัด บำเพ็ญไม่ลง จิตใจเศร้าหมอง  ถ้าศีลบริสุทธิ์ จิตใจก็ผ่องใส การบำเพ็ญก็เจริญก้าวหน้า ต้องการอะไรอยากรู้อะไร ทำได้หมด โดยเฉพาะเรื่องอภิญญาสมาบัติ สามารถนำมาเล่นได้ทุกวัน ท่านกล่าวว่าอย่างนี้...

                เมื่อผมลาสิกขามาแล้ว ผมก็นำอำนาจจิตที่ได้รับการฝึกอบรมจากท่านอาจารย์มาใช้ในหน้าที่การงานของผม ซึ่งได้ผลดีมากเลยครับ เรื่องยิงปืน ยิงธนู ไม่มีพลาดหลับตายิงยังถูกเลยครับเป็นอย่างนั้นจริงๆ ทุกวันนี้ผมสอนวิชาให้ใครก็ตามผมจะบอกเสมอว่าต้องมีสติให้มั่นคง มีสมาธิให้แน่วแน่ อย่าวอกแวกไปทางอื่นไม่ว่าจะทำอะไรก็ตาม แต่ส่วนมากฆราวาสก็จะทำกันไม่ค่อยได้อย่างพระ โดยเฉพาะอาจารย์ใหญ่ของเรา ผมคิดว่าครูบาอาจารย์ทุกวันนี้ไม่มีรูปใดมีพลังจิตที่ฉับไวอย่างอาจารย์เราเลย ผมจึงคิดได้ว่าที่ท่านเจ้าคุณราชมุนีส่งผมมาให้ท่านอาจารย์อบรมก็คงเห็นว่าพวกผมไม่ค่อยเชื่อเรื่องเหล่านี้นั่นเอง ท่านจึงส่งมาให้รู้เห็นกับตาจะได้หายสงสัย ท่านอาจารย์ทิวาหลังจากท่านบวชได้ ๑ พรรษา ท่านก็ได้ลาออกจากราชการทหารเรือเลยทีเดียวเพราะท่านต้องการพ้นทุกข์ ท่านเป็นลูกผู้ดีมีสกุล ทั้งรวยทั้งหล่อ เป็นนักเรียนเมืองนอก ผ่านมาหมดทุกอย่าง ท่านจึงมุ่งทางธรรมอย่างเดียว ผมก็อนุโมทนากับท่านด้วย แต่ผมเองก็อยากอยู่ในทางธรรมเหมือนกัน เคยถามท่านอาจารย์ใหญ่ ท่านบอกว่า คุณอยากอยู่ก็อยู่ไม่ได้หรอก เพราะยังไม่หมดกรรมต้องออกไปรับใช้ประเทศชาติ   ก็จริงอย่างท่านว่า .ผมก็ต้องออกมารับใช้ประเทศชาติจนเกษียณอายุนี่แหละครับ....
(ฐานข้อมูล โดย พันเอกพิเศษ อาจารย์ ณรงค์  แสงมณี 

พาศิษย์ธุดงค์ภูวัว

                ออกพรรษาในปีนั้น หลวงปู่สมชายได้นำพาพระเณรไปบำเพ็ญภาวนาที่ภูวัว ในครั้งนี้ท่านพระอาจารย์ทิวา  อาภากโร ก็ได้ขอติดตามเดินธุดงค์หาความวิเวกตามป่าเขาลำเนาไพรด้วยอีกองค์หนึ่งซึ่งเป็นครั้งแรกในชีวิตของท่าน หลวงปู่ได้พาหมู่คณะพระเณรเดินผ่านไปทางปากกระดิ่ง บุ่งคล้า และได้พักอยู่ที่ปากกระดิ่ง ๑ คืน พอรุ่งเช้าก็ข้ามมาทางบุ่งคล้าแล้วออกเดินทางต่อไปภูวัว กะว่าจะไปขึ้นทางด้านทิศเหนือ แต่วันนี้ขึ้นยังไม่ถึงภูวัวก็มืดอยู่ตรงเนินเขาพอดี แต่หลวงปู่ก็ไม่ได้หยุดการเดินทางแต่อย่างไร ได้เดินลึกเข้าไปเรื่อยๆ ไกลพอสมควร เห็นว่าดึกมากแล้วท่านจึงได้สั่งให้หยุดการเดินทางในกลางป่านั้นและได้จัดการกางกลดเข้าพักผ่อนเอาแรงเพราะเหน็ดเหนื่อยจากการเดินทางมาตลอดวันข้าพเจ้าได้ดูนาฬิกาเป็นเวลาเที่ยงคืนพอดี
                รุ่งเช้าวันใหม่หลวงปู่ได้พาออกเดินทางต่อ เวลาประมาณ ๘ โมงเช้าก็เดินทางมาถึงถ้ำแกลบ ถ้ำแกว ถ้ำฝุ่น และได้ออกบิณฑบาตที่หมู่บ้านทุ่งทรายจก ได้ข้าวเหนียวองค์ละปั้น กับข้าวได้งากับปลาร้าอย่างละ ๑ ห่อ ได้กลับมาฉันจังหันที่ถ้ำฝุ่น หลวงปู่เห็นว่าข้าวและกับที่บิณฑบาตในวันนี้ได้น้อยเนื่องจากญาติโยมเขาไม่รู้ว่าจะมีพระมาจึงไม่ได้เตรียมตัวมาก่อน ท่านเกรงว่าพระเณรจะฉันไม่อิ่มจึงได้เอาข้าวในบาตรของท่านออกมาแบ่งเฉลี่ยถวายพระเณรเพิ่มเติมจนหมด เมื่อแบ่งข้าวถวายพระเณรเสร็จแล้วท่านก็ได้ให้พระเณรฉันกันไปเรื่อยๆ สำหรับหลวงปู่ไม่ได้ฉันจังหันในเช้าวันนั้นเลยท่านไปนั่งภาวนารอเวลาพระเณรฉันจนเสร็จจึงได้ออกหาสถานที่บำเพ็ญกันต่อไป..นิสัยเอื้อเฟื้อ เสียสละ แบ่งปันกับหมู่คณะนั้นท่านมักแสดงให้เห็นอยู่เสมอๆ จนบางครั้งพระเณรเกรงใจ ละอายใจต่อครูบาอาจารย์จนทำอะไรไม่ถูกเหมือนกัน  

                ในครั้งนี้พากันบำเพ็ญทำความเพียรอยู่ที่ถ้ำแกลบ ถ้ำฝุ่นได้นานพอสมควร จากนั้นจึงเคลื่อนย้ายเปลี่ยนสถานที่บำเพ็ญไปที่ถ้ำพระ เพราะเห็นว่าสถานที่สงบวิเวกดี อากาศดี น้ำก็สะดวกอุดมสมบูรณ์สถานที่หลบภาวนาก็มีมาก การมาอยู่บำเพ็ญในครั้งนี้ก็เหมือนกับเมื่อครั้งก่อนๆ คือ พระเณรไม่ต้องออกบิณฑบาต เป็นเพราะหมู่บ้านอยู่ห่างไกลมาก  ที่ใกล้ที่สุดคือบ้านต้อง และบ้านดอนเสียด ก็ต้องเดินถึง ๗-๘ กิโลเมตรทีเดียว ญาติโยมชาวบ้านจึงทำบุญโดยการเอาข้าวสารบ้าง ปลาร้า ถั่วงา ของแห้งต่างๆ มาฝากไว้ให้สามเณรเป็นผู้หุงหาจัดเตรียมอาหารถวายพระ เหมือนกับสมัยที่ขึ้นมาครั้งแรกๆ นั้น วิธีหุงข้าวถวายพระของเหล่าสามเณรก็คือใช้ปี๊บต้มข้าวแล้วใส่ผักหนาม หรือข่าป่า หรือหวายอ่อนจำนวนมาก เพราะผักป่าเหล่านี้จะหาได้ง่ายตามลำธารบนภูวัว แต่ข้าวสารนั้นต้องประหยัดเนื่องจากต้องคอยชาวบ้านนำมาส่งให้เท่านั้น ...แต่ละมื้อจึงใช้ข้าวสารเพียง ๑ แก้ว ต่อพระเณร ๑๐ กว่ารูป พอได้ฉันให้มีชีวิตอยู่เพื่อการบำเพ็ญภาวนาไปวันหนึ่งๆ เท่านั้น เมื่อจัดเตรียมหุงหาอาหารเสร็จเรียบร้อยแล้วสามเณรก็จะให้สัญญาณเคาะเหล็กหรือจอบเก่าๆ ซึ่งมีไว้ใช้แทนระฆัง เคาะเรียกพระที่ท่านทำความเพียรอยู่ตามโขดหิน เงื้อมถ้ำ หรือที่ต่างๆ นั้นให้มารวมกันฉันภัตตาหาร เมื่อท่านมาพร้อมกันแล้วก็ตักข้าวที่คล้ายๆ ข้าวเลี้ยงหมูนั้นใส่บาตรกันแค่เพียงพอฉัน เสร็จแล้วก็แยกย้ายกันหาที่ทำความเพียรต่อไป ซึ่งเป็นกิจวัตรประจำวันอย่างนี้ตลอดมา... ทุกท่านทุกรูปต่างมุ่งมั่นจริงจังต่อการฝึกจิตใจอย่างยิ่ง เทพเจ้าสิ่งเร้นลับที่ไม่สามารถทราบได้ว่าท่านอยู่ชั้นใด ก็มักจะมาอนุโมทนาในวันพระ ๘ ค่ำ ๑๔ ค่ำ ๑๕ ค่ำ โดยเวลาหลังเที่ยงคืนไปแล้ว ทั้งพระและเณรทุกรูปมักจะได้กลิ่นหอมชนิดที่ไม่เคยมีที่ใด สังเกตได้ว่าจะแสดงปรากฏด้วยกลิ่นในเวลาเดียวกันทุกคืน กลิ่นละมุนละไมไม่ทราบจะเอากลิ่นอะไรในเมืองมนุษย์เราเปรียบได้ หอมตลบอบอวลไปทั่วบริเวณ แต่พอเลยสองยามไปแล้วก็กลับปกติไม่มีกลิ่นอะไรหลงเหลืออีกเลย ตอนกลางวันก็พยายามเดินสังเกตดูว่าบริเวณนี้มีต้นไม้ดอกชนิดใดบ้างก็ไม่ปรากฏว่ามี สรุปว่าไม่ใช่กลิ่นดอกไม้ในเมืองมนุษย์เรา ด้วยกลิ่นร่ำ กลิ่นพิเศษที่ไม่มีในเมืองมนุษย์เราที่ได้รับกันอยู่เสมอเป็นประจำทุกคืนนี้จึงเกิดความอยากรู้ เพื่อจะได้หายสงสัยจึงได้กราบเรียนถามหลวงปู่ว่า กลิ่นพิเศษเหล่านี้ คือกลิ่นอะไร และทำไมจึงมีเฉพาะบางเวลา โดยในวันศีลจะได้รับกลิ่นนี้ตั้งแต่หัวค่ำจนสว่าง หลวงปู่ตอบว่า

                เทพเจ้าเหล่าเทพา ท่านจะไปที่ไหนมาที่ไหน หรืออยู่ที่ไหน ก็มักปรากฏให้ทราบได้โดยทางกลิ่น ท่านมาอนุโมทนากับการทำความเพียรของพวกเรา โดยเฉพาะพวกเราเป็นผู้มีศีลอันบริสุทธิ์ และทำความเพียรทางจิตนั่นเอง สมัยที่ผมอยู่กับหลวงปู่มั่นก็เหมือนกัน เวลาเที่ยงคืน เทวดาจะลงมาฟังธรรมจากหลวงปู่มั่น บริเวณวัดทั้งวัดจะหอมตลบอบอวลทั่วไปหมด แต่ถ้านอกเขตวัดไปแล้วจะไม่มีใครได้กลิ่นใดๆ เลย บางครั้งนอกจากกลิ่นละมุนละไมแล้วก็ยังมีเป็นแสงขาวนวลส่องแสงสว่างไสวก็เคยปรากฏมาแล้ว ในสมัยพุทธกาลก็อย่างนี้ มีอยู่กิจหนึ่งที่พระบรมศาสดาทรงเปิดโอกาสให้แก่เทวดาได้ลงมาฟังธรรม อันเป็นหนึ่งในห้าของพุทธกิจ ของพระผู้มีพระภาคเจ้า องค์พระมุนีผู้ประเสริฐทรงยังกิจ ๕ ประการดังนี้...

                ๑. ปุพฺพญฺเห ปิณฺฑปาตญฺจ เวลาเช้าเสด็จออกบิณฑบาตโปรดสัตว์โลก

                ๒. สายณฺเห ธมฺมเทสนํ  เวลาเย็นทรงแสดงธรรม (อบรมพุทธบริษัท)

                ๓. ปโทเส ภิกฺขุโอวาทํ  เวลาค่ำประทานโอวาทแก่เหล่าภิกษุ

                ๔. อฑฺฒรตฺเต เทวปญฺ หนํ เวลาเที่ยงคืนทรงตอบปัญหาแก่เหล่าเทวดา 

                ๕. ปจฺจุสฺเสว คเตกาเล ภพฺพาภพฺเพ วิโลกนํ เวลาใกล้รุ่งทรงตรวจดูสัตว์โลกที่สามารถและยังไม่สามารถบรรลุธรรมอันควรที่จะเสด็จไปโปรดหรือไม่ ด้วยข่ายพระญาณ

                วันนี้หลวงปู่ได้เทศนาเรื่องเทวดาให้พวกเราได้ฟังหลายอย่าง แต่หลวงปู่ไม่ได้ชี้ชัดว่าหลวงปู่ได้เทศนาให้เทวดาฟังเป็นประจำทุกคืนแต่อย่างไร แต่พวกเราก็สามารถรู้ได้ว่ากลิ่นหอมละมุนละไมที่มีมาทุกๆ คืนนั้น ก็คือเทวดาท่านลงมาฟังเทศน์จากหลวงปู่นั่นเอง การมาทำความเพียรที่ภูวัวแต่ละครั้งก็จะได้กลิ่นหอมพิเศษค่อนข้างบ่อยมากเป็นประจำจนพวกเราเกิดปีติ จนขนลุก ซึ่งเป็นอยู่อย่างนี้ตลอด ๔-๕ เดือน เมื่อการบำเพ็ญภาวนาอยู่บนภูวัวครั้งนี้เป็นเวลานานเหมาะแก่กาลแล้ว ก่อนใกล้ถึงฤดูกาลพรรษาหลวงปู่จึงได้นำหมู่คณะพระเณรลงจากภูวัว เดินวิเวกไปเรื่อยๆไม่รีบไม่ร้อน โดยตั้งใจว่าจะเดินทางไปจำพรรษาที่ ถ้ำเป็ด อำเภอส่องดาว จังหวัดสกลนคร

พ.ศ. ๒๕๐๒
จำพรรษาที่ถ้ำเป็ด ภูเหล็ก
บ้านหนองม่วง ตำบลปทุมวาปี อำเภอส่องดาว จังหวัดสกลนคร

                ปี พ.ศ.๒๕๐๒ ภายหลังที่ได้เดินทางลงมาจากภูวัวแล้ว หลวงปู่สมชายก็ได้นำพาหมู่คณะพระเณรทั้งหมดออกเดินหาสถานที่วิเวกเพื่อปฏิบัติภาวนาตลอดเส้นทางที่ผ่าน ซึ่งมุ่งไปทางอำเภอสว่างแดนดิน จังหวัดสกลนคร ถึงป่าไหน ภูเขาลูกไหน ที่เห็นว่าพอทำความเพียรได้ก็แวะพักตามรายทางไปเรื่อย เพราะสมัยนั้นป่าไม้ธรรมชาติมีอยู่ทั่วไป ต้นไม้แต่ละต้นมีแต่ใหญ่ๆ ขนาดเท่าตู้รถไฟทีเดียว แวะกราบรับอุบายธรรมจากครูบาอาจารย์ตามสำนักต่างๆ ไปด้วย ผ่านบ้านเล็กบ้านน้อยก็แวะอบรมสั่งสอนโปรดญาติโยมไปด้วย แต่มีจุดหมายปลายทางที่ตั้งใจไว้แต่แรกว่าจะไปจำพรรษาที่ถ้ำเป็ด ภูเหล็ก ตำบลปทุมวาปี อำเภอส่องดาว จังหวัดสกลนคร ซึ่งอยู่ใกล้ๆ กับวัดถ้ำอภัยดำรงธรรม ของท่านพระอาจารย์วัน อุตฺตโม

                ถ้ำเป็ดนับว่าเป็นสถานที่ ที่สงบสงัด วิเวก เหมาะแก่การทำความเพียรอีกแห่งหนึ่ง บรรดาครูบาอาจารย์ฝ่ายกรรมฐานหลายรูปจึงมักแวะเวียนไปพักบำเพ็ญเพียรหาความสงบกันเป็นประจำไม่ค่อยขาดระยะ หลวงปู่ได้นำพาพระเณรเดินทางมาถึงถ้ำเป็ดในราวเดือนเจ็ด จึงพอมีเวลาในการจัดเตรียมสถานที่เสนาสนะที่จะอยู่จำพรรษาได้อีกระยะหนึ่ง ซึ่งก็ได้รับความร่วมแรงร่วมใจจากชาวบ้านขึ้นมาช่วยถากถางทำความสะอาดกันหลายคนน่าอนุโมทนาเป็นอย่างยิ่ง ในระหว่างพรรษานี้ก็ได้ตั้งใจปฏิบัติกันเต็มที่ด้วยกันทุกรูป ส่วนหลวงปู่นั้นท่านต้องมีภาระในการอบรมสั่งสอนประชาชนในวันธรรมสวนะเหมือนกับทุกที่ ที่ท่านเคยไปอยู่ ญาติโยมชาวบ้านใกล้ๆ นั้นก็ได้มาให้การอุปถัมภ์อุปัฏฐากอย่างดี มีบ้านหนองม่วง บ้านหนองบัว และบ้านหนองแวง เป็นต้น ผู้ที่เป็นกำลังสำคัญในเขตนี้ก็มี กำนันทอน ผู้ใหญ่อาจารย์ดี พ่อออกคล้าย พ่อออกคิ้ว แม่ออกเขียน และ คุณไสว ศิริบุศย์ เป็นต้น ชาวบ้านส่วนใหญ่มีความเคารพนับถือหลวงปู่มาก ในระหว่างพรรษาปีนี้ก็ได้ทราบข่าวว่าท่านพระอาจารย์สีลา เทวมิตฺโต แห่งวัดโชติการาม บ้านหนองบัว ซึ่งอยู่ห่างจากถ้ำเป็ดประมาณ ๖-๗ กม. ท่านได้อาพาธ หลวงปู่ก็ได้นำพาพระเณรไปเยี่ยมไข้หลายครั้ง บางครั้งก็ได้ปฏิบัติดูแลท่านอย่างใกล้ชิด เพราะว่าท่านพระอาจารย์สีลา เทวมิตฺโตนั้นท่านเป็นพระเถระผู้ใหญ่ที่มีลูกศิษย์ลูกหามากมาย มีชื่อเสียงโด่งดังในเขตนั้นอีกรูปหนึ่ง ลูกศิษย์ ลูกหาทุกฝ่ายก็พยายามช่วยกันรักษาพยาบาลเพื่อต้องการให้ท่านมีชีวิตเป็นที่พึ่งของชาวบ้านสืบต่อไปอีก หลายครั้งหลวงปู่ต้องเดินทางไปเอายาจากกรุงเทพฯมารักษา ถึงแม้ว่าจะพยายามกันขนาดไหนก็แล้วแต่ อาการของท่านพระอาจารย์สีลา มีแต่ทรุดลงทุกวัน และที่สุดท่านก็ได้ถึงแก่มรณภาพในระหว่างพรรษาปีนั้น เป็นที่เศร้าโศรกเสียใจของบรรดาผู้ที่เคารพนับถือเป็นอย่างยิ่ง เมื่อหลวงปู่สมชาย ทราบข่าวการมรณภาพของท่านพระอาจารย์สีลา แล้วก็ได้ปรึกษาหารือว่าจะต้องนำพาพระเณรและญาติโยมชาวบ้านไปช่วยปฏิบัติศพ มีการจัดงานบำเพ็ญกุศลตามประเพณีอย่างสมเกียรติของครูบาอาจารย์ โดยเฉพาะเรื่องโรงเลี้ยงโรงทานต้องให้มีตลอดงาน ตั้งใจว่าจะไปร่วมงานศพของครูบาอาจารย์ซึ่งเป็นที่เคารพนับถือ แต่การไปร่วมงานครูบาอาจารย์ผู้ใหญ่ระดับนี้นั้นจะไปแต่ตัว หรือไปแบบมือเปล่าๆ นั้น ก็ออกจะดูไม่เป็นการอันสมควรด้วยประการทั้งปวง จึงได้เรียกญาติโยมมาปรึกษาหารือเรื่องการจะไปงานศพครูบาอาจารย์ในครั้งนี้ ถ้าได้หน่อไม้ไปร่วมในงานนี้บ้างก็จะเป็นการดี จะได้ประกอบอาหารถวายพระและ เลี้ยงแขกที่มาร่วมงาน จึงขอให้ญาติโยมพากันขึ้นไปบนภูเขาหาเก็บหน่อไม้สัก ๒-๓ กระสอบเพื่อจะได้นำไปร่วมงานครั้งนี้

                บรรดาญาติโยมทั้งหมดเมื่อทราบจุดประสงค์ของหลวงปู่แล้ว ก็จัดหามีด เสียมและกระสอบ รีบออกเดินทางขึ้นไปบนภูเขาเพื่อหาหน่อไม้ทันที ญาติโยมทั้งหมดได้เดินทางไปหาหน่อไม้ตั้งแต่เช้าจนเที่ยง ตะวันบ่ายคล้อยแล้วก็ยังไม่ปรากฏว่าจะได้หน่อไม้แต่อย่างไร เนื่องจากในช่วงนั้นใกล้ออกพรรษาแล้ว หน่อไม้จึงถูกชาวบ้านขึ้นมาหาไปประกอบอาหารกันทุกวัน ที่พอจะมีหลงเหลืออยู่บ้างก็เป็นลำต้นสูงๆไปหมดแล้ว และบ้างก็เพิ่งจะปริ่มดินขึ้นมาอยู่ในกลางกอ สรุปแล้วก็คือจะหาหน่อไม้ไปร่วมในงานจำนวนมากๆ เช่นนี้คงไม่มีทาง คณะชาวบ้านที่ได้ขึ้นไปหาหน่อไม้เดินวนเวียนกันจนอ่อนล้าไปตามๆ กัน จึงได้พากันกลับลงมาจากภูเขาเข้าไปกราบเรียนหลวงปู่ว่า พวกกระผมได้พากันขึ้นไปหาหน่อไม้ตั้งแต่เช้าจนบ่ายป่านนี้แล้ว ยังไม่ได้หน่อไม้เลยแม้แต่หน่อเดียวเพราะว่าหน่อไม้บนภูเขานั้นพวกกระผมก็ได้ขึ้นไปหามาทำอาหารกินกันทุกวัน แต่กว่าจะได้แต่ละหม้อนั้นก็ยากลำบาก  บางหน่อก็ติดปลายลำเป็นต้นไปหมดแล้วก็มี ยิ่งต้องการจำนวนมากๆ อย่างนี้ด้วยแล้ว เห็นจะไม่มีทางเป็นไปได้เลยครับ...

                เมื่อหลวงปู่สมชาย ได้รับแจ้งจากญาติโยมดังนั้นแล้ว จึงนั่งพิจารณาว่า เอ.! จะทำอย่างไรดี ถ้าไม่ได้สิ่งของไปร่วมงานครูบาอาจารย์ในครั้งนี้เราก็ไม่ควรไป.! เพราะนิสัยของเรานั้นจะไปงานไหนก็แล้วแต่ จะไม่ไปเอาประโยชน์ ณ ที่แห่งนั้น มีแต่จะเอาประโยชน์ไปให้เท่านั้น ยิ่งครั้งนี้ด้วยแล้ว เป็นงานของครูบาอาจารย์ผู้ใหญ่ขนาดนี้ ถ้าเราไปมือเปล่าโดยที่ไม่มีอะไรติดมือไปร่วมงานเลยนั้นเราก็ไม่ควรไป และควรจะรีบหนีออกจากสถานที่แห่งนี้ไปเสียให้ไกล เพื่อหมู่คณะจะได้รู้ว่าเราไม่อยู่ ถ้าเราขืนอยู่แล้วไม่ไปร่วมงานก็เห็นจะหน้าเกลียด...

                ท่านได้นั่งพิจารณาอยู่ครู่ใหญ่แล้วจึงได้ปรารภกับญาติโยมว่า อาตมาเห็นจะไปร่วมในงานครูบาอาจารย์ครั้งนี้ไม่ได้แน่แล้ว และก็เห็นว่าจะอยู่ที่นี้ต่อไปไม่ได้อีกด้วย... เมื่อบรรดาญาติโยมได้ยินได้ฟังดังนั้นแล้วต่างคนต่างก็ตกอกตกใจไม่รู้ว่าจะทำประการใดดี จึงกราบเรียนหลวงปู่ว่า ...มีวิธีไหนที่ครูบาอาจารย์จะไปร่วมในงานครั้งนี้ได้ขอให้บอกพวกกระผมเถิดครับ ? แต่ขออย่างเดียวขอให้ท่านอาจารย์อยู่เป็นร่มโพธิ์ร่มไทรให้พวกกระผมที่นี่ต่อไป อย่าได้หนีจากพวกกระผมก็แล้วกัน...

เทวดาจำแลง

      หลวงปู่จึงปรารภขึ้นว่า เอาอย่างนี้ อาตมาขอให้พวกเราทุกคนนี่ ทดลองขึ้นไปหาหน่อไม้บนเขาอีกสักครั้งหนึ่ง ถ้าได้หน่อไม้ไปร่วมงานครูบาอาจารย์ อาตมาก็จะขออยู่กับญาติโยม ณ ที่นี้ต่อไป แต่ถ้าไม่ได้จริงๆ อาตมาก็เห็นจะอยู่ที่นี้ต่อไปไม่ได้แน่... การขึ้นไปหาหน่อไม้ก็พึ่งจะลงมายังไม่ทันจะหายเหนื่อยเลย แต่ทุกคนก็ขันอาสาขอขึ้นไปหาหน่อไม้ลองดูอีกสักครั้งตามที่หลวงปู่ต้องการ ว่าแล้วต่างคนต่างก็หยิบฉวยมีดบ้างกระสอบบ้าง เสียมบ้างคนละอย่างสองอย่าง เดินขึ้นภูเขาไปตามเส้นทางเก่าเพื่อค้นหาหน่อไม้เป็นรอบที่สอง ต่างคนต่างก็เดินไปคิดไปว่าจะทำอย่างไรดีจึงจะได้หน่อไม้ตามที่หลวงปู่ต้องการได้ เพราะว่าป่านี้ทั้งป่าก็แทบจะไม่มีหน่อไม้ลัดออกมาอยู่แล้ว เพราะลัดออกมาก็ไม่ทันคนกิน ในขณะที่ทุกคนกำลังเดินคิดถึงเรื่องการหาหน่อไม้อยู่นั้น สายตาทุกคู่จ้องจับอยู่ที่แห่งเดียวกัน ทุกคนแทบไม่เชื่อสายตาของตัวเอง ถึงความมหัศจรรย์ที่บังเกิดขึ้นต่อหน้าต่อตาทุกคน อย่างที่ไม่คาดคิดมาก่อน

                ..ฝูงลิงตัวโตๆ ไม่ทราบว่าออกมาจากที่ไหนมากมายเต็มป่าไปหมด ลิงทุกตัวเหมือนรู้หน้าที่ต่างก็ปีนขึ้นไปหักหน่อไม้แล้วก็โยนออกมากองระเนระนาดเต็มทางเดินไปหมด บ้างก็หักแล้วเอาเหน็บไว้ที่กอไผ่ กะสูงขนาดศีรษะ พอเอามือยื่นไปหยิบถึง บ้างก็เอามือขุดล้วงเข้าไปในกอ พอชักมือออกมาก็มีหน่อไม้ติดมือออกมาด้วยทุกครั้งไป... นับว่าเป็นเรื่องที่แปลกมากทีเดียว

                ไม่ว่าชาวบ้านจะเดินทางไปทางไหน พวกลิงเหล่านั้นก็จะออกเดินนำหน้าแล้วหักหน่อไม้ออกมากองตามทางตลอดไป ผิดกับที่ขึ้นมาครั้งแรกจะหาหักเองยังหาไม่ได้เลย แต่ครั้งนี้เพียงแต่เก็บใส่กระสอบอย่างเดียวก็แทบจะเก็บไม่ทัน จึงทั้งงุนงง.ทั้งสงสัย.ทั้งตื่นเต้น บางคนตื้นตันจนน้ำตาไหล ความงวยงงสงสัยจึงมีเกิดขึ้นกับทุกคนว่า ...ตั้งแต่ไหนแต่ไรมา บางคนอยู่ที่นี่มาตั้งแต่เด็กๆ จนอายุถึง ๖๐-๗๐ ปี ยังไม่เคยเห็นลิงป่าประเภทนี้เลย สมัยก่อนนั้นก็เคยมีอยู่บ้าง แต่เป็นลิงอีกประเภทหนึ่ง...และต่อมาก็ได้พากันหนีไปจากป่านี้ เข้าไปในป่าลึกกันจนหมดสิ้นเพราะกลัวภัยจากพวกมนุษย์

                วันนี้จึงนับว่าเป็นวันแห่งความมหัศจรรย์แห่งชีวิตของบรรดาญาติโยม บางคนถึงกับอุทานออกมาว่า ...ตั้งแต่ข้าเกิดมาก็เพิ่งมีบุญได้พบเห็นสิ่งมหัศจรรย์ ก็ครั้งนี้เอง... เมื่อพากันเก็บหน่อไม้ใส่กระสอบได้มากพอสมควรแล้ว จึงได้พากันลำเลียงลงจากภูเขา บรรดาฝูงลิงทั้งหลายเมื่อหมดหน้าที่แล้วก็ได้พากันวิ่งเข้าป่าหายไป บรรดาญาติโยมจึงได้พากันลำเลียงหน่อไม้ลงมาถึงถ้ำเป็ดอย่างทุลักทุเล แล้วทุกคนก็พากันไปกราบเรียนหลวงปู่ถึงเหตุการณ์ที่ได้ประสบมาสดๆ ร้อน ๆ นั้นให้ทราบอย่างตื่นเต้น และปลื้มปีติ

                จึงเป็นอันว่าการที่จะเดินทางไปร่วมงานศพท่านพระอาจารย์สีลา เทวมิตฺโตก็ได้เป็นไปตามเจตนาของหลวงปู่ทุกประการ และได้นำหน่อไม้ไปร่วมงานเพื่อปรุงอาหารถวายพระภิกษุสามเณร และเลี้ยงแขกที่มาร่วมงานครั้งนั้นอย่างอุดมสมบูรณ์
                หลวงปู่สมชาย ได้นำคณะพระเณรมาช่วยจัดงานเตรียมงานตั้งแต่เริ่มงานจนกระทั่งถวายเพลิงศพท่านพระอาจารย์สีลา เทวมิตฺโต จนเสร็จเรียบร้อยก็ได้พาคณะกลับไปบำเพ็ญที่ถ้ำเป็ดต่อมาอีกระยะหนึ่ง  พอดีในช่วงนั้นสามเณรประไพ รูปเหลี่ยม อายุครบที่จะอุปสมบทเป็นพระภิกษุได้แล้ว หลวงปู่จึงได้พาสามเณรประไพ เดินทางกลับไปยังภูมิลำเนาบ้านเกิดเพื่อทำพิธีการญัตติกรรมสามเณรประไพ ในครั้งนั้นจึงได้เดินทางกลับมาจังหวัดมุกดาหาร ได้ไปพักอยู่ที่ภูเก้าเพื่อแจ้งข่าวงานบุญให้หมู่ญาติพี่น้องของสามเณรประไพได้อนุโมทนา ต่อจากนั้นท่านก็ได้นำสามเณรประไพไปทำพิธีญัตติที่วัดศรีมงคลเหนือ จังหวัดมุกดาหาร เสร็จแล้วก็ได้กลับมาพักที่ภูเก้าอีกระยะหนึ่ง จึงได้พากันลงมาจากภูเก้าเดินทางไปอำเภออำนาจเจริญ พักอยู่ที่วัดอ่า ประมาณ ๓ เดือน แล้วก็เคลื่อนลงมาทางจังหวัดอุบลราชธานี จังหวัดสุรินทร์ จังหวัดบุรีรัมย์ พอเข้าเขตจังหวัดสุรินทร์ฝนตกหนักมากทั้งวันทั้งคืน แต่ก็ไม่ได้หยุดพัก เปียกกันทุกรูป มีแต่ผ้าครอง และผ้าที่ใส่อยู่ในบาตรเท่านั้นที่ไม่เปียก เดินทางต่อไปเรื่อยๆ จนมาถึงบ้านบุ เห็นมีวัดประจำหมู่บ้าน ชื่อวัดตะเคียน จึงได้เข้าไปขอพักหลบฝน ทั้งเปียกทั้งหนาวสั่นกันทุกรูป  กะว่าจะพักพอตากให้ผ้าแห้ง หายเหนื่อยหายหนาวแล้วก็จะออกเดินทางต่อ แต่พอดีชาวบ้านคนหนึ่งที่นั่นได้เข้ามาต้อนรับ สอบถามทราบว่า ชื่ออาจารย์ประยูร เคยบวชได้นักธรรมเอก เป็นลูกศิษย์หลวงปู่ดูลย์ อตุโล ได้เข้ามาพูดคุยสอบถามต้อนรับเป็นเจ้าบ้านที่ดี เมื่อทราบว่าหลวงปู่และคณะมุ่งหาความสงบวิเวก หาสถานที่ทำความเพียร อาจารย์ประยูรเมื่อทราบความประสงค์แล้วจึงกราบเรียนแนะนำว่า บนปรางค์ปราสาทนั้น มีที่พักสงฆ์สมัยหลวงปู่ดูลย์ เคยมาทำความเพียรซึ่งขณะนี้มีหลวงตาศิษย์หลวงปู่ดูลย์อยู่ ๒ รูป จึงขอกราบนิมนต์หลวงปู่และคณะไปพักบำเพ็ญที่ปราสาทเขาพนมรุ้งเห็นจะเหมาะแก่การทำความเพียรดี ซึ่งอยู่ห่างจากที่ตรงนี้ไปประมาณ ๑ กม.หลวงปู่พร้อมด้วยพระเณรจึงเดินขึ้นไปดู เมื่อไปเห็นแล้วก็รู้สึกว่าแปลกดี สวยงามมาก เป็นลักษณะปรางค์ปราสาทเก่าแก่มีซากปรักหักพังจำนวนมาก สมัยนั้นยังไม่ได้มีการบูรณะฟื้นฟู มีลวดลายวิจิตรพิสดาร ศิลปะยุคขอมเก่าแก่จริงๆ ดูรกร้างและปกคลุมไปด้วยไม้เลื้อยและเครือเขาเถาวัลย์เต็มไปหมด ก็มองดู ครึ้มๆ น่ากลัว แต่มีความสงบสงัดวิเวกมาก หลวงปู่จึงได้ตกลงที่จะจำพรรษาที่ปราสาทเขาพนมรุ้ง ในปี พ.ศ.๒๕๐๓ นั้น

พ.ศ. ๒๕๐๓
จำพรรษาที่ปราสาทเขาพนมรุ้ง
ตำบลตาเป๊ก อำเภอประโคนชัย (ปัจจุบันเป็นอำเภอเฉลิมพระเกียรติ) จังหวัดบุรีรัมย์

                ปีพ.ศ. ๒๕๐๓ ได้พากันจำพรรษาอยู่ที่ปราสาทเขาพนมรุ้ง อำเภอประโคนชัย จังหวัดบุรีรัมย์ ซึ่งเดิมเป็นที่บำเพ็ญเก่าของหลวงปู่ดูลย์ อตุโล ปัจจุบันนี้มีหลวงตาพวง และหลวงตาเถาะ กับสามเณรอ้วน ซึ่งทั้งหมดเป็นศิษย์หลวงปู่ดูลย์ได้อยู่ดูแลรักษา สถานที่ของครูบาอาจารย์เอาไว้ ในพรรษานี้มีพระจำพรรษาด้วยกัน คือ

                ๑. หลวงปู่สมชาย ๒. พระประไพ ๓. พระทองม้วน ๔. พระฮุม และสามเณรอีก ๕ รูป รวมทั้งเจ้าของถิ่นซึ่งมี ๓ รูป คือหลวงตาพวง หลวงตาเถาะ และสามเณรอ้วน รวมกันแล้วจึงจำพรรษากันทั้งหมด ๑๒ รูปด้วยกัน แต่ชาวบ้านแถบนี้ส่วนมากจะเป็นชาวส่วย และชาวเขมรกันทั้งหมด ซึ่งก็มีความเคารพเลื่อมใสในพระพุทธศาสนา และมีความศรัทธาต่อพระสายปฏิบัติเป็นอย่างดีจึงสะดวกและง่ายต่อการอบรมสั่งสอน ตลอดพรรษาหลวงปู่ก็ได้เทศนานำพาปฏิบัติและให้รักษา ศีล๕ ศีล๘ ให้รู้จักการภาวนาตามแบบฉบับที่หลวงปู่ดูลย์เคยอบรมสั่งสอนไว้ นอกจากนั้นท่านก็ยังได้นำพาชาวบ้านพัฒนาบูรณะตกแต่งปรางค์ปราสาทให้สะอาดสะอ้าน สวยงาม ร่มรื่น ให้เป็นสถานที่น่าบำเพ็ญภาวนา น่าอยู่อาศัย ไม่น่ากลัวเหมือนแต่ก่อน ในพรรษานี้หลวงปู่ก็ได้มีโอกาสศึกษาภาษาท้องถิ่นจากชาวบ้านไปด้วย  หลวงปู่จึงสามารถพูดได้ทั้งภาษาส่วยและภาษาเขมรได้เป็นอย่างดี  ได้ไปบิณฑบาตสามทางด้วยกัน มีสายบ้านบุ สายบ้านยายแย้ม สายบ้านโคกหัวเสือ ชาวบ้านใส่บาตรกันดีมาก  ส่วนการปฏิบัติของพระภิกษุสามเณรในพรรษาปีนี้ ต่างก็ได้รับความสงบเป็นไปได้ดีกันทุกรูป เร่งดูจิตใจของตนเองกันเป็นหลัก แต่ก็อยู่ได้เพียงพรรษาเดียวเท่านั้น พอออกพรรษาแล้วชาวบ้านได้จัดให้มีการทอดกฐินตามธรรมเนียมประเพณีของชาวพุทธ และก็ได้ล่ำลาหลวงตาทั้งสองรูป ลาชาวบ้านทุกคนในวันทอดกฐินนั่นเองว่าจะออกเดินทางไปข้างหน้าเพื่อแสวงหาสถานที่อันสงบสงัดแห่งใหม่ต่อไป ชาวบ้านก็พากันมาอาราธนาให้อยู่โปรดพวกเขาต่อไปอีก แต่ก็ไม่ได้รับปากอะไร เมื่อเสร็จธุระต่างๆ แล้ว หลวงปู่ก็ได้พาหมู่คณะออกเดินทางจากปราสาทเขาพนมรุ้ง ตั้งใจว่าจะลงไปทางภาคใต้



ศรัทธา ๘๐ บาทของชาวบ้านยายแย้ม

ล่ำลาญาติโยมเป็นที่เรียบร้อยแล้วก็พากันออกเดินทางไปขึ้นรถไฟที่สถานีรถไฟจังหวัดบุรีรัมย์ มีชาวบ้านติดตามไปส่งกันเป็นจำนวนมาก ในครั้งนี้ชาวบ้านยายแย้มได้รวบรวมปัจจัยหมดทุกครัวเรือนทั้งหมู่บ้านได้จำนวน ๘๐ บาท ถวายเป็นค่าโดยสารแก่หลวงปู่และคณะ ในสมัยนั้นก็ถือว่ามากและใช้เป็นค่าโดยสารรถไฟเดินทางเข้ากรุงเทพหมดพอดี จากเหตุการณ์ครั้งนั้นหลวงปู่เมื่อไปถึงไหนก็แล้วแต่มักจะพูดถึงเรื่องเงินค่าโดยสาร ๘๐ บาท ที่ชาวบ้านยายแย้มรวบรวมถวายในครั้งนั้นอย่างไม่เคยลืมบุญคุณเลย หลวงปู่และคณะได้นั่งรถไฟไปลงที่หัวลำโพง ต่อจากนั้นก็นั่งรถยนต์ต่อไปลงที่อำเภอหัวหิน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ เมื่อเดินทาง ไปถึงอำเภอหัวหินแล้วก็ได้เข้าไปพักที่วัดราชายตนะบรรพต ซึ่งมีท่านพระอาจารย์ฉลวยเป็นเจ้าอาวาส โดยแยกเป็นวัดล่าง และวัดบนภูเขา ได้พากันขึ้นไปอยู่ที่วัดบนหลังเขา ซึ่งมีอีกวัดหนึ่งตั้งอยู่บนนั้น มีความสงบสงัดดีมาก ได้พักอยู่ประมาณ ๒-๓ เดือน แล้วจึงได้กราบลาท่านพระอาจารย์ฉลวยเพื่อจาริกหาสถานที่ทำความเพียร โดยเข้าไปในป่าละอู ซึ่งเป็นดงดิบพื้นที่ป่าขนาดใหญ่อีกแห่งหนึ่งของเมืองไทยที่มีเขตแดนติดต่อกับประเทศพม่า

บำเพ็ญธรรมในแดนกะเหรี่ยง

                หลวงปู่ได้นำพาหมู่คณะเข้าไปหาสถานที่วิเวกลึกเข้าไปในป่าที่ห่างไกลจากวัดราชายตนะบรรพต เข้าไปในป่าดงใหญ่ซึ่งมีต้นไม้หนาแน่นและเป็นดงดิบจริงๆ.หลวงปู่ปรารภให้ฟัง เมื่อคราวที่เดินทางเข้าไปเยี่ยมญาติโยมที่เคยมีอุปการคุณ ว่า สมัยก่อนนั้น สัตว์ป่าชุกชุมมาก ยามสายๆ หน่อย เมื่อพระอาทิตย์ทอแสงขึ้น เสียงชะนีจะกู่ร้องโหยหวนกังวานไปทั่วพื้นป่าทีเดียว จำพวกควายป่า หรือกระทิง ก็ชุกชุมมาก ป่าไม้สมัยนั้นน่าอยู่มากยัง ไม่ถูกทำลาย ธรรมชาติจึงสมบูรณ์ ลำห้วยลำธารและสายน้ำมีอยู่ทั่วไป จะเดินไปทางไหนก็ร่มเย็น แทบจะไม่ได้เห็นดวงอาทิตย์เลย เพราะเป็นดงดิบจริงๆ ทุกวันนี้ป่าไม้ใหญ่ๆ ไม่มีให้เห็นอีกแล้ว ถูกมนุษย์ทำลายเพื่อเอาพื้นที่ปลูกสับปะรดกันหมดนับเป็นแสนๆ ไร่ ลำห้วยลำธารเมื่อก่อนเดินไปตรงไหนจะเห็นน้ำใสๆ เห็นก้อนกรวดก้อนหินใต้ผิวน้ำทีเดียว ทุกวันนี้.ดูซิ ! แห้งขอด.แม้สัตว์จะหาน้ำกินก็ยังไม่มี บางแห่งนอกจากในพรรษาเท่านั้นที่มีน้ำ นอกพรรษามีแต่ร่องเขาอย่างที่เห็น... (หลวงปู่ปรารภเมื่อราวปีพ.ศ.๒๕๓๐ ซึ่งพาลูกศิษย์ไปเยี่ยมลีเซอร์ จงเจริญ) หลวงปู่ได้เดินบุกป่าฝ่าดงเข้าไปถึงข้างในดงดิบซึ่งยิ่งลึกเท่าไรก็ยิ่งเป็นป่าดงดิบมากเท่านั้น ต้นไม้สักทองแต่ละต้น ๔-๕ คนจับมือโอบยังไม่รอบ ซึ่งมีอย่างหนาแน่น เขาเรียกว่าทุ่งกะสัง และเลยเข้าไปอีกเรียกว่าไร่สุดใจ บ้านไทรเอน บ้านห้วยสัตว์น้อย บ้านห้วยสัตว์ใหญ่  พอเดินไปถึงห้วยสัตว์ใหญ่ก็ได้พบกับค่าย ตชด. มีเจ้าหน้าที่ประมาณ ๕ นาย ซึ่งมาคอยดูแลรักษาป่าอยู่ที่นี่ เรียกว่าค่าย ตชด.ห้วยสัตว์ใหญ่ ซึ่งเป็นตะเข็บชายแดนระหว่างกะเหรี่ยง-มอญ-พม่า-ไทย ชาวบ้านส่วนใหญ่จะเป็นชนเผ่ากะเหรี่ยง และเผ่ากะหร่าง ปะปนกันอยู่ หลวงปู่มีความตั้งใจว่าจะเดินทางเข้าไปข้างในดงต่อไปอีกเรื่อย ๆ โดยมีความประสงค์ที่จะไปกราบเจดีย์ชเวดากอง ในเมืองย่างกุ้งของประเทศพม่า แล้วก็จะเลยไปกราบเมืองแห่งเจดีย์สี่พันองค์ หรือที่เรียกกันว่าเมืองพุกามนั่นเอง โดยจะใช้วิธีเดินเป็นพุทธบูชาไปเรื่อยๆ อย่างนี้ แต่เจ้าหน้าที่ ตชด.เขาขอร้องไม่ให้เข้าไปเพราะว่าเป็นเขตตะเข็บรอยต่อชายแดนของพม่าเกรงว่าจะไม่ปลอดภัยอาจจะเป็นอันตรายได้ พวกเจ้าหน้าที่ ตชด.เขาเห็นหลวงปู่พาพระเณรเข้าไปบำเพ็ญภาวนาในป่าเช่นนั้นพวกเขาพากันดีใจเป็นการใหญ่ เพราะจะได้มีเพื่อนที่อบอุ่นทางด้านจิตใจ พวกตชด.ก็ได้พากันช่วยจัดหาสถานที่ให้พัก ช่วยทำทางเดินจงกรมและที่บำเพ็ญให้ ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากค่าย พวก ตชด. เขาได้หุงข้าวมาถวายวันละ ๑ จาน จะถวายมากกว่านั้นก็ไม่ได้เพราะเสบียงของเขามีจำกัด แต่ก็ได้ไปบิณฑบาตกับพวกกะเหรี่ยงซึ่งในระยะแรกๆ นั้นไม่ได้อะไรเลยเพราะว่าพวกชาวเผ่านี้ยังไม่เคยรู้จักพระ ยังไม่เคยรู้จักการใส่บาตรว่าคืออะไร? จะใส่ทำไม ?.ใส่แล้วจะได้อะไร ?..เขาจึงได้ยืนมองพระเดินผ่านไปผ่านมาอย่างเดียว บรรดาสามเณรที่ ติดตามไปด้วยจึงต้องช่วยกันหาอาหารประเภทผักป่าและยอดไม้มาเสริมเพิ่มจากอาหารของ ตชด.ซึ่งมีเพียงข้าวเปล่า ๑ จานเท่านั้นเป็นประจำทุกวัน  สิ่งที่หาได้ง่ายและมีอย่างอุดมสมบูรณ์ คือ ผักกูดมูเซอ มะละกอป่า บางวันก็เอาหยวกกล้วยป่ามาต้มให้สุก ถวายพระฉันพอมีชีวิตอยู่ปฏิบัติธรรมไปวันหนึ่งๆ เท่านั้น ทุกรูปก็อยู่กันอย่างสบาย ร่างกายเบา ภาวนาดี อยู่กันได้ถึง ๒ เดือนเศษ ต่อจากนั้นหลวงปู่จึงได้ให้พระเณรกลับออกมาพักคอยท่านที่หัวหิน ให้หาสถานที่วิเวกกันตามลำพังโดยมีกำหนดนัดหมายพบรวมกันที่วัดราชายตนบรรพตในวันเพ็ญเดือนเจ็ด

ได้พบสหชาติในดงใหญ่

                เมื่อหลวงปู่ได้ให้หมู่คณะเดินทางออกมาพักรอท่านที่หัวหินแล้ว หลวงปู่ก็เดินทางไปลำพังเพียงรูปเดียวเดินทางต่อเข้าไปในป่าลึก เข้าไปจนเลยเขตอำเภอปราณบุรี ต่อเข้าไปจนถึงเมืองมะริด หรือเมืองทะวาย ตะเข็บชายแดนประเทศพม่า แถบนั้นส่วนใหญ่เป็นชาวกะเหรี่ยงและชาวกะหร่างอาศัยอยู่ หลวงปู่จึงได้พักบำเพ็ญอยู่กับพวกกะเหรี่ยงที่บ้านป่าแดง บ้านป่าดี และบ้านป่าละอู ขณะที่ทำความเพียรอยู่นั้นในเช้าวันหนึ่งได้มีชายกะหร่างเข้ามาสังเกตการณ์ เขาคงแปลกใจว่าดินแดนที่พวกเขาอยู่นี่นับว่าห่างไกลจากเผ่าอื่นรุกรานมากพอแล้ว แต่บัดนี้เกิดมีเผ่าใหม่ซึ่งไม่เหมือนพวกเขาเข้ามา แล้วจะเกิดอะไรขึ้น?.จะเป็นผลดีหรือผลร้ายต่อชาวเผ่าของเขา หรือไม่อย่างไร พวกกะเหรี่ยงได้เฝ้าสังเกตหลวงปู่อยู่นาน เห็นว่าไม่เป็นพิษภัย ต่อเผ่าของเขาแน่นอน เพราะวันหนึ่งๆ เอาแต่เดินกลับไปกลับมา หรือก็นั่งหลับตานิ่งๆ เขาชักชวนกันมาเฝ้าดูหลวงปู่เหมือนการได้ดูของแปลกที่สุดในชีวิตของเขา ไม่ว่าหลวงปู่ จะนั่งสมาธิหรือเดินจงกรม พวกกะหร่างเขาก็นั่งดูทั้งสองฝั่งทางจงกรม เวลาหลวงปู่นั่งสมาธิ ไม่ว่าจะนานเท่าไร เขาก็นั่งมองอยู่นานเท่านั้นเหมือนกัน..เขาไม่เห็นหลวงปู่กินอะไรเลย  ทุกวันๆ.เขาคงอยากถามว่าไม่หิวหรือทำนองนั้น ส่วนหลวงปู่ก็ไม่รู้ว่าจะพูดกับพวกเขาอย่างไรจึงจะรู้เรื่อง จึงต้องต่างคนต่างนิ่งเป็นดีที่สุด เขาเห็นว่าหลวงปู่ไม่ได้กินข้าวมาหลายวันแล้วยังไม่ตาย ยังอยู่ได้สบาย เขาก็ยิ่งศรัทธามากขึ้น...แต่การศรัทธาของพวกเขาก็เพียงแค่มาเฝ้านั่งมอง และมองอยู่ได้เป็นวันๆ เท่านั้นเอง.เข้าใจว่าพวกเขาคงไปรายงานให้หัวหน้าทราบ เพราะในวันต่อมานอกจากชาวบ้านที่เคยมาปกติแล้วในบรรดานั้นจะมีคนพิเศษมาด้วย สังเกตจากที่มีบริวารห้อมล้อม มีสาวกคอยดูแล ไว้หนวดเครายาว ผมยาว แขวนลูกปัดเต็มคอ คล้ายกับหมอผีนั่นเอง หลวงปู่พอได้สบตากับหัวหน้ากะหร่างก็เกิดมีความรักใคร่ในจิตบ่งบอกถึงความเป็นมิตรในทันที ส่วนหัวหน้ากะหร่างก็เช่นกันในครั้งแรกก็กะว่าจะมาดูว่าเป็นใครมาจากไหน?..ถึงบังอาจบุกรุกถิ่นฐานโดยที่ไม่ไปยอมเป็นลูกน้องเสียก่อนถ้าไม่ได้เรื่องอย่างไรก็ว่าจะขับไล่ไปให้พ้นเขตการปกครองของพวกตน... แต่พอมาเห็นหน้ากันปุ๊บ. ก็เกิดความรู้สึกที่บ่งบอกเช่นเดียวกับหลวงปู่เหมือนกัน จึงสื่อความหมายกันด้วยภาษาจิตว่า ต่างฝ่ายต่างเป็นมิตรซึ่งกันและกันด้วยสีหน้าและรอยยิ้มกริ่มนั่นเอง ไม่เพียงเท่านั้น หัวหน้ากะหร่างยังได้หมอบคลานเข้าไป แล้วจับมือของหลวงปู่เอามาวางไว้บนหัวของเขา ซึ่งแสดงถึงความรักและนับถือนั่นเอง.ซึ่งตามปกติแล้วชาวกะหร่างจะไม่ยอมให้ใครแตะต้องบนศรีษะได้เลย นอกจากบุคคลที่เคารพนับถือเท่านั้น...ทำให้บรรดาสาวกกะหร่างต่างงุนงงตามๆ กันว่า หัวหน้าของเขากับหลวงปู่นั้นรู้จักคุ้นเคยกันมาตั้งแต่ครั้งไหน เมื่อไร?. ในเบื้องแรกเขาถามด้วยภาษาใบ้ด้วยกิริยาทำมือประกอบ..เขาถามต่ออีกว่า สาวกเขารายงานว่าไม่กินข้าวมาเจ็ดวันแล้วไม่ตายหรือ?.ด้วยการยกมือทำท่า หยิบของใส่ปาก เอามือลูบท้อง...หลวงปู่ส่งภาษาใบ้ตอบไป.. ด้วยการยกมือขึ้นลูบศีรษะว่าโกนผมเป็นนักบวช แล้วหลวงปู่เอามือวางบนตักนั่งหลับตาทำความเพียร ทำมือและกิริยาว่าไปหุงข้าวกินเองไม่ได้ !  และชี้ไปที่พวกกะหร่างว่าต้องขอจากพวกคุณ ทำนองนั้น.โดยพวกคุณเอาข้าวมาใส่บาตร หลวงปู่ชี้ไปที่บาตร.โดยทำกิริยาบอกใบ้ แล้วยกมือขึ้นมากุมที่หัวใจยิ้ม.สบาย...หัวหน้ากะหร่างเป็นคนฉลาด สื่อกันด้วยภาษาใบ้เพียงแค่นี้ก็รู้ความหมาย.หัวหน้าเขาหันมาส่งภาษาบอกลูกน้องให้กลับบ้านไปเอาข้าวมาใส่บาตร..ครู่ใหญ่ต่อมาพวกเขาก็นำข้าวและเผือก มัน ของกินบางอย่างมา.หลวงปู่ยกบาตรมาเปิดพร้อมกับชี้มือให้เขาเอาใส่บาตร เสร็จแล้วก็นั่งพิจารณาฉันข้าวให้กะหร่างดูเดี๋ยวนั้นเลย.หลังจากวันนั้นแล้วหลวงปู่ก็ได้ฉันข้าวจากกะหร่างทุกวันข้าวเม็ดใหญ่หอมดีมาก แต่กับข้าวจะเป็นกับข้าวคนป่าค่อนข้างหยาบๆ และไม่สู้จะสะอาดนักแต่ก็พอฉันเพื่อประทังชีวิตอยู่ได้ ส่วนมากก็จะเลือกฉันประเภทผักหรือยอดไม้ และพักบำเพ็ญเพียรโปรดพวกกะเหรี่ยงและพวกกะหร่างต่อมาอีกเป็นระยะเวลานานพอสมควร...

                เนื่องจากว่าชาวกะเหรี่ยงและชาวกะหร่างเขานับถือภูตผีปีศาจสืบทอดมาตั้งแต่บรรพบุรุษ ในเมื่อหลวงปู่พักอยู่เป็นระยะเวลานานหลวงปู่ก็พอจะรู้ภาษาของพวกเขาบ้างเล็กน้อย หลวงปู่จึงสอนภาษาไทยให้พวกเขาบ้าง  แลกเปลี่ยนกันไปมาบ่อยเข้าก็พอสื่อความหมายกันได้บ้าง สำหรับคนที่เป็นหัวหน้าจะมาดูแลเป็นประจำทุกวันในระยะแรก ๆ ก็สนทนากันด้วยภาษาใบ้ด้วยการยกไม้ยกมือ นานเข้าๆ ก็เริ่มพูดได้ที่ละคำสองคำทั้งหัวหน้ากะหร่างและตัวของหลวงปู่ต่างมีความรู้สึกภายในใจว่าเหมือนเป็นญาติกันมาตั้งแต่อดีตชาติเก่าก่อนที่ไม่สามารถบรรยายเป็นคำพูดได้ทั้งๆ ที่ภาษาก็ยังฟังกันรู้บ้างไม่รู้บ้าง ถิ่นกำเนิดก็อยู่กันคนละภาคอีกต่างหาก แต่ดวงจิตกับมีความผูกพันกันอย่างแปลกประหลาดตั้งแต่ได้พบหน้ากันครั้งแรก..วันหนึ่งหลวงปู่จึงลองถามว่า ...ปีนี้อายุเท่าไร ?..พร้อมกับนับนิ้วให้ดูด้วย ?...๓๕ ปี..ลีเชอร์ ตอบ...เกิดวันที่.๗.เพ็ญเดือน ๕ ...หลวงปู่พูดคุยด้วยภาษาพูดประกอบภาษามือ จึงทราบได้ทันทีว่า ลีเซอร์ เกิดในวันเดียว เดือนเดียว ปีเดียว และเวลาเดียวกันกับหลวงปู่นั่นเอง เกิดวันที่ ๗ เดือนห้า (เดือนเมษายน)พ.ศ.๒๔๖๘ เวลาเที่ยงวัน  ด้วยความบังเอิญนี้เองจึงทำให้มีความผูกพันเหมือนพี่น้องร่วมสายโลหิตนับตั้งแต่เห็นหน้ากันครั้งแรก ผู้ที่เกิดพร้อมกันเช่นนี้ จึงเรียกว่า สหชาติ

                การเข้ามาบำเพ็ญในแดนกะเหรี่ยงคราวนี้กว่าจะทำความเข้าใจกับชาวกะเหรี่ยงและชาวกะหร่างได้ ก็เล่นเอาสังขารร่างกายทรุดโทรมลงไปพอสมควร ต่อเมื่อพูดกันรู้เรื่องบ้างแล้วหลวงปู่ก็เริ่มสอนภาษไทยให้ สอนสวดมนต์บทสั้นๆ ให้ สอนให้รู้จักเดินจงกรม และนั่งสมาธิ แนะนำให้พวกเขาหันมานับถือพระรัตนตรัยเป็นสรณะที่พึ่งอันประเสริฐ  แทนการนับถือภูตผีปีศาจ
วิธีเลี่ยงเนื้อตะกรวด

                สมัยก่อนที่หลวงปู่จะเข้ามา เมื่อมีสิ่งของอะไรดีๆ พวกกะเหรี่ยง กะหร่างเขาก็ต้องเอาไปไหว้ผีประจำหมู่บ้านก่อน แล้วจึงจะเอามาแบ่งกันกิน แต่บัดนี้พวกเขาได้อะไรที่ดีๆ ก็จะต้องเอามาไหว้ หรือเอามาให้หลวงปู่ได้ฉันก่อน  เขาจึงจะเอาไปแบ่งกันกิน เช่น ครั้งหนึ่งลูกบ้านเข้าป่าหาสัตว์ซึ่งเป็นอาชีพประจำวันตามปกตินั่นเอง วันนี้เขาล่าได้ตะกวดตัวขนาดใหญ่ยาวเกือบเมตร ซึ่งเป็นของโปรดชั้นดีเยี่ยมประจำเผ่าของพวกเขาทีเดียว เขาจึงย่างไฟแล้วใส่เปล จัดขบวนหามตะกวดย่างมาทั้งหมู่บ้าน เพื่อเอามาถวายให้คนที่เขานับถือได้กินเป็นคนแรก  หลวงปู่เมื่อทราบเจตนาของเขาแล้ว ก็ต้องหาวิธีออกตัวว่าจะทำอย่างไรจึงจะเอาตัวรอดในครั้งนี้ได้ โดยไม่ต้องไปนั่งฉีกเนื้อตะกวดตัวที่วางอยู่ข้างหน้า และโดยที่ไม่ให้กะเหรี่ยง กะหร่าง เสียใจหรือเข้าใจว่าเรารังเกียจของเขา หลวงปู่เล่าว่า แค่เห็นอย่างเดียวคอก็ตีบแล้ว แถมยังจะพาลให้ของเก่าในท้องออกมาอีกด้วยใครจะฉันได้ลงคอ เล่นหามกันมาทั้งหางทั้งหัวและตีนยังอยู่ครบบริบูรณ์เช่นนั้น แล้วยังนำขี้เถ้า ปะแป้งขาวโพลนมาทั้ง ตัวเช่นนั้น หลวงปู่จึงบอกพวกเขาว่า. ...วันนี้เป็นวันที่เราตั้งใจจะหาของขวัญมอบให้หัวหน้าเผ่าอยู่แล้ว เมื่อพวกท่านนำของดีๆ เช่นนี้มาให้เราเราขอรับไว้ด้วยความเต็มใจ และขอมอบคืนเป็นของขวัญแก่ท่านหัวหน้าเผ่าซึ่งเป็นเพื่อนรักของเราต่อไป... แล้วหลวงปู่ก็เดินตรงไปจับบนศีรษะของหัวหน้ากะหร่างแสดงถึงความรักมาก  และส่งภาษาที่พอรู้กันบ้างแล้ว ว่า เรารักเพื่อนมาก  เมื่อเพื่อนให้ของรักแก่เรา เราจะลงอาคมเวทย์มนต์แล้วยกให้ท่านไปแจกแบ่งกันกิน ว่าแล้วหลวงปู่ ก็ทำปากขมุบขมิบอยู่พักหนึ่งแล้วก็เป่า..พรู๊ด.ๆ..ๆ..ไปที่ตะกวด บังเอิญธรรมชาติเป็นเหตุช่วยอีกต่างหาก เกิดมีลมพัดมาจากไหนอย่างรุนแรง กิ่งไม้ใบไม้ร่วงพรูลงมาโดยบังเอิญ..พวกกะหร่างพากันก้มลงกราบแล้วกราบอีกอยู่อย่างนั้น เสร็จแล้วหลวงปู่บอกว่าทำพิธีเสร็จแล้วให้พากันหามไปให้หัวหน้ากินก่อนแล้วแจกกินกันทุกคนจะโชคดี...พวกเขาดีใจมากที่หลวงปู่ทำพิธีให้เขาในครั้งนี้...หลวงปู่จึงเอาตัวรอดมาได้อีกครั้งด้วยกุสโลบายเล็กๆ น้อยๆ นั่นเอง. เมื่อทำความเข้าใจกันได้บ้างแล้วหัวหน้ากะหร่างเขาก็เป็นผู้นำลูกบ้านของพวกเขามาให้การอุปถัมภ์บำรุงอย่างดีรู้จักทำบุญให้ทาน รู้จักหาอาหารมาใส่บาตรถวายหลวงปู่ทุกวัน ซึ่งขณะนั้นก็ยังฟังภาษากันรู้เรื่องบ้างไม่รู้เรื่องบ้าง บางครั้งบอกอย่างหนึ่งเขาก็ไปทำอีกอย่างหนึ่งอยู่ดี...

ขออย่างได้อีกอย่าง

                หลวงปู่ยังเคยเล่าเรื่องตลกที่ท่านได้ประสบมาในสมัยนั้นอีกเรื่องหนึ่ง  มีอยู่วันหนึ่งภายหลังจาก พวกกะหร่างได้นำอาหารมาถวาย หลวงปู่ฉันจังหันเสร็จแล้ว หลวงปู่จึงบอกว่า พวกญาติโยมทั้งหลาย วันพรุ่งนี้ถ้าจะมาให้เอาจอบ เอาเสียม เอามีด มาด้วยคนละอัน   มาช่วยกันทำทางเดินจงกรมให้อาตมาหน่อยนะ.. พวกกะหร่างพอได้ยินหลวงปู่พูดจบลงแล้ว จึงได้พากันเดินทางกลับบ้านกันโดยไม่รอช้า ครู่ใหญ่ต่อมาพวกกะหร่างทั้งหมดนั้นก็เดินทางกลับมาพร้อมข้าวปลาอาหารและของติดมือมาด้วยโดย หลวงปู่มองเห็นแต่ไกล ก็นึกดีใจว่า เออ..พวกกะหร่างนี้ดีจริง บอกให้มาทำวันพรุ่งนี้ กลับมาทำให้ในวันนี้ ถ้าอย่างนั้นวันนี้เราคงได้เดินทางเดินจงกรมใหม่แน่แล้ว ครั้นพวกเขาเข้ามาแล้ว เขาก็พากันเอาอาหารที่ถือมานั้นวางไว้ตรงหน้าหลวงปู่มีข้าว ปลา อาหาร เผือก มัน มากมายก่ายกองเต็มไปหมด แล้วเขาก็นั่งรอให้หลวงปู่ฉันของเขาอีก

                หลวงปู่เห็นการกระทำของพวกกะหร่างดังนั้นก็ไม่รู้จะว่าอย่างไรดี เพราะว่าบอกเขาอย่างหนึ่ง  เขาไปทำ อย่างหนึ่งที่ไม่ได้บอก ซึ่งเขาก็ทำด้วยความจริงใจและทำด้วยความซื่อนั่นเอง หลวงปู่จึงต้องนำวิชาเก่ามาใช้อีกครั้งด้วยการจับ ๆ เป่าๆ แล้วจึงได้บอกให้พวกกะหร่างเหล่านั้นนั่งกินกันเองจนหมดเรียบร้อย สำหรับหลวงปู่ก็ได้แต่นั่งยิ้มถึงความซื่อของพวกกะหร่างอยู่องค์เดียว

                หลวงปู่พักบำเพ็ญอยู่กับชาวกะเหรี่ยงและชาวกะหร่างในครั้งแรกที่มีหมู่คณะพระเณรอยู่ด้วยประมาณ ๒ เดือนและหลังจากให้หมู่คณะกลับออกไปคอยอยู่ที่หัวหิน หลวงปู่บำเพ็ญอยู่กับกะหร่างตามลำพังรูปเดียวอีก ๔ เดือน รวมเป็นระยะเวลาถึง ๖ เดือนเศษ ก็นับว่าได้ประสบการณ์และได้รับความสงบทางด้านจิตใจมากเพียงพอ เพราะพวกเขาไม่ได้มาสนใจอะไรกับพระมากเหมือนผู้คนในบ้านในเมือง จึงเป็นโอกาสในการดูจิต เพ่งจิตได้มาก อีกอย่างหนึ่งก็ได้พบสหชาติ (ผู้ที่เกิดพร้อมกัน ในเวลาที่ตรงกัน) ก่อนที่จะอำลาจากแดนกะเหรี่ยงหรือแดนกะหร่าง ผู้เป็นหัวหน้ากะหร่างสหชาติของหลวงปู่ คือ ลีเซอร์ จงเจริญ ไม่มีสิ่งใดที่จะให้เป็นสิ่งยึดเหนี่ยวความผูกพันระหว่างเพื่อนต่อเพื่อนสหชาติอันเป็นที่รักไว้ได้ เขาจึงได้ยกถวายเด็กหญิงตัวน้อยๆ ที่เป็นบุตรของตนอายุยังไม่ถึงขวบ ให้เป็นบุตรบุญธรรมของเพื่อน หลวงปู่ได้รับด้วยความเมตตา  ต่อมาเด็กน้อยคนนั้นโตจนรู้ความแล้วลีเซอร์ จึงนำมาให้บวชเป็นชีอยู่กับหลวงปู่ที่วัดเขาสุกิม มาจนถึงปัจจุบัน

                การเข้ามาหาสถานที่วิเวกในแดนกะหร่างเห็นว่าพอสมควรแล้วเพราะระยะเวลาก็ย่างใกล้ฤดูฝนเข้ามาทุกขณะ ฝนในแดนกะหร่างเริ่มตกชุกขึ้นแล้ว หลวงปู่จึงได้เดินทางกลับออกมาหาหมู่คณะพระเณร ที่ได้เดินทางแยกออกมารออยู่ที่หัวหิน ตรงเวลาที่ได้นัดหมายกันไว้ เมื่อได้ออกมารวมกันครบหมดแล้ว จึงได้ปรึกษากันว่าจะเดินทางล่องใต้ไปเรื่อยๆ ตามรอยครูบาอาจารย์ที่จาริกลงไปก่อนหน้านี้หลายปีแล้ว เช่น อย่างหลวงปู่เทสก์ เทสรํสี เป็นต้น หรือว่าจะเดินทางกลับเมืองอีสานดี ในที่ปรึกษานั้นก็ได้รับคำแนะนำจากท่านพระอาจารย์ทิวา อาภากโร  ว่า  ...ท่านอาจารย์น่าจะลองไปทางภาคตะวันออกแถบจังหวัดจันทบุรีดูบ้าง ซึ่งมีสถานที่เหมาะแก่การบำเพ็ญสมณธรรม ที่สงบวิเวกหลายแห่ง และชาวจันทบุรีก็มีความเลื่อมใสในพระพุทธศาสนา มีความเข้าใจต่อระเบียบข้อปฏิบัติของพระกรรมฐานเป็นอย่างดี เนื่องจากพระกรรมฐานสายหลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต หลายรูปเคยได้ผ่านมาเผยแพร่หลักธรรมไว้ก่อนแล้ว เช่น หลวงปู่เทสก์ เทสรํสี (พระราชนิโรธรังสีคัมภีรปัญญาวิศิษฏ์) หลวงปู่ฝั้น อาจาโร ท่านพ่อลี ธมฺมธโร (พระสุทธิธรรมรังสีคัมภีรเมธาจารย์) ท่านพระอาจารย์กงมา จิรปุญฺโญ และท่านพระอาจารย์มหาบัว ญาณสมฺปนฺโน(พระธรรมวิสุทธิมงคล) เป็นต้น


ไม่มีความคิดเห็น: